Главная / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 11 ผู้สอบผ่านแห่งเพลงสะกดใจ

Share

บทที่ 11 ผู้สอบผ่านแห่งเพลงสะกดใจ

หวงจื่อรั่วค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อมองไปรอบๆ ทุกคนยังคงยืนนิ่ง หลับตาอยู่ในภวังค์ หวงจื่อรั่วสังเกตว่าตัวนางเป็นคนเดียวที่หลุดออกมาก่อน 

“เหตุใดข้าถึงหลุดออกมาก่อน บทเพลงยังคงบรรเลง นี่เป็นการทดสอบอะไรกัน ข้าผ่านแล้วงั้นหรือ”

หวงจื่อรั่วหันไปมองหลินหนิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และยังคงหลับตาแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน

“หลินหนิง!” หวงจื่อรั่วรีบก้าวเข้าไปใกล้ นางเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆ

หลินหนิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เสียงสะอื้นเล็กๆ ดังออกมาจากริมฝีปากของนาง ดวงตาของหลินหนิงเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอหน่วย ก่อนจะไหลรินลงมาอย่างเงียบงัน นางก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อของตัวเองแน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้น

“เจ้าเป็นอะไร?” หวงจื่อรั่วถาม

หลินหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนตอบเสียงสั่นเครือ “ในภวังค์… ข้ามองเห็นอดีตของข้า” 

หลินหนิงสูดลมหายใจเข้าไปอีกเฮือกหนึ่ง “ข้าว่าบทเพลงนี้ทำให้พวกเรามองเห็นภาพแห่งความเจ็บปวดได้ เจ้าเป็นเหมือนกันหรือไม่”

หวงจื่อรั่วนิ่งไปเมื่อได้ยินคำตอบนั้น นางคิดในใจว่าเหตุใดนางถึงไม่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนคนอื่น แต่ทันใดนั้นเอง ภาพในภวังค์ก็ย้อนกลับมาในความคิด ภาพที่นางถูกจางอี้หมิงพูดชมว่านางสวยกว่าใคร สวยมากกว่าผีเสื้ออันงดงาม

“ข้าไม่ชอบให้ใครมาชมว่าสวย”

หวงจื่อรั่วครุ่นคิดในใจ ในอดีตความทรงจำของนางไม่ได้มีอะไรที่เจ็บปวดมากนัก เพียงแต่…มันคือความทรงจำที่ทำให้นางกลายเป็นคนที่พยายามหลีกเลี่ยงตัวตนมาตลอด ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นางมักจะแต่งกายคล้ายชายเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาและคำชื่นชมจากผู้คน

นางถอนหายใจเบาๆ ก่อนยิ้มบางๆ ให้หลินหนิง “ใช่ ข้าก็คิดเช่นนั้น”

ทันใดนั้น แสงสว่างเจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นรอบตัวพวกนาง เวทเคลื่อนย้ายเริ่มทำงาน นำร่างของทั้งสองคนออกจากสนามสอบ พวกนางลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่ง

เสียงประกาศก้องดังขึ้นจากเบื้องบน “ผู้ที่มาอยู่ในห้องแห่งนี้ แสดงว่าสอบผ่าน!”

หลินหนิงยิ้มกว้าง น้ำตาแห่งความยินดีไหลออกมาอีกครั้งแล้วครุ่นคิดในใจ “หวังว่าข้าจะไม่ตกต่ำเช่นวันนั้นอีกแล้ว”

ห้องประชุมบนหอเทียนหยาง

ภายในห้องประชุมชั้นเก้าของหอเทียนหยาง เหล่าศิษย์ระดับสูงต่างจับจ้องภาพในกระจกวิญญาณขนาดใหญ่ที่ฉายภาพการแข่งขันในลานกว้างเบื้องล่าง เสียงเพลง “พฤกษาเหมันต์สะท้านจันทรา” ยังคงบรรเลงสะกดทุกคนในสนามสอบ

จางอี้หมิงนั่งพิงเก้าอี้ ดูภาพในกระจกพลางยิ้มกริ่ม เมื่อหวงจื่อรั่วหลุดออกจากภวังค์เป็นคนแรก

“ข้าชนะแล้ว! ข้าบอกแล้วว่าสตรีจะเป็นฝ่ายหลุดออกมาก่อน!”

 เขากระโดดลุกขึ้นทันที พลางหันไปมองฟ่านหวง 

ฟ่านหวงเลิกคิ้วขึ้น พลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าจะดีใจอะไรนักหนา? นั่นมันบุรุษ ไม่ใช่สตรี เจ้าเสียเดิมพันแล้ว!”

จางอี้หมิงหันขวับมามองเขาด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ “ท่านนี่มันตาถั่วหรืออย่างไร! นางไม่ใช่บุรุษ นางเป็นสตรี!”

ฟ่านหวงชะงักเล็กน้อย ก่อนหัวเราะออกมา “เจ้าล้อข้าเล่นหรือ? เจ้าไม่เห็นเสื้อผ้าที่ศิษย์ผู้นั้นใส่หรืออย่างไร?”

“มีตาหามีแวว! ” จางอี้หมิงขัดขึ้นทันที เสียงดังจนคนอื่นในห้องประชุมหันมามอง เขาชี้นิ้วไปที่ฟ่านหวงพลางด่าต่อ 

“ข้าจะบอกอะไรท่านให้ หวงจื่อรั่วเป็นคนในจวนพ่อข้าเอง ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร!”

ฟ่านหวงชะงัก สีหน้าสับสน “จริงหรือ? นางเป็นสตรี?”

จางอี้หมิงยักคิ้วด้วยท่าทางเย้ยหยัน “แน่นอน! ท่านจะยอมรับหรือไม่?”

ฟ่านหวงมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อเห็นสีหน้ามั่นอกมั่นใจของจางอี้หมิง เลยไม่อยากจะทักท้วงอะไรเพิ่มเติม เขาหยิบเหรียญทองแดง 20 อีแปะขึ้นมาแล้วโยนให้จางอี้หมิง “เอาไป แค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่ข้าจะยอม”

จางอี้หมิงรับเงินมา ยิ้มอย่างมีชัย “ท่านเป็นรองข้าไปอีกร้อยปี”

จางอี้หมิงยักไหล่พลางเก็บเงินเข้ากระเป๋า ก่อนจะตั้งใจดูการสอบต่อไป

ห้องโถงของผู้สอบผ่าน

ภายในห้องโถงใหญ่ของหอเทียนหยาง พื้นห้องปูด้วยศิลาเรียบสีขาวขุ่นซึ่งสะท้อนแสงจากโคมที่ลอยอยู่เหนือศีรษะทั่วทั้งห้อง ผนังทั้งสี่ด้านประดับด้วยลวดลายภาพวาดอักษรโบราณ

หลินหนิงและหวงจื่อรั่วยืนอยู่กลางห้องด้วยกัน ทั้งสองเงียบงันขณะมองไปรอบๆ หวงจื่อรั่วกอดอกด้วยท่าทางสงบนิ่ง แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งใจที่ผ่านการสอบมาได้ ส่วนหลินหนิงยังคงปาดน้ำตาที่หลงเหลือจากตื้นตันใจที่สอบผ่าน

ไม่นานนัก ผู้เข้าสอบที่ผ่านการทดสอบก็ค่อยๆ ทยอยมาถึงทีละคน บางคนเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่อ่อนล้า บางคนถึงกับโห่ร้องออกมาเบาๆ ด้วยความยินดีเมื่อได้ก้าวเข้าสู่ห้องแห่งนี้

เมื่อเวลาสอบหมดลง เสียงระฆังดังกังวานไปทั่วทั้งสำนัก บ่งบอกว่าการสอบสิ้นสุดลงแล้ว ผู้ที่สอบไม่ผ่านถูกดีดออกจากสนามสอบทันที มีเพียงผู้ที่ได้ไปต่อเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่

ที่ห้องโถงใหญ่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความยินดีและเสียงพูดคุยเบาๆ ของผู้เข้าสอบที่ผ่านการทดสอบ แต่เมื่อประตูใหญ่ของห้องโถงเปิดออก เสียงพูดคุยก็เงียบลงทันที 

ทุกคนหันไปมองทางประตูที่เปิดออกมาเบื้องหน้า เจ้าสำนักกู่เจิ้งเดินเข้ามาด้วยกิริยาสง่างามและน่าเกรงขาม ขนาบข้างด้วยศิษย์พี่ชิงซิ่ว ผู้เชี่ยวชาญเวทแห่งเสียง และศิษย์พี่ลิ่วเฉียง ผู้มีชื่อเสียงด้านวรยุทธ์และเวทเคลื่อนย้าย ซึ่งทั้งสองคือศิษย์ระดับสูงสุดของสำนัก

เจ้าสำนักกู่เจิ้งหยุดยืนอยู่ที่แท่นกลางห้องโถง สายตาอันทรงพลังของเขากวาดมองผู้เข้าสอบที่ผ่านการทดสอบทั้งหมดด้วยแววตาอ่อนโยน

“ยินดีต้อนรับพวกเจ้าทุกคนสู่สำนักเทียนหยาง” เสียงของเจ้าสำนักดังกังวานไปทั่วห้องโถง “ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนได้ผ่านการสอบมาได้ ถือเป็นก้าวแรกสู่วิถีแห่งการเป็นผู้ฝึกตน”

เขาหยุดเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “แต่หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ข้าขอให้พวกเจ้ากลับไปเตรียมตัวให้พร้อม คืนนี้พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วพรุ่งนี้มารายงานตัวเพื่อเริ่มต้นการฝึกฝนในสำนักเทียนหยางอย่างแท้จริง”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status