รุ่งเช้าสองพี่น้องก็เตรียมตัวเข้าเมือง ชุยเหมยส่งค่าเกวียนและค่าเข้าเมืองให้จางเหลี่ยงเก็บไว้ ก่อนที่ทั้งคู่จะแบกตะกร้าที่มีโสมด้านในขึ้นหลังออกไปจากเรือน
จางเหลี่ยงเดินนำหน้าซินหยานเพื่อนำทางไปขึ้นเกวียนวัวหน้าหมู่บ้าน ซินหยานมองไปที่สองแม่ลูกที่นั่งอยู่บนเกวียน จากความทรงจำเดิมนางจำได้ทันทีว่าคือป้าสะใภ้ใหญ่และยู้อวี้ลูกพี่ลูกน้องของนาง
"เหอะ มีปัญญาจ่ายค่าเกวียนด้วยหรือ" ยู้อวี้มองสองพี่น้องอย่างดูแคลน
ซินหยานมองจ้องเข้าไปในดวงตาของยู้อวี้อย่างดุดัน จนยู้อวี้หวาดกลัวจนเหงื่อซึมออกมาตามแผ่นหลัง แววตาของซินหยานที่มองมาที่นางในครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน คนที่เป็นฝ่ายหวาดกลัวต้องเป็นซินหยานมิใช่นาง
"มองบ้าอะไร" ยู้อวี้ตวาดซินหยานเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่นางหวาดกลัว
"เจ้าคงไม่อยากให้ข้าพูดตรงนี้ใช่หรือไม่" ซินหยานแสยะยิ้มออกมา
"พูดอันใด เจ้ากล้าหรือ" ยู้อวี้ถลึงตาห้ามอย่างดุร้าย
"อยากรู้หรือไม่เล่าว่าข้ากล้าหรือไม่" ซินหยานขึ้นไปนั่งบนเกวียน พร้อมทั้งกระซิบเสียงเย็นข้างหูของยู้อวี้
ยู้อวี้จำต้องก้มหน้าลงตลอดการเดินทาง แม้มารดาจะเอ่ยถามว่าพูดเรื่องอันใดกันนางก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาสักคำ เพราะตอนที่ซินหยานพูดนางเปิดให้ดูมีดที่เหน็บอยู่ข้างเอวของนางด้วย
หมู่บ้านฟาตง ห่างจากเมืองโจวหนานนั่งเกวียนหนึ่งชั่วยามหากเดินเท้าก็สองชั่วยาม แต่ถ้าเป็นรถม้าเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น เมื่อเกวียนวัวหยุดลงที่ประตูเมืองยู้อวี้นางก็รีบลากมารดาของนางลงไปอย่างรวดเร็ว
"เจ้าพูดอันใดกับอวี้เออร์" จางเหลี่ยงพาน้องสาวเดินไปจ่ายเงินค่าผ่านประตูเมือง
"นางเป็นคนผลักข้าตกน้ำเกือบตาย"ซินหยานเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
แต่ไม่ใช่จางเหลี่ยงที่กำลังเดินไปเอาเรื่องกับยู้อวี้ ซินหยานดึงรั้งพี่ชายไว้ ก่อนจะกระซิบบอกแผนการที่นางคิดจะจัดการกับยูอวี้
"หากเจ้าลงมือเมื่อใด ต้องให้พี่ไปด้วย" จางเหลี่ยงจ้องมองน้องสาวเพื่อเอาคำตอบ
"เจ้าค่ะ" ซินหยานยิ้มออกมา
นางในตอนนี้ไม่ว่าเรื่องอันใดก็ไม่ต้องลงมือจัดการเพียงลำพัง ทุกการกระทำของนาง หรือสิ่งที่นางอยากจะทำมีบิดามารดาและพี่ชายให้การสนับสนุน
"สองพี่น้องคุยเล่นจนไปถึงร้านยาที่จางเหลี่ยงเข้าเมืองมาซื้อให้บิดาอยู่ประจำ เสี่ยวเอ้อหน้าร้านเมื่อเห็นจางเหลี่ยงเขาก็กำลังจะไปจัดยาให้ แต่ถูกจางเหลี่ยงเอ่ยห้ามไว้ก่อน
"วันนี้ข้ามิได้มาซื้อยาขอรับ แต่จะนำสมุนไพรมาขาย" จางเหลี่ยงเดินเข้าไปใกล้เสี่ยวเอ้อ พร้อมเปิดตะกร้าให้ดูสิ่งที่อยู่ด้านใน
เสี่ยวเอ้อเมื่อเห็นก็รีบเข้าไปด้านหลังร้านเพื่อบอกกล่าวให้หลงจู๊มาประเมินราคา เพราะเขาไม่อาจรับซื้อไว้ได้ด้วยตนเอง
หลงจู๊เมื่อรู้ว่าสองพี่น้องนำโสมมาขายก็รีบเชิญเข้าไปในห้องรับรอง ทั้งยังให้เสี่ยวเอ้อนำน้ำชาและของว่างมาให้ทั้งคู่อีกด้วย
"นำออกมาให้ข้าดุเสียหน่อย" หลงจู๊รีบร้องบอกจางเหลี่ยง
เมื่อได้เห็นเขาก็ยกหน้าขึ้นปิดปากเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา นับตั้งแต่ที่ทำงานเป็นหลงจู๊มาเขาไม่เคยพบเจอโสมอายุห้าร้อยปีในเมืองโจวหนานมาก่อนเลย
หลงจู๊หายออกจากห้องรับรองไป เพียงไม่นานก็กลับมาพร้อมชายชราคนหนึ่ง ทั้งคู่มองโสมที่อยู่บนโต๊ะด้วยดวงตาเป็นประกาย
"เจ้ามีอีกหรือไม่ เอ่อ ข้าหมอฉุย" สองพี่น้องก็แนะนำตัวเช่นกัน
"อยู่ที่ท่านจะให้ราคาเจ้าค่ะ" ซินหยานสบตาหมอฉุย
"หึหึ เจ้าเด็กแสบ ดีดี ข้าให้ห้าร้อยตำลึงทะ ไม่ไม่" หมอฉุยยังพูดไม่ทันจบซินหยานก็หยับโสมมาเก็บลงตะกร้า
"เจ้านี่ เรื่องราคาคุยกันได้ ข้าเพียงลองดูเท่านั้น" หมอฉุยเกาแก้ม เมื่อรู้ว่าเด็กสาวตรงหน้ารู้ทันทีเขาจะโก่งราคา
"ข้าจะให้ท่านพูดราคาอีกรอบ หากครั้งนี้ท่านยังตั้งใจเอาเปรียบข้า ข้าจะไปขายที่ร้านอื่น" ซินหยานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียบเย็น
"ได้ได้" หมอฉุยกับหลงจู๊กลืนน้ำลาย เพราะไม่คิดว่าเด็กสาวยังไม่พ้นวัยปักปิ่นจะมีกลิ่นอายสังหารราวกับนักฆ่าเช่นนี้
ซินหยานนั่งจิบชารออย่างใจเย็นให้ทั้งคู่ได้คำนวณราคากันก่อน จางเหลี่ยงหากเป็นตัวเขามาราคาหัวละห้าร้อยตำลึงทองเขาคงขายอย่างเร็วไปแล้ว แต่ในเมื่อน้องสาวส่งสายตาให้เขาอยู่นิ่งๆ เขาจึงได้แต่นั่งกินของว่างรอ
"ข้าให้ พัน ไม่ไม่ สองพันห้าร้อยตำลึงทองต่อหัว" หมอฉุยปาดเหงื่อเมื่อเห็นสายตาของซินหยานที่มองมาที่เขา
"ได้เจ้าค่ะ" ซินหยานยิ้มหวานก่อนจะนำโสมทั้งสี่หัวออกมา อีกหัวนางเก็บไว้เพื่อบำรุงร่างกายคนในครอบครัว
หมอฉุยและหลงจู๊เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง เพราะคิดไม่ถึงว่าสองพี่น้องจะมีโสมมาขายให้ตนถึงสี่หัว หมอฉุยลูบคลำโสมอย่างพอใจ ก่อนจะให้หลงจู๊รีบไปนำเงินมาให้สองพี่น้อง
ซินหยานนับเงินที่ได้มาก่อนจะขอแลกเป็นตั๋วเงินใบละห้าสิบตำลึงสี่ใบ ซินหยานนำตั๋วเงินที่ได้มาทั้งหมดใส่ลงไปในตะกร้าหลังของจางเหลี่ยงแต่จริงๆ แล้วนางเก็บเข้าช่องว่างของนางที่เชาชื่อเพิ่งจะมอบให้
ฝูเหิงอาบน้ำขัดตัวอย่างเร่งรีบ เมื่อสำรวจจากร่างกายว่าแทบไม่หลงเหลือกลิ่นสุราแล้วก็เดินออกมาจากห้องน้ำ“หึหึ” เขาหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบาเมื่อเห็นซูหนี่นั่งหน้าเครียดอยู่ที่เตียงนอนฝูเหิงเดินเข้าไปนั่งข้างซูหนี่ก่อนที่จะยกตัวนางขึ้นมานั่งบนตักแล้วกอดนางไว้จากด้านหลัง“เป็นอันใดไปหรือ” ฝูเหิงก้มลงสูดดมกลิ่นหอมจากตัวซูหนี่ที่ซอกคอของนางอย่างโหยหา“ปะ เปล่าเจ้าค่ะ” ซูหนี่เอ่ยตอบเสียงสั่นฝูเหิงคิดว่านางคงกลัวจึงได้จับใบหน้าของซูหนี่ให้หันมาสบตาเขา ก่อนจะจรดหน้าผากของเขาเข้ากับของซูหนี่“หนี่เออร์ อย่าได้กลัว ข้าสัญญาว่าจะทะนุถนอมเจ้าอย่างดี” ฝูเหิงเอ่ยเสียงเบาราวกับกำลังปลอบประโลมนางหัวใจของซูหนี่เต้นระรัว เมื่อเห็นสายตาของฝูเหิงที่จ้องมองมาที่นางอย่างเร่าร้อน นางสั่นสะท้อนเล็กน้อยอย่างตื่นตัว เมื่อลมหายใจร้อนๆ ของฝูเหิงเป่ารดต้นคอของนางซูหนี่แทบอ่อนระทวย เมื่อถูกลิ้นร้อนของฝูเหิงไล้เลียและดูดดึงที่ซอกคอของนาง ความรู้สึกสับสนเกิดขึ้นกับนาง แต่ก็ปล่อยไปตามการสัมผัสของเขาฝูเหิงที่เพียงได้กลิ่นกายของนางความเร่าร้อนก็พุ่งสูงขึ้นภายใน แต่เขาจำต้องควบคุมสติไว้เพื่อไม่ให้นางตื่นกลัวสายตาขอ
ซินหยานยืนมองตำหนักอ๋องที่ประดับไปด้วยผ้าแดงของงานมงคลอย่างยินดี นางไม่เคยคิดว่าในชีวิตของนางจะมีครอบครัวที่อบอุ่นเช่นนี้ และในตอนนี้บุตรสาวเพียงคนเดียวของนางก็กำลังจะออกเรือนแล้วตอนนี้ซูหนี่นางโดนซงมามากับฝูมามาจัดการขัดเนื้อตัวของนางอยู่ แม้ว่าผิวพรรณของนางจะผุดผ่องไปไม่ได้มากกว่านี้แล้วก็ตามซินหยานเดินเข้าไปดูบุตรสาวที่แช่อยู่ในบ่อน้ำวิเศษของนางแล้วก็ได้แต่ถอนหยาใจ ไม่ต่างกับตัวนางในครั้งนั้นที่โดนจับขัดสีฉวีวรรณเช่นนี้ซินหยานนางยังช่วยชีวิตซูหนี่ด้วยการพานางกลับเรือนเพื่อพูดคุยตามประสาแม่ลูกก่อนที่จะออกเรือนในวันพรุ่งนี้“หนี่เออร์ นี่คือสิ่งที่มารดาทุกคนต้องสั่งสอนบุตรสาวก่อนออกเรือน” ซินหยานนางหยิบตำราวสันต์มาเปิดออกให้ซูหนี่ได้ดู"ท่านแม่" ซูหนี่ร้องอยากตกใจ เพราะสิ่งที่มารดาให้นางได้ดูนางเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก“มิใช่เรื่องน่าอาย มาแม่จะดูเป็นเพื่อนเจ้า” ซินหยานตบไปที่หลังมือของซูหนี่เบาๆเมื่อเห็นบุตรสาวทำท่าทางเขินอายยามที่นางเปิดไปแต่ละหน้าและอธิบายไปด้วย ซินหยานนางก็หัวเราะออกมาเบาๆนี่คือเรื่องที่ในภพนี้ยังไม่เปิดกว้าง จึงทำให้สตรีต่างเขินอายไม่กล้าพูดหรือแสดงออกมาก
ซินหยานนางยังให้ซูหนี่นำน้ำวิเศษใส่ไหจำนวนมากทิ้งไว้ที่จวนท่านแม่ทัพ ก่อนจะบอกกับจ้าวฟางหรงให้ไว้ใช้ในการเกษตรเช่นไร เพื่อให้ทหารและชาวบ้านเมืองเป่ยโจวที่หาผักสดกินได้ยาก ได้มีผักกินตลอดทั้งปีจ้าวฟางหรงก็กล่าวขอบคุณหยางอ๋องและซูหนี่ที่เมตตาต่อทหารและชาวเมืองมากเช่นนี้ เขารีบไปจัดการเรื่องทั้งหมดให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และทิ้งคนที่ไว้ใจได้ให้จัดการเรื่องการเพพาะปลูกต่อเพราะเขาต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกับหยางอ๋องและซินหยาน เพื่อจัดการเรื่องของมงคลของฝูเหิงกับซูหนี่ขบวนเดินทางของหยางอ๋องที่กลับเมืองหลวงก็มีผู้ติดตามกลับไปด้วยมากกว่าเดิม ทำให้พวกเขาไม่อาจเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในมิติได้ตลอดเวลาเช่นเดิมเพียงแต่จะเข้าไปก็ต่อเมื่อแยกย้ายกันกลับห้องพักผ่อนแล้ว เพราะขบวนเดินทางมีคนมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้กว่าจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงก็ล่วงเข้าเดือนที่สามของการเดินทางแล้วจ้าวฟางหรงก็ส่งคนมาให้จัดการจวนตระกูลจ้าวในเมืองหลวงไว้ก่อนแล้วฮ่องเต้ ฮองเฮาเมื่อรู้ว่าบุตรชายกับหลานทั้งสี่กลับมาถึงเมืองหลวงก็เรียกตัวเข้าวังทันทีทุกพระองค์ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแคว้นหานต่างก็ลอบตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนทะลุ
เชาชื่อนำยาลบความทรงจำมาส่งให้หยางอ๋อง เขาได้ทำกการปรุงยาขึ้นมาใหม่เพื่อใช้กับหานอี้สุ่ยโดยเฉพาะเชาชื่อต้องการให้หานอี้สุ่ยลืมเรื่องที่เขารู้เรื่องระเบิดและก่อนที่จะรู้จักกับซูหนี่ ความทรงจำของหานอี้สุ่ยจึงหยุดอยู่ในวันที่เขาลอบเข้าแคว้นเซี่ยเพื่อสืบเรื่องในแคว้นเท่านั้นก่อนที่จะพาตัวหานอี้สุ่ยออกจากมิติ ฝูเหิงทำลายเอ็นข้อมือข้างขวาของเขาทิ้งเสีย หากสวรรค์ยังเขาข้างหานอี้สุ่ยก็คงส่งหมอเทวดามารักษาเขา แต่หากไม่เขาก็ต้องกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิตซูหนี่พาซีฮันและฝูเหิงออกมาจากมิติ เพื่อให้เขาพาหานอี้สุ่ยไปโยนทิ้งไว้ข้างวังหลวงเมื่อเสร็จสิ้นเรื่องทั้งหมด ทุกคนก็เห็นตรงกันเรื่องที่ต้องเดินทางกลับแคว้นเซี่ย ชีวิตของหานอี้สุ่ยและฟ่านหลี่อิงหลังจากนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องข้องเกี่ยวอีกแล้วในตอนที่ออกจากแคว้นหาน ซูหนี่นางต้องเดินทางอยู่ภายในรถม้ากับฝูเหิงเช่นตอนขามา แต่ในครั้งนี้มีหยางอ๋องที่ปลอมตัวออกมาอยู่ด้วย เพราะเขาไม่ยินยอมที่จะให้บุตรีอยู่เพียงลำพังกับฝูเหิงฝูเหิงที่คิดว่ามีโอกาสใกล้ชิดกับซูหนี่ในรถม้าก็มีสีหน้าสลดอย่างเห็นได้ชัด สืออียังทำหน้าที่บังคับรถม้าเช่นเดิม ทุกคนที
หานอี้สุ่ยทรุดตัวนั่งลงอย่างสิ้นแรง เขาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน จะมีเรื่องอันใดที่ทำให้นางหลงลืมไปได้เช่นนี้ ตอนที่พบนางก็ไม่เห็นว่านางจะบาดเจ็บที่ใดฟ่านหลี่อิงถูกหานอี้สุ่ยส่งตัวไปคุมขังไว้ในคุกใต้ดิน เขายังไม่เชื่อนางเสียทั้งหมด ในเมื่อเขาทำตามที่รับปากนางไว้แล้ว แต่นางกลับไม่ยอมบอกวิธีทำระเบิด เช่นนั้นเขาก็จะทรมมานจนกว่านางจะพูดฟ่านหลี่อิงไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงถูกกระทำเช่นนี้ นางถูกนางกำนัลลากตัวไปไว้ในคุกใต้ดิน พร้อมทั้งหวดแส้ลงที่ร่างกายของนาง“หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ เพคะ” เสียงที่เอ่ยออกมาของนางแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเปิ่นกงอดทนกับเจ้ามากเพียงใด หากยังไม่ยอมพูดอีก เปิ่นกงจะตัดลิ้นของเจ้าเสีย” หานอี้สุ่ยดึงผมของฟ่านหลี่อิงขึ้น เพื่อให้เงยหน้ามาสบตากับเขาฟ่านหลี่อิงร่ำไห้อย่างหวาดกลัว นางได้แต่ร้องบอกว่านนางไม่รู้ นางจำสิ่งใดไม่ได้ แต่เหมือนจะเป็นการเพิ่มโทสะให้หานอี้สุ่ยมากขึ้น เขาลงแส้ไปที่ร่างกายของนางนับครั้งไม่ถ้วนฟ่านหลี่อิงหมดสติลง เพราะทนรับความเจ็บปวดไม่ไหวหานอี้สุ่ยเดินออกจากคุกใต้ดินไปอย่างไม่สบอารมณ์ เขาแทบไม่เคยคิดไว้เลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้
ไม่ต่างจากหานอี้สุ่ย เขาก็คิดเช่นนั้น เพราะเหลือเวลาอีกเพียงสามวันจะถึงวันงานแต่งจึงต้องส่งนางกลับไปที่จวนตระกูลฟ่านเพื่อเตรียมตัวเสียก่อน เขาจึงไม่ได้สอบถามรายละเอียดที่เกิดขึ้นถึงถามไปนางก็ตอบได้เพียงจำไม่ได้เท่านั้น ทหารและนางกำนัลในตำหนักต่างก็ตอบไม่ได้ว่าผู้ใดเป็นคนพาตัวฟ่านหลี่อิงออกไปจากตำหนักเพราะตอนที่ถูกทำร้าย พวกเขาต่างไม่เห็นใบหน้าของผู้ร้ายฟ่านหลี่อิงที่อยู่ภายในเรือนตระกูลฟ่าน นางจำไม่ได้ว่านางเข้าไปอยู่ในวังหลวงได้อย่างไร และเหตุใดนางถึงได้มีวาสนาถึงขั้นได้แต่งเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทนายท่านฟ่านกับฮูหยินฟ่านก็ไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติของบุตรสาว เพราะพวกเขาได้แต่ต้อนรับแขกที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีและเตรียมงานมงคลจนหัวหมุนสองวันต่อมา ฟ่านหลี่อิงก็ถูกปลุกมาให้เตรียมตัว เพื่อเข้าพิธีแต่งงาน งานจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่มาร่วมส่งเจ้าสาวมากมายจนแน่นเต็มเรือนพวกเขาล้วนอิจฉาตระกูลฟ่านที่เป็นเพียงคหบดีเท่านั้น แต่บุตรีกลับมีวาสนาได้เป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาท และต่อไปนางก็จะได้นั่งตำแหน่งฮองเฮาในอนาคต เช่นนี้แล้วผู้ใดจะไม่มาร่วมยินดีได้เล่าฟ่านหลี่อิงเดินเข้าไปก