ในยามนี้จางเหลี่ยงถูกซินหยานลากออกมาจากร้านยา เพราะสติของเขาล่องลอยไปเสียแล้ว
"หากท่านยังเป็นเช่นนี้ ข้าจะทิ้งท่านแล้วนะเจ้าค่ะ" ซินหยานที่ลากพี่ชายมาได้ไม่ไกลก็หยิกแขนของจางเหลี่ยงอย่างแรง
"โอ๊ย เบาๆ น้องน้อย พี่รู้แล้ว" จางเหลี่ยงเดินลูบแขนตามซินหยานไป
"เจ้าจะไปที่ใด" จางเหลี่ยงเอ่ยถาม เพราะทางที่ซินหยานพาเขามาไม่ใช่ทางที่จะไปขึ้นเกวียนวัวกลับหมู่บ้าน
"ข้าจะซื้อรถม้าเจ้าค่ะ" ซินหยานมองค้อนพี่ชาย ตลอดทางที่นางเดินถามทางมาเขาไม่ได้สังเกตเลยหรือไง
"เจ้าว่าจะซื้อรถม้าหรือ ผู้ใดจะขับ" จางเหลี่ยงเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
"ท่านอย่างไรเล่า" ซินหยานเริ่มลากพี่ชายอีกครั้ง เมื่อเห็นเขายืนนิ่งตกตะลึงอีกแล้ว
สองพี่น้องมาหยุดอยู่ที่โรงค้าสัตว์ นายหน้าเดินเข้ามาสอบถามทั้งคู่ว่าต้องการสิ่งใด เมื่อรู้ว่าหาซื้อรถม้าก็มองอย่างดูแคลน เพราะการแต่งตัวของทั้งคู่ดูไม่น่าจะมีเงินมากมาซื้อรถม้าได้
"เช่นนั้นก็ไปที่อื่นเจ้าค่ะ" ซินหยานเดินออกจากร้านแรกทันที
ทั้งคู่มาหยุดอยู่ที่ร้านเกือบสุดท้าย นายหน้าเข้ามาทักทายอย่างดี พร้อมพาทั้งคู่เลือกม้าอย่างเต็มใจ ซินหยานเดินเลือกไปตามคอกม้าอย่างใจเย็น นางยังไม่พบตัวที่นางถูกใจ
เสียงร้องตกใจของคนงาน พร้อมทั้งเสียงม้าดังขึ้นจากคอกม้าด้านหลัง นายหน้าทิ้งสองพี่น้องรีบเดินไปดูทันที ซินหยานนางก็เดินตามไปด้วย
เมื่อเห็นม้ารูปร่างตรงตามลักษณะที่นางหาก็ยิ้มออกมา ดวงตาที่จ้องไปที่ม้าเป็นประกาย ซินหยานที่จะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ กลับถูกจางเหลี่ยงดึงไว้ เพราะกลัวน้องสาวจะเกิดอันตราย
"หากท่านทำให้ม้าพยศสงบลงได้ ข้าจะมอบเครื่องเรือนให้ท่าน" เชาชื่อนึกสนุกขึ้นมา
"รวมถึงสุขภัณฑ์และเครื่องครัวด้วยใช่หรือไม่" ซินหยานชะงักเท้าลงเพื่อรอฟังคำตอบ
"ได้" เชาชื่อตอบอย่างใจดี แต่แท้จริงเขากำลังรอชมเรื่องสนุกอยู่ต่างหาก
ซินหยานเมื่อได้ยินคำของเชาชื่อ นางก็ไม่รอช้ารีบกระโดดเข้าไปในคอกม้า ที่ม้ากำลังพยศอยู่ท่ามกลางความตกตะลึงของคนงานและนายหน้า
จางเหลี่ยงก็ร้องตะโกนเรียกน้องสาวอย่างขวัญเสียอยู่ข้างคอกม้า แม้จะเคยเห็นน้องสาวฆ่าเสือมาแล้ว แต่เขาก็ยังคงเป็นห่วงอยู่ดี
ซินหยานจ้องเข้าไปดวงตาของม้าอย่างสงบนิ่ง มันก็กำลังมองตอบนางอยู่เช่นกัน ซินหยานใช้จิตวิทยาเข้าข่ม ในเมื่อนางไม่กลัวมัน มันต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องกลัวนาง
กลิ่นอายความพิเศษที่ออกมาจากตัวซินหยานเจ้าม้าหนุ่มย่อมรับรู้ได้ มันสะบัดหัวอย่างไม่ยินยอม ก่อนที่ซินหยานจะเดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ แต่สายตาของนางก็จ้องมองไปที่มันอย่างดุดัน ก่อนที่นางจะเอื้อมมือไปสัมผัสที่หัวของมันช้าๆ
ม้าพยศยกเท้าหน้าทั้งสองข้างขึ้นเหมือนจะบดขยี้นาง แต่ซินหยานยังคงจ้องมองมันอย่างสงบนิ่งไม่หนีไปที่ใด
"กลับไปอยู่กับข้า" นางเอ่ยบอกม้าหนุ่ม
ม้าหนุ่มลดขาหน้าของมันลง พร้อมทั้งเดินเข้ามาหามือของซินหยานที่ยังยื่นมาอยู่อย่างช้าๆ ก่อนที่จะยอมให้ซินหยานได้สัมผัสหัวของมัน จางเหลี่ยงทรุดตัวนั่งลงข้างคอกม้า
คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตอนที่ม้ายกขาหน้าขึ้นทั้งสองข้างเพื่อบดขยี้น้องสาวของเขา เขาหวาดกลัวมากเพียงใด
"อย่าทำเช่นนี้อีกเด็ดขาด" จางเหลี่ยงดึงตัวน้องสาวที่ออกจากคอกม้ามาต่อว่า
"เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ" ซินหยานตบไปที่แขนของพี่ชายเบาๆ
"ข้าต้องการม้าตัวนี้ ท่านจะขายให้ข้าเท่าใดเจ้าค่ะ" ซินหยานชี้ไปที่ม้าหนุ่มสีดำ ที่ยามนี้เดินตามนางออกมาจากคอกแล้ว
"ม้าตัวนี้ เดิมทีข้าคิดจะขายสามสิบตำลึงทอง แต่ไม่มีใครปราบมันได้ ในเมื่อเจ้าปราบมันลงได้ข้าคิดเพียงยี่สิบตำลึงทองเท่าราคาที่ข้าซื้อมันมา" ซินหยานพยักหน้ารับ
ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปดูรถม้าที่จะใช้เทียม ในเมื่อซื้อแล้วนางก็เลือกคันที่ใหญ่ที่สุด ก่อนจะให้คนงานเทียมม้าเข้ากับรถม้าให้ ตลอดเวลาซินหยานต้องอยู่ข้างๆ ด้วยเพื่อไม่ให้ทันทำร้ายคนงาน
"ผู้นี้พี่ชายของข้า" ซินหยานนำมือของจางเหลี่ยงไปให้ม้าหนุ่มดม เพื่อจะได้คุ้นชินกับกลิ่นของจางเหลี่ยง
ในตอนแรกมันก็ยังไม่ยินยอม แต่เมื่อเห็นสายตาของซินหยานที่มองมามันก็ก้มหัวลงเพื่อให้จางเหลี่ยงลูบมัน เมื่อเทียมรถม้าเสร็จแล้ว จางเหลี่ยงก็นำรถม้าออกไปบังคับเพื่อให้ชิน
เพราะเขาต้องเป็นคนบังคับรถม้ากลับหมู่บ้าน คนงานที่พาจาวเหลี่ยงไปตอนแรกก็ไม่กล้าที่จะบังคับ แต่เมื่อเห็นสายตาของซินหยานมองมาเขาจำต้องขึ้นไปนั่งสอนอยู่ด้านข้างของจางเหลี่ยงอย่างไม่เต็มใจ
เพียงครึ่งชั่วยามจางเหลี่ยงก็กลับมาที่โรงค้าสัตว์ ซินหยานก็จัดการเรื่องค่าม้าและรถม้าเรียบร้อย ทั้งสองจึงมุ่งหน้ากลับหมู่บ้าน ระหว่างทางจางเหลี่ยงแวะซื้อซาลาเปามานั่งกินกับน้องสาวบนรถม้าไปด้วย
ซินหยานนั่งอยู่ด้านนอกรถม้าเป็นเพื่อนจางเหลี่ยง ในยามนี้พี่ชายของนางยิ้มไม่หุบเมื่อมีรถม้าเป็นของตนเอง เพียงแค่ทางเข้าหมู่บ้านชาวบ้านก็ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นผู้บังคับรถม้าเป็นจางเหลี่ยง
แต่ทั้งสองมิได้หยุดรถเพื่อพูดคุย เพียงบอกต้องรีบกลับเรือนเพื่อนำยาไปให้บิดา ชาวบ้านก็ปล่อยไปแต่โดยดี ต่างคิดว่าจะไปถามที่เรือนท้ายหมู่บ้านแทน
เรื่องที่บ้านรองจางซื้อรถม้าไม่นานก็ไปเข้าหูของบ้านใหญ่ จางเซียนก็เดินไปที่บ้านของน้องชายทันทีเพื่อดูว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ฝูเหิงอาบน้ำขัดตัวอย่างเร่งรีบ เมื่อสำรวจจากร่างกายว่าแทบไม่หลงเหลือกลิ่นสุราแล้วก็เดินออกมาจากห้องน้ำ“หึหึ” เขาหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบาเมื่อเห็นซูหนี่นั่งหน้าเครียดอยู่ที่เตียงนอนฝูเหิงเดินเข้าไปนั่งข้างซูหนี่ก่อนที่จะยกตัวนางขึ้นมานั่งบนตักแล้วกอดนางไว้จากด้านหลัง“เป็นอันใดไปหรือ” ฝูเหิงก้มลงสูดดมกลิ่นหอมจากตัวซูหนี่ที่ซอกคอของนางอย่างโหยหา“ปะ เปล่าเจ้าค่ะ” ซูหนี่เอ่ยตอบเสียงสั่นฝูเหิงคิดว่านางคงกลัวจึงได้จับใบหน้าของซูหนี่ให้หันมาสบตาเขา ก่อนจะจรดหน้าผากของเขาเข้ากับของซูหนี่“หนี่เออร์ อย่าได้กลัว ข้าสัญญาว่าจะทะนุถนอมเจ้าอย่างดี” ฝูเหิงเอ่ยเสียงเบาราวกับกำลังปลอบประโลมนางหัวใจของซูหนี่เต้นระรัว เมื่อเห็นสายตาของฝูเหิงที่จ้องมองมาที่นางอย่างเร่าร้อน นางสั่นสะท้อนเล็กน้อยอย่างตื่นตัว เมื่อลมหายใจร้อนๆ ของฝูเหิงเป่ารดต้นคอของนางซูหนี่แทบอ่อนระทวย เมื่อถูกลิ้นร้อนของฝูเหิงไล้เลียและดูดดึงที่ซอกคอของนาง ความรู้สึกสับสนเกิดขึ้นกับนาง แต่ก็ปล่อยไปตามการสัมผัสของเขาฝูเหิงที่เพียงได้กลิ่นกายของนางความเร่าร้อนก็พุ่งสูงขึ้นภายใน แต่เขาจำต้องควบคุมสติไว้เพื่อไม่ให้นางตื่นกลัวสายตาขอ
ซินหยานยืนมองตำหนักอ๋องที่ประดับไปด้วยผ้าแดงของงานมงคลอย่างยินดี นางไม่เคยคิดว่าในชีวิตของนางจะมีครอบครัวที่อบอุ่นเช่นนี้ และในตอนนี้บุตรสาวเพียงคนเดียวของนางก็กำลังจะออกเรือนแล้วตอนนี้ซูหนี่นางโดนซงมามากับฝูมามาจัดการขัดเนื้อตัวของนางอยู่ แม้ว่าผิวพรรณของนางจะผุดผ่องไปไม่ได้มากกว่านี้แล้วก็ตามซินหยานเดินเข้าไปดูบุตรสาวที่แช่อยู่ในบ่อน้ำวิเศษของนางแล้วก็ได้แต่ถอนหยาใจ ไม่ต่างกับตัวนางในครั้งนั้นที่โดนจับขัดสีฉวีวรรณเช่นนี้ซินหยานนางยังช่วยชีวิตซูหนี่ด้วยการพานางกลับเรือนเพื่อพูดคุยตามประสาแม่ลูกก่อนที่จะออกเรือนในวันพรุ่งนี้“หนี่เออร์ นี่คือสิ่งที่มารดาทุกคนต้องสั่งสอนบุตรสาวก่อนออกเรือน” ซินหยานนางหยิบตำราวสันต์มาเปิดออกให้ซูหนี่ได้ดู"ท่านแม่" ซูหนี่ร้องอยากตกใจ เพราะสิ่งที่มารดาให้นางได้ดูนางเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก“มิใช่เรื่องน่าอาย มาแม่จะดูเป็นเพื่อนเจ้า” ซินหยานตบไปที่หลังมือของซูหนี่เบาๆเมื่อเห็นบุตรสาวทำท่าทางเขินอายยามที่นางเปิดไปแต่ละหน้าและอธิบายไปด้วย ซินหยานนางก็หัวเราะออกมาเบาๆนี่คือเรื่องที่ในภพนี้ยังไม่เปิดกว้าง จึงทำให้สตรีต่างเขินอายไม่กล้าพูดหรือแสดงออกมาก
ซินหยานนางยังให้ซูหนี่นำน้ำวิเศษใส่ไหจำนวนมากทิ้งไว้ที่จวนท่านแม่ทัพ ก่อนจะบอกกับจ้าวฟางหรงให้ไว้ใช้ในการเกษตรเช่นไร เพื่อให้ทหารและชาวบ้านเมืองเป่ยโจวที่หาผักสดกินได้ยาก ได้มีผักกินตลอดทั้งปีจ้าวฟางหรงก็กล่าวขอบคุณหยางอ๋องและซูหนี่ที่เมตตาต่อทหารและชาวเมืองมากเช่นนี้ เขารีบไปจัดการเรื่องทั้งหมดให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และทิ้งคนที่ไว้ใจได้ให้จัดการเรื่องการเพพาะปลูกต่อเพราะเขาต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกับหยางอ๋องและซินหยาน เพื่อจัดการเรื่องของมงคลของฝูเหิงกับซูหนี่ขบวนเดินทางของหยางอ๋องที่กลับเมืองหลวงก็มีผู้ติดตามกลับไปด้วยมากกว่าเดิม ทำให้พวกเขาไม่อาจเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในมิติได้ตลอดเวลาเช่นเดิมเพียงแต่จะเข้าไปก็ต่อเมื่อแยกย้ายกันกลับห้องพักผ่อนแล้ว เพราะขบวนเดินทางมีคนมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้กว่าจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงก็ล่วงเข้าเดือนที่สามของการเดินทางแล้วจ้าวฟางหรงก็ส่งคนมาให้จัดการจวนตระกูลจ้าวในเมืองหลวงไว้ก่อนแล้วฮ่องเต้ ฮองเฮาเมื่อรู้ว่าบุตรชายกับหลานทั้งสี่กลับมาถึงเมืองหลวงก็เรียกตัวเข้าวังทันทีทุกพระองค์ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแคว้นหานต่างก็ลอบตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนทะลุ
เชาชื่อนำยาลบความทรงจำมาส่งให้หยางอ๋อง เขาได้ทำกการปรุงยาขึ้นมาใหม่เพื่อใช้กับหานอี้สุ่ยโดยเฉพาะเชาชื่อต้องการให้หานอี้สุ่ยลืมเรื่องที่เขารู้เรื่องระเบิดและก่อนที่จะรู้จักกับซูหนี่ ความทรงจำของหานอี้สุ่ยจึงหยุดอยู่ในวันที่เขาลอบเข้าแคว้นเซี่ยเพื่อสืบเรื่องในแคว้นเท่านั้นก่อนที่จะพาตัวหานอี้สุ่ยออกจากมิติ ฝูเหิงทำลายเอ็นข้อมือข้างขวาของเขาทิ้งเสีย หากสวรรค์ยังเขาข้างหานอี้สุ่ยก็คงส่งหมอเทวดามารักษาเขา แต่หากไม่เขาก็ต้องกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิตซูหนี่พาซีฮันและฝูเหิงออกมาจากมิติ เพื่อให้เขาพาหานอี้สุ่ยไปโยนทิ้งไว้ข้างวังหลวงเมื่อเสร็จสิ้นเรื่องทั้งหมด ทุกคนก็เห็นตรงกันเรื่องที่ต้องเดินทางกลับแคว้นเซี่ย ชีวิตของหานอี้สุ่ยและฟ่านหลี่อิงหลังจากนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องข้องเกี่ยวอีกแล้วในตอนที่ออกจากแคว้นหาน ซูหนี่นางต้องเดินทางอยู่ภายในรถม้ากับฝูเหิงเช่นตอนขามา แต่ในครั้งนี้มีหยางอ๋องที่ปลอมตัวออกมาอยู่ด้วย เพราะเขาไม่ยินยอมที่จะให้บุตรีอยู่เพียงลำพังกับฝูเหิงฝูเหิงที่คิดว่ามีโอกาสใกล้ชิดกับซูหนี่ในรถม้าก็มีสีหน้าสลดอย่างเห็นได้ชัด สืออียังทำหน้าที่บังคับรถม้าเช่นเดิม ทุกคนที
หานอี้สุ่ยทรุดตัวนั่งลงอย่างสิ้นแรง เขาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน จะมีเรื่องอันใดที่ทำให้นางหลงลืมไปได้เช่นนี้ ตอนที่พบนางก็ไม่เห็นว่านางจะบาดเจ็บที่ใดฟ่านหลี่อิงถูกหานอี้สุ่ยส่งตัวไปคุมขังไว้ในคุกใต้ดิน เขายังไม่เชื่อนางเสียทั้งหมด ในเมื่อเขาทำตามที่รับปากนางไว้แล้ว แต่นางกลับไม่ยอมบอกวิธีทำระเบิด เช่นนั้นเขาก็จะทรมมานจนกว่านางจะพูดฟ่านหลี่อิงไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงถูกกระทำเช่นนี้ นางถูกนางกำนัลลากตัวไปไว้ในคุกใต้ดิน พร้อมทั้งหวดแส้ลงที่ร่างกายของนาง“หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ เพคะ” เสียงที่เอ่ยออกมาของนางแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเปิ่นกงอดทนกับเจ้ามากเพียงใด หากยังไม่ยอมพูดอีก เปิ่นกงจะตัดลิ้นของเจ้าเสีย” หานอี้สุ่ยดึงผมของฟ่านหลี่อิงขึ้น เพื่อให้เงยหน้ามาสบตากับเขาฟ่านหลี่อิงร่ำไห้อย่างหวาดกลัว นางได้แต่ร้องบอกว่านนางไม่รู้ นางจำสิ่งใดไม่ได้ แต่เหมือนจะเป็นการเพิ่มโทสะให้หานอี้สุ่ยมากขึ้น เขาลงแส้ไปที่ร่างกายของนางนับครั้งไม่ถ้วนฟ่านหลี่อิงหมดสติลง เพราะทนรับความเจ็บปวดไม่ไหวหานอี้สุ่ยเดินออกจากคุกใต้ดินไปอย่างไม่สบอารมณ์ เขาแทบไม่เคยคิดไว้เลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้
ไม่ต่างจากหานอี้สุ่ย เขาก็คิดเช่นนั้น เพราะเหลือเวลาอีกเพียงสามวันจะถึงวันงานแต่งจึงต้องส่งนางกลับไปที่จวนตระกูลฟ่านเพื่อเตรียมตัวเสียก่อน เขาจึงไม่ได้สอบถามรายละเอียดที่เกิดขึ้นถึงถามไปนางก็ตอบได้เพียงจำไม่ได้เท่านั้น ทหารและนางกำนัลในตำหนักต่างก็ตอบไม่ได้ว่าผู้ใดเป็นคนพาตัวฟ่านหลี่อิงออกไปจากตำหนักเพราะตอนที่ถูกทำร้าย พวกเขาต่างไม่เห็นใบหน้าของผู้ร้ายฟ่านหลี่อิงที่อยู่ภายในเรือนตระกูลฟ่าน นางจำไม่ได้ว่านางเข้าไปอยู่ในวังหลวงได้อย่างไร และเหตุใดนางถึงได้มีวาสนาถึงขั้นได้แต่งเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทนายท่านฟ่านกับฮูหยินฟ่านก็ไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติของบุตรสาว เพราะพวกเขาได้แต่ต้อนรับแขกที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีและเตรียมงานมงคลจนหัวหมุนสองวันต่อมา ฟ่านหลี่อิงก็ถูกปลุกมาให้เตรียมตัว เพื่อเข้าพิธีแต่งงาน งานจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่มาร่วมส่งเจ้าสาวมากมายจนแน่นเต็มเรือนพวกเขาล้วนอิจฉาตระกูลฟ่านที่เป็นเพียงคหบดีเท่านั้น แต่บุตรีกลับมีวาสนาได้เป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาท และต่อไปนางก็จะได้นั่งตำแหน่งฮองเฮาในอนาคต เช่นนี้แล้วผู้ใดจะไม่มาร่วมยินดีได้เล่าฟ่านหลี่อิงเดินเข้าไปก