วันนี้เหล่าศิษย์ระดับศูนย์ ซึ่งเป็นระดับฐานของสำนักเทียนหยาง ต้องกลับสู่การฝึกฝนอีกครั้ง
จางอี้หมิงเดินผ่านประตูห้องเรียนเข้ามาด้วยท่าทางผ่อนคลาย สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับสองดรุณีงาม
หลินหนิงและหวงจื่อรั่ว สองสาวที่งามหยดย้อยในอาภรณ์ที่สะอาดตาแต่แนบเน้นรูปร่างพองาม สัดส่วนอ่อนช้อยของพวกนางช่างเย้ายวนจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง พลางโบกพัดในมือราวกับเป็นบัณฑิตเจ้าสำราญ แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาพวกนางอย่างไม่เร่งรีบ
ทว่า ก่อนที่เขาจะไปถึงเป้าหมาย ชายหนุ่มสองคนก็ขวางทางไว้ คนหนึ่งแซ่หม่า อีกคนแซ่เจียง ทั้งสองเป็นสมุนของซุนสีห่าว บุตรชายของขุนนางใหญ่ แต่กลับเป็นคุณชายไม่เอาไหน ที่ฟ้าดินกลั่นแกล้งให้มาเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของน้องสาวจางอี้หมิง
สมุนทั้งสองของซุนสีห่าวกอดอก ยืดอกทำท่าโอหัง ก่อนที่ผู้แซ่หม่าจะชี้นิ้วมาที่จางอี้หมิง
“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” ผู้แซ่หม่ากล่าวเสียงดัง “วันนี้พวกข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าจากเหตุการณ์วันนั้น ที่เจ้าทำให้พวกข้าอับอายที่หน้าสำนักบ่อนเบี้ย!”
จางอี้หมิงเหลือบตามองพวกเขาเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความเฉยเมย ก่อนจะเดินผ่ากลางระหว่างทั้งสองไปอย่างไม่แยแส ชนไหล่ทั้งสองเบา ๆ เหมือนพวกเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ
“รอข้านานหรือไม่?” จางอี้หมิงกล่าวถามหลินหนิงและหวงจื่อรั่วอย่างเป็นธรรมชาติ
สองดรุณีงดงามหันมองจางอี้หมิงข้าๆ หลินหนิงมีใบหน้าที่มองแล้วน่ารัก มีดวงตากลมโต นัยตาใส ริมฝีปากแดงเล็กน้อย
ทางด้านหวงจื่อนั่วนั้นมีใบหน้าที่งดงามดุจภาพวาดของเทพธิดาชั้นฟ้าใดชั้นหนึ่ง ความงามของนางในสายตาจางอี้หมิงแล้วนับว่าระดับต้นของเมืองหลวง
“พวกข้ากำลังรอท่านอยู่พอดี” หลินหนิงตอบพลางยิ้มเล็ก ๆ ส่วนหวงจื่อรั่วยิ้มอย่างเดียวไม่พูดอะไร
ทว่าผู้แซ่หม่ากับผู้แซ่เจียงยังไม่ละความพยายาม ทั้งสองเดินเข้ามาหาเรื่องต่อ สีหน้าดูอับอายที่ถูกเมิน
“เจ้านี่มันบังอาจนัก! กล้าหมางเมินพวกข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!” ผู้แซ่เจียงตะคอกเสียงดัง
จางอี้หมิงถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นลอย ๆ “เสียงนกเสียงการ้องช่างน่ารำคาญยิ่งนัก”
ผู้แซ่หม่าและผู้แซ่เจียงหน้าขึ้นสีด้วยความโมโห เตรียมจะพุ่งเข้าเล่นงานเขา ทว่าก่อนที่พวกเขาจะได้ทำเช่นนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
ซุนสีห่าวเดินเข้ามากระแทกพัดลงบนศีรษะของสมุนทั้งสองอย่างแรง จนพวกเขาเซไปด้านข้างก่อนจะหันกลับมามองนายของตนด้วยความตกตะลึง
“พวกเจ้าโง่เง่าเบาปัญญานัก! คิดจะทำอะไรไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง?” ซุนสีห่าวตวาด ก่อนจะเดินเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าจางอี้หมิงอย่างนอบน้อม
“ขออภัยพี่เขย ข้าน้อยสั่งสอนลูกสมุนไม่ดี ขอให้พี่เขยโปรดลงโทษข้าน้อยด้วย!”
จางอี้หมิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางกล่าวเสียงเรียบ “ใครเป็นพี่เขยเจ้า?”
เจ้าซุนสีห่าวคนถ่อยนี่ คิดจะเนียนขอใบเบิกทางจากข้า อย่าได้หวังเสียง่ายๆ
“สมุนของเจ้า เจ้าก็สั่งสอนเองเถิด ส่วนเจ้าหาเงินมาคืนข้าให้ครบก็พอ”
ซุนสีห่าวหน้าถอดสีเล็กน้อย “เรื่องนั้นข้าน้อยไม่ลืม”
ซุนสีห่าวรีบประสานมือแล้วลากสมุนทั้งสองออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อออกมาพ้นเขตอาคารแล้ว สมุนทั้งสองก็หันไปถามด้วยความสับสน
“คุณชาย เหตุใดท่านถึงต้องกลัวมันขนาดนั้น?” ผู้แซ่หม่าเอ่ยถาม
ซุนสีห่าวหันกลับมามองพวกมันด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะพูดด้วยเสียงต่ำ “เจ้าพวกโง่! จางอี้หมิงคือบุตรของท่านอ๋องจางส่วง! พวกเจ้ามีศีรษะสิบหัวก็ตัดไม่พอ!”
ผู้แซ่หม่าและผู้แซ่เจียงหน้าถอดสี รีบประสานมือแล้วกล่าวขึ้นพร้อมกัน “ข้าผิดไปแล้ว!”
แม้ว่าครอบครัวของจางส่วงจะเป็นเพียงอดีตราชวงศ์ที่ไม่มีอำนาจใดๆ ในราชสำนัก และวงราชการ แต่ก็ยังมีประชาชนจำนวนไม่น้อยให้การเคารพนับถืออยู่ หากว่าคนบ้านสกุลจางได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดี อาจมีประชาชนไม่พอใจ และขุนนางบางกลุ่มอาจหันกลับไปสนับสนุนก็เป็นได้
ดังนั้นใครที่คิดกลั่นแกล้งบ้านสกุลจางจะได้รับการลงโทษอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน หากบ้านสกุลจางพลาดทำผิด ก็มีสิทธิ์โดนราชสำนักกวาดล้างได้เช่นกัน จึงเป็นเหตุให้ท่านอ๋องจางส่วง และมารดาผู้ให้กำเนิด ตั้งใจส่งตัวจางอี้หมิงมาฝึกตนที่สำนักเทียนหยาง เพื่อให้พ้นจากวงราชการให้มากที่สุด และยังคงเป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนอีกด้วย
เมื่อศึกษาเสร็จ จางอี้หมิงก็เดินตรงไปยังหน่วยแพทย์ของสำนัก เพื่อรับยาฟื้นฟูพลังตามกำหนดการ
บรรยากาศในเรือนแพทย์อบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ เขาก้าวผ่านชั้นวางยาที่เรียงรายเป็นระเบียบ ก่อนจะพบกับแม่นางผิงกั๋ว ศิษย์น้องผู้เป็นรองผู้ดูแลหน่วยแพทย์ ที่กำลังก้มหน้าดูตำราอยู่
อะแฮ้ม!
จางอี้หมิงกระแอมเล็กน้อย ผิงกั๋วได้ยินดังนั้นก็รีบเงยใบหน้าอันสวยสดขึ้นมาช้าๆ
“ศิษย์พี่อี้หมิง ท่านมารับยาบำรุงหรือ?” ผิงกั๋วเงยหน้าจากตำรายา ดวงตากลมใสส่องประกายขี้เล่น
จางอี้หมิงโบกพัดในมือ ยิ้มพลางเอนตัวเข้าหานางเล็กน้อย “ใช่แล้ว ข้ามารับยา หรือจะให้ข้ามารับเจ้าไปเดินเที่ยวกันล่ะ”
ผิงกั๋วหน้าแดงขึ้นมาทันที ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น “ศิษย์พี่พูดจาเหลวไหลนัก!”
จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ พลางรับยาในถุงผ้าเนื้อดีจากมือนาง ปลายนิ้วของเขาแกล้งสัมผัสหลังมือนางแผ่วเบา ผิงกั๋วสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบดึงมือกลับ ดวงหน้าแดงก่ำขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“ว่าแต่...ศิษย์พี่ฟางหรงจะกลับมาเมื่อไหร่?” จางอี้หมิงเปลี่ยนเรื่องถามขึ้น
ผิงกั๋วทำแก้มป่องขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะจ้องเขาด้วยสายตาตัดพ้อ “พบหน้าข้าก็ถามถึงสตรีคนอื่น น่าน้อยใจยิ่งนัก”
จางอี้หมิงยิ้มขบขัน ก่อนจะแสร้งทอดถอนใจยาว “เฮ้อ ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ ศิษย์น้องผิงกั๋วงดงามถึงเพียงนี้ เหตุใดยังไม่มีบุรุษมารับไปเป็นภรรยาอีก สงสัยจะเป็นเพราะขี้น้อยใจเพียงนี้นี่เอง”
“ข้าขี้น้อยใจ เกี่ยวอันใดกับการไม่มีใครรับเป็นภรรยา” ผิงกั๋วเผลอขึ้นเสียง หน้าแดงยิ่งกว่าเดิม รีบก้มหน้าก้มตาคลุกเคล้าสมุนไพรในถาด
จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ “ยังไม่มีก็ดีแล้ว ไม่งั้นข้าคงน้อยใจแย่”
“เกี่ยวอันใดกับท่าน…ข้า...ข้าไม่คุยกับท่านแล้ว!” นางหันหลังให้ ก้มหน้าก้มตาหยิบตำราสมุนไพรขึ้นมาบังใบหน้าของตัวเอง
จางอี้หมิงพอใจที่ได้หยอกนางจนเขินหนัก จึงยิ้มขำก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “ว่าแต่ ศิษย์พี่ฟางหรงจะกลับมาเมื่อใดกันแน่?”
ผิงกั๋วยังคงทำแก้มป่อง แต่คราวนี้ลดตำราลงก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
จางอี้หมิงพยักหน้า “เช่นนั้น ข้าคงต้องรอไปก่อน” จากนั้นเขาก็ยิ้มให้นางเล็กน้อย “ข้าต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองด้วยล่ะ อย่ามัวแต่ดูแลผู้อื่น”
ผิงกั๋วเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้าตอบเบาๆ
เมื่อออกจากเรือนแพทย์ จางอี้หมิงนึกถึงสิ่งที่อ่านเกี่ยวกับศิลาเฝิ่นเหิงแล้วรู้สึกค้างคาใจ ข้อมูลที่พบในตำรามีหลายส่วนที่ยังไม่เข้าใจ ถ้าจะมีใครให้คำตอบได้ คงเป็นศิษย์พี่เฉินเจิ้งเท่านั้น เพราะเขาเป็นคนเดียวในเวลานี้ที่อาวุโสสูงที่สุด และมีความเป็นหนอนหนังสือมากที่สุด
เขาตัดสินใจตรงไปยังบ้านพักของศิษย์พี่เฉินเจิ้งทันที...
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร