เมื่อการสอบสิ้นสุดลง จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่ในห้องประชุม จากนั้นศิษย์พี่ฟางหรงในชุดยาวปักลวดลายประณีต รูปร่างโปร่งบาง งดงามราวกับภาพวาดบนม้วนกระดาษโบราณ ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิ
ฟางหรงหันมาทางจางอี้หมิง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่มีเสน่ห์ “จางอี้หมิง เดี๋ยวเจ้าตามข้ามา ข้ามียาฟื้นฟูที่บ่มไว้นานแล้ว คาดว่าน่าจะเสร็จพอดี เดี๋ยวเจ้าไปเอายาที่บ้านข้า”
จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขามองศิษย์พี่ฟางหรงด้วยสายตาชื่นชม ก่อนพึมพำในใจว่า "ศิษย์พี่ฟางหรงของข้าผู้นี้ มองยังไงก็งดงาม น่าจะงามสุดในสำนักแล้ว"
เขาลุกขึ้นยืน ยิ้มพลางตอบนาง “ขอบคุณศิษย์พี่ฟางหรง ข้าจะรีบไปตามคำสั่งของท่าน”
ฟางหรง ผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์การรักษาและฟื้นฟู เป็นหนึ่งในศิษย์ระดับสูงของสำนัก นางไม่เพียงเชี่ยวชาญการปรุงยาและฟื้นฟูพลังปราณเพื่อการรักษาเท่านั้น แต่ยังเป็นที่พึ่งพิงของเหล่าศิษย์ในยามบาดเจ็บ เรียกได้ว่านางคือเสาหลักอีกผู้หนึ่งของสำนัก
ขณะจางอี้หมิงเตรียมตัวจะเดินออกจากห้องประชุม ศิษย์พี่เฉินเจิ้ง หนุ่มร่างท้วมเดินเข้ามากระซิบใกล้ๆ “พลังปราณของเจ้ามีปัญหาด้านสมดุลมิใช่หรือ? ลองปรึกษาศิษย์พี่ฟางหรงดูสิ นางเชี่ยวชาญด้านนี้ที่สุด เผื่อว่านางจะช่วยปรับสมดุลให้เจ้าได้”
จางอี้หมิงหันไปมองเฉินเจิ้งด้วยสายตาครุ่นคิด “เจ้านี่คิดจะให้ข้าทำสิ่งใด เหอะ! ภายนอกเป็นหนอนหนังสือบ้าพลัง เอาเถอะ ข้าก็มีความคิดชั่วช้าไม่ต่างจากเจ้า”
จางอี้หมิงตอบกลับด้วยเสียงเรียบแต่แฝงรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะศิษย์พี่”
บ้านหลังน้อยของฟางหรง
บ้านหลังน้อยของฟางหรงตั้งอยู่บนเนินเขา ภายในหุบเขาเทียนหยาง เบื้องหน้ามองเห็นทิวทัศน์ของป่าเขียวขจีและเมฆหมอกที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ รอบบ้านมีสวนดอกไม้หลากสีสันปลูกไว้เป็นระเบียบ ดอกไม้ทั้งใหญ่เล็กเบ่งบานอย่างงดงาม ส่งกลิ่นหอมละมุนลอยอบอวลไปทั่วบริเวณ
ที่กลางสวนดอกไม้มีโต๊ะหินกลมและเก้าอี้หินตั้งอยู่ ฟางหรงในชุดยาวสีเขียวเข้มลวดลายดอกไม้สีนวล นั่งสง่างามอยู่ที่โต๊ะหิน ใบหน้าของนางยังคงเรียบสงบแต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน ดวงตาคู่งามจับจ้องไปยังดอกไม้ตรงหน้าอย่างผ่อนคลาย
จางอี้หมิงเดินเข้ามาในสวน เสียงก้าวเท้าของเขาแทบไม่ได้ยินเหมือนกลืนหายไปในเสียงสายลมที่พัดผ่าน เขามองรอบตัวด้วยความชื่นชมในความงามของสวนแห่งนี้ กลิ่นหอมจากดอกไม้ในสวนผสมผสานกับกลิ่นกายอันแสนละมุนของฟางหรง ลอยแตะจมูกเขาเบาๆ ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว
“มาแล้วหรือ?” ฟางหรงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล นางยกยิ้มเล็กน้อยพลางหยิบกระปุกยาส่งให้เขา
จางอี้หมิงเดินมานั่งที่เก้าอี้หินฝั่งตรงข้าม สูดลมหายใจลึกเพื่อสงบจิตใจ ก่อนรับกระปุกยาจากมือของฟางหรง “ขอบคุณศิษย์พี่” เขากล่าวอย่างนอบน้อม
ฟางหรงมองเขาด้วยสายตาเรียบสงบ “นี่เป็นเพียงยาบำรุงที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายเจ้าเท่านั้น แต่เรื่องพลังปราณของเจ้าที่เสียสมดุล...ตอนนี้ข้ายังช่วยเจ้าไม่ได้”
“เพราะเหตุใด?” จางอี้หมิงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย
ฟางหรงถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนอธิบาย “ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ข้ารวบรวมสมุนไพรเพื่อปรุงยาสมานปราณมาได้เพียงหนึ่งชนิด ยังขาดสมุนไพรอีกสิบเจ็ดชนิด คาดว่าอีกเกือบยี่สิบปีถึงจะหาได้ครบ ฉะนั้น อย่ารอเลย เจ้าควรตั้งใจฝึกปราณย้อนกลับ จะได้ผลเร็วกว่า”
จางอี้หมิงนิ่งฟัง ก่อนเอ่ยขึ้นเบาๆ “แต่ข้าจำได้ว่ายังมีอีกวิธีหนึ่งใช่หรือไม่?”
ฟางหรงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนมองเขาด้วยแววตาจริงจัง “เรื่องสตรีบริสุทธิ์น่ะหรือ?” นางพูดพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กน้อย “เรื่องนี้เจ้าต้องหาเอาเองเถอะ ข้าช่วยเจ้าไม่ได้”
คำพูดของฟางหรงทำให้จางอี้หมิงชะงัก ใจหนึ่งเขารู้สึกเสียดายลึกๆ “หากศิษย์พี่ฟางหรงเป็นคนผู้นั้นก็คงดีไม่น้อย” เขาคิดในใจ ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น “ข้าเข้าใจ เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
ฟางหรงพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จางอี้หมิงจะเดินจากไป ฟางหรงก็กล่าวขึ้นว่า “เจียงเยว่เคยบอกข้าว่า เวทอักษรเก่าของเขายังใช้งานได้ อาจช่วยเจ้าได้ในอนาคต”
จางอี้หมิงนิ่งฟัง ก่อนพยักหน้า “ขอบคุณศิษย์พี่ ข้าจะจดจำไว้”
ศิษย์พี่เจียงเยว่รู้ได้อย่างไรว่าเวทอักษรเก่าของข้าใช้งานได้ เอ๊ะ! วันก่อนนางใช้เวทจันทราใส่ข้า…
ผายลมมันเถอะ!
ข้าเคยเขียนเวทอักษรฝันลวงทำกับดักเอาไว้! ถึงว่าวันนี้ทำท่านางรังเกียจข้าแปลกๆ
บ้านของเจียงเยว่
บ้านของเจียงเยว่ไม่เหมือนบ้านของฟางหรงที่เต็มไปด้วยสวนดอกไม้ที่มีชีวิตชีวา บ้านของเจียงเยว่ตั้งอยู่ในที่ร่มรื่นแห่งหนึ่งของภูเขาเทียนหยาง แม้ว่าจะไม่มีดอกไม้บานสะพรั่ง แต่ก็มีความเรียบง่ายที่มีแรงดึงดูดพอสมควร
จางอี้หมิงเดินขึ้นมาที่หน้าบ้านและตะโกนเรียก “ศิษย์พี่เจียงเยว่!” เสียงของเขาดังไปทั่ว แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากภายในบ้าน
เจียงเยว่ได้ยินเสียงของจางอี้หมิงที่ดังมาจากหน้าบ้าน นางมองออกไปลอดหน้าต่าง ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังมีธุระบางอย่าง
เจียงเยว่ยิ้มมุมปากบางๆ ก่อนจะบ่นออกมาเบาๆ “เจ้าลูกสุนัขนี่มาทำอะไร?”
จากนั้น จางอี้หมิงคุกเข่าลง แล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าเคยทำกับดักในฝันใส่ท่าน”
เจียงเยว่ที่แอบฟังอยู่ ขมวดคิ้วและพูดด้วยเสียงเข้ม “หยุดพูดเดี๋ยวนี้!”
จากนั้นก็ปิดหน้าต่างลงอย่างรวดเร็ว หน้าแดงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงียบไปสักพักแล้วเปิดประตูบ้านออกมา ทำหน้าบึ้งบอก “ลุกขึ้นซะ!”
จางอี้หมิงลุกขึ้นยืนตรงแล้วตอบ “ขออภัย...ศิษย์พี่ข้า...”
เจียงเยว่เริ่มบ่นต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ยังคงหงุดหงิดอยู่ “ไม่ต้องพูดๆ ข้ารู้ว่าเจ้ามัน…มันไม่มีสาระ แล้วเมื่อไหร่มันจะปรับสมดุลพลังได้”
จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อย พูดด้วยความมั่นใจ “ศิษย์พี่ฟางหรงบอกว่า แค่ขยันฝึกปราณย้อนกลับก็ปรับสมดุลได้แล้ว”
จากนั้นเขาก็ถามด้วยความสนใจ “แล้วเวทอักษรที่ท่านบอกว่ายังใช้งานได้ มันใช้งานได้จริงไหม?”
เจียงเยว่หันมามองเขาด้วยแววตาจริงจัง “ใช้งานได้สิ แต่มันมีเงื่อนไขการใช้ยังไงบ้าง คงมีแต่เจ้าที่รู้”
จางอี้หมิงหยิบยันต์เวทอักษรที่เก็บไว้ในกระเป๋าออกมาหนึ่งแผ่น เขามองมันอย่างตั้งใจ ก่อนจะเบะปากออกเล็กน้อย
“ต้องใช้พลังปราณกระตุ้น ตอนนี้ข้าทำไม่ได้”
เจียงเยว่ยื่นมือเข้ามาแตะมือที่จางอี้หมิงถือยันต์อยู่เบาๆ ก่อนจะถ่ายพลังปราณเล็กน้อยผ่านมือเอาเรียวเล็ก จางอี้หมิงใจเต้นครู่หนึ่ง
ทันใดนั้นเอง แผ่นยันต์ที่อยู่ในมือของจางอี้หมิงก็เริ่มส่องแสงเปล่งประกายเล็กน้อย และแล้วก็เกิดเปลวไฟเล็กๆ ขึ้นจากกลางแผ่นยันต์
จากนั้นดอกไม้ไฟที่เกิดจากอักษรเวทของแผ่นยันต์นั้นก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ดอกไม้ไฟนั้นมีสีสันสวยงามเกินบรรยาย
“ข้าแค่ทดสอบดูเฉยๆ เจ้าไปฝึกปรับสมดุลพลังเองเถอะ!”
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร