จางอี้หมิงเดินทางมาถึงบ้านของศิษย์พี่เฉินเจิ้ง บ้านของเฉินเจิ้งเต็มไปด้วยเศษโลหะกระจัดกระจายทั่วบริเวณ บางชิ้นเป็นแผ่นเหล็ก บางชิ้นเป็นเศษดาบที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และบางชิ้นก็เป็นเพียงเศษเหล็กที่ขึ้นสนิมไปแล้ว ที่หน้าบ้านมีเตาหลอมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ เปลวไฟที่มอดลงไปแล้วทำให้รู้ว่าเฉินเจิ้งคงเพิ่งทำงานเสร็จไม่นาน
จางอี้หมิงมองสภาพบ้านแล้วอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “เพ่ย! ศิษย์พี่เฉินเจิ้ง ช่างโสโครกยิ่งนัก!”
ทันใดนั้น เสียงจากในบ้านก็ดังขึ้นมาทันที “เจ้าพูดอะไรข้าได้ยินนะ!”
จางอี้หมิงยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าตั้งใจให้ท่านได้ยิน” แล้วเดินเข้าไปในบ้าน
ภายในบ้านรกไม่แพ้ด้านนอก หากแต่สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในนี้ไม่ใช่เศษโลหะ แต่เป็นกองหนังสือที่กองระเกะระกะจนแทบไม่มีทางเดิน พื้นบางส่วนมีรอยหมึกเปรอะเปื้อน บางจุดมีม้วนตำราวางซ้อนกันจนสูงท่วมหัว
เฉินเจิ้งคือผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ค้อนและหลอมโลหะ แถมยังเป็นผู้ชำนาญการอ่านตำรา
ตอนกลางวันเขามักหมกมุ่นอยู่กับเตาหลอมโลหะ ส่วนกลางคืนจะหมกมุ่นอยู่กับตำราในบ้าน
จางอี้หมิงลัดเลาะกองหนังสือเข้าไปหาเฉินเจิ้งซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้เก่าๆ ตัวหนึ่ง ในมือยังถือคีมคีบโลหะที่ดูเหมือนจะใช้แทนที่คั่นหน้าหนังสือ
จางอี้หมิงคารวะศิษย์พี่หนึ่งครั้งก่อนจะนั่งลงอย่างสบายอารมณ์ จากนั้นก็หยิบกาน้ำชาบนโต๊ะมาแล้วรินชาลงถ้วยตัวเอง
เฉินเจิ้งเลิกคิ้วมอง “ใครให้เจ้าดื่ม?”
จางอี้หมิงยิ้มพลางยกถ้วยขึ้น “ข้าอนุญาตตัวเอง”
เฉินเจิ้งหัวเราะเบาๆ ก่อนส่ายหน้า “หากว่าข้าโสโครก เจ้าเองก็ไร้มารยาท”
จางอี้หมิงยักไหล่ “ก็มิอาจปฏิเสธได้” แล้วจิบชาอย่างสบายใจ
เฉินเจิ้งถอนหายใจ “ว่าแต่ มีธุระอันใดถึงมาหาข้าด้วยตัวเอง?”
จางอี้หมิงยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ท่านเป็นหนอนหนังสือลำดับที่สามของสำนัก ข้าจึงมาปรึกษาเกี่ยวกับตำรา”
เฉินเจิ้งขมวดคิ้ว “หืม? หากข้าเป็นลำดับที่สาม แล้วใครคืออันดับหนึ่งกับสอง?”
จางอี้หมิงวางถ้วยชาลง ก่อนจะตอบหน้าตาย “อันดับสองคือท่านอาจารย์ ส่วนอันดับหนึ่ง...ก็คือตัวข้าเอง”
เฉินเจิ้งส่ายหน้า “อวดดียิ่งนัก รีบพูดธุระของเจ้ามา”
จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะล้วงตำรา ศิลาเฝิ่นเหิง ออกมาวางบนโต๊ะ “ท่านรู้จักสิ่งนี้หรือไม่?”
เฉินเจิ้งหยิบตำราขึ้นมาดู เปิดพลิกไปสองสามหน้า ก่อนจะพยักหน้า “อืม...เคยได้ยินมาบ้าง รู้เพียงว่าเป็นตำนานเกี่ยวกับ นักพรตเซียนไท่ซวิน ว่ากันว่าเป็นผู้สร้างศิลาเฝิ่นเหิงขึ้นมา ตอนนี้กระตัดกระจายไปทั่ว แต่ก็ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่”
เฉินเจิ้งปิดตำราลงแล้วมองจางอี้หมิง “เจ้าสนใจจะออกค้นหาหรือ?”
จางอี้หมิงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “ของที่ไม่รู้ว่าโลกนี้มีจริงหรือไม่ ข้าจะไปตามหาทำไมกัน? เสียเวลาหาความสุขเปล่าๆ”
เฉินเจิ้งหัวเราะเบาๆ “แล้วอะไรคือความสุขของเจ้า?”
จางอี้หมิงยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนตอบอย่างจริงจัง “การมีภรรยาที่ดีคือความสุขของข้า”
การมีภรรยาที่ดี และจำนวนมากรายล้อม นี่คือสิ่งที่ข้าไม่ได้กล่าวบอกท่านไป
เฉินเจิ้งถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง “เจ้านี่มัน…”
จางอี้หมิงลุกขึ้นยืน ปัดชายเสื้อให้เข้าที่ “เอาล่ะ ข้ารบกวนท่านพอแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
“ไม่ส่งล่ะ!”
จางอี้หมิงเดินออกมาจากบ้านของศิษย์พี่เฉินเจิ้ง ท่ามกลางแสงจันทร์และแสงดาวที่สาดส่องให้เห็นทุกสิ่งโดยรอบได้อย่างชัดเจน ทันใดนั้น เขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างสตรีงดงามร่างระหง หุ่นดีสุดอึ๋มมายืนกอดอก ดักรออยู่ที่หน้าบ้านของเขา
“ศิษย์พี่เจียงเยว่?”
หญิงสาวแสนงามคนนี้คือศิษย์พี่เจียงเยว่ ผู้เลื่องลือในเรื่องฝีมือวรยุทธ์และความงดงามในสำนัก นางยืนกอดอก ส่วนนูนดุจภูเขาโดดเด่นชัดเจน ดวงตาสวยคมกริบมองตรงมาที่เขาอย่างกดดัน
“ศิษย์พี่มีธุระอันใด มาดักรอข้าถึงหน้าบ้าน?” จางอี้หมิงถามพลางยิ้มเจ้าเล่ห์
เจียงเยว่เชิดคางขึ้นน้อยๆ “กลับมาแล้วก็ไม่คิดจะมาทักทาย วันนี้ก็มัวแต่เที่ยวเล่นทั้งวัน น่าหงุดหงิดยิ่งนัก!”
จางอี้หมิงได้ยินดังนั้นก็คิดในใจ ‘นี่ท่านจะน้อยใจข้าทำไมกัน?’ แต่สายตาของเขากลับไม่ทันสังเกตเห็นแววตาแอบเศร้าและน้อยใจของเจียงเยว่
“ท่านมีปัญหาอะไร?”
เจียงเยว่ไม่ตอบ แต่กลับหมุนตัวเดินตรงเข้าไปในบ้านของจางอี้หมิงหน้าตาเฉย
เฮ้ย! นี่มันบ้านข้า!
แต่แทนที่จะเอ่ยปากห้าม จางอี้หมิงกลับมองสะโพกของนางที่บิดไปมายามก้าวเดิน พลางคิดในใจ ‘ศิษย์พี่เจียงเยว่ช่างแปลกยิ่งนัก... แต่ในเมื่อนางมาหาข้าถึงที่ เช่นนี้คงต้องรั้งตัวเอาไว้ทั้งคืนเสียหน่อย’
เขายิ้มขำกับความคิดของตนเอง ก่อนจะเดินตามเข้าไปในบ้าน
เจียงเยว่นั่งลงที่โต๊ะ หยิบไหสุราของจางอี้หมิงขึ้นมา รินลงจอกแล้วกระดกดื่มรวดเดียวจนหมด หยดสุราสีใสไหลจากมุมปากลงมาตามลำคอระหง เปียกเสื้อบริเวณเนินอกเล็กน้อย
จางอี้หมิงนั่งลงตรงข้าม มองภาพนั้นตาไม่กะพริบ ก่อนจะกระแอมเบาๆ แล้วถาม “ไม่มีใครดื่มเป็นเพื่อนท่านหรือไร?”
เจียงเยว่ไม่ได้ตอบ นางเพียงยกจอกขึ้นดื่มต่อราวกับต้องการใช้สุรากลบอารมณ์ในใจ
ทันใดนั้น นางก็วางจอกลงกระแทกโต๊ะดัง ปัง! แล้วคว้าคอเสื้อของจางอี้หมิง กระชากเขาเข้าไปใกล้จนปลายจมูกแทบจะชนกัน
“เหตุใดเจ้าถึงไม่มาหาข้า?”
จางอี้หมิงกะพริบตาปริบๆ มองใบหน้างามที่อยู่ใกล้แค่ลมหายใจ ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วตอบ “ศิษย์พี่... ท่านเมาแล้ว”
“ข้ามิได้เมา!” เจียงเยว่เถียงทันควัน
จางอี้หมิงหัวเราะในลำคอ “ข้าแค่ยังไม่ได้แวะไปหาท่านเท่านั้นเอง ถ้าเช่นนั้นคืนนี้... ท่านก็อยู่กับข้าซะเลยสิ”
เจียงเยว่ชะงักไปหนึ่งอึดใจ ก่อนจะผลักเขาออกอย่างแรงแล้วจ้องเขาด้วยสายตาไม่พอใจ “เจ้ามันจิตใจหยาบช้ายิ่งนัก!”
นางลุกขึ้นเดินตรงไปยังเตียงของจางอี้หมิง ทิ้งตัวลงนอนราวกับเป็นของตนเอง แล้วหันมามองเขาด้วยสายตาท้าทาย
“ถ้าเช่นนั้น ข้านอนที่นี่ ส่วนเจ้านอนหน้าประตู”
จางอี้หมิงนั่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง อะไรนะ? ข้าต้องนอนหน้าประตูงั้นหรือ?! ท่านคิดว่าข้าเป็นสุนุขประจำบ้านหรือไร? ศิษย์พี่ท่านเป็นบ้าหรือไร?
…แต่แล้วรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของจางอี้หมิงก็ผุดขึ้นมุมปาก
เอาเถอะ... สักวันข้าจะต้องไปอยู่บนเตียงกับท่านให้ได้ แล้วมอบ แท่งสวรรค์ ให้ท่านอย่างดี…
จางอี้หมิงเอนตัวลงนอนหน้าประตู ยกมือทั้งสองหนุนท้ายทอย พลางทอดสายตามองเพดานด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนหลับตาลงพร้อมภาพของสตรีที่ลอยอยู่เต็มหัว พร้อมแผนการชั่วร้ายระยะยาวที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจ
ซงเอ๋อร์... คนดีของข้า เจ้าคือหญิงงามที่สุดในปฐพี ใต้หล้านี้ข้ายังไม่เคยพบใครงดงามกว่าเจ้า
ศิษย์พี่เจียงเยว่... รูปร่างและความสวยของท่านช่างได้ใจข้ายิ่งนัก
แม่นางหวงจื่อรั่ว... ใบหน้างามดุจเทพธิดา หากได้ยลโฉมใกล้ชิดคงสุขสมปานสรวงสวรรค์ แม้จะเย็นชาไปหน่อยก็เถอะ
แม่นางหลินหนิง... ความน่ารักสดใสของเจ้า ข้าจะต้องครอบครองให้จงได้
ส่วน ศิษย์น้องผิงกั๋ว ...นางไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่ถ้าหากได้…ข้าก็ไม่ติด
ส่วนศิษย์พี่ฟางหรง... ข้าขอตัดทิ้งไปก่อนเลย แม้นางจะงดงามที่สุดในสำนัก แต่นางคือสตรีผู้ด้านชา ฝักใฝ่พรหมจรรย์จนเกินไป
จางอี้หมิงยิ้มขำกับความคิดของตัวเอง แล้วปล่อยให้สติค่อยๆ ดับลง ท่ามกลางแผนการมากมายที่ก่อตัวขึ้นในห้วงความฝัน
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร