Home / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 35 เรื่องเล่าจากศิลาเฝิ่นเหิง

Share

บทที่ 35 เรื่องเล่าจากศิลาเฝิ่นเหิง

เช้าของวันใหม่ วันนี้เป็นวันที่ต้องเดินทางกลับสำนักเทียนหยางเพื่อไปฝึกฝนวิชาต่อ เหล่าศิษย์ระดับล่างที่หยุดผักผ่อนด้านนอก จะต้องกลับไปยังสำนัก

ความจริงแล้วแม้ว่าจางอี้หมิงจะเป็นศิษย์ระดับสูง แต่ก็ต้องปฏิบัติถามกฎนี้ด้วยเช่นกัน เว้นแต่ว่าจะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจด้านนอก ก็สามารถแวะพักผ่อนตามทางได้เช่นกัน ขอแค่ภารกิจไม่เสียหาย

อาจจะมีบางครั้งที่เขาหรือศิษย์แอบหนีเที่ยวออกมา ซึ่งทางสำนักก็หลับตาข้างเดียวอนุโลมให้ หากหลบมาเพียงแค่คืนเดียว เพราะเป็นที่รู้กันว่าเป็นการออกไปหาความสุขชั่วคราวเท่านั้น

จางอี้หมิง และ หวงจื่อรั่ว ควบม้าคู่กันออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน สายลมยามเช้าพัดจางๆ เย็นสบายยิ่งนัก ท้องฟ้าสีครามสดใส อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การเดินทาง

ทั้งสองคนควบม้าเคียงกัน จางอี้หมิงมีธัญพืชขบเคียวตลอดทาง ส่วนหวงจื่อรั่วรักษาท่าทีได้ดี จนกระทั่งออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน เมื่อถึงบริเวณเขตชั้นนอก พวกเขาพบ แม่นางหลินหนิง กำลังยืนรออยู่ข้างทาง

               หลินหนิงทักทายทั้งสองก่อนจะขี่ม้าเดินตามกันมา หลินหนิงอาศัยอยู่ในเขตเมืองหลวงชั้นนอก ไม่ใช่เขตเมืองชั้นในอย่างจวนสกุลอ๋อง

“เจ้าคิดอยากย้ายมาอยู่เมืองชั้นในหรือไม่?” จางอี้หมิงถามขึ้นลอยๆ

“ใครบ้างไม่อยาก?” หลินหนิงหัวเราะขื่น “แต่ข้าขาดเงินตรา บ้านเรือนในนั้นราคาแพงลิบ”

ที่อาณาจักรจ้าเฉิงนี้ แม้เมืองหลวงชั้นในจะเป็นเขตที่อยู่ของเชื้อพระวงศ์ ชนชั้นสูง ขุนนางระดับสูง หรือแม้กระทั่งพ่อค้าที่ร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นสำหรับบุคคลทั่วไป ขอแค่มีเงินซื้อบ้านเท่านั้นก็สามารถย้ายทะเบียนบ้านได้

               ความเป็นอยู่ของเมืองหลวงชั้นในกับชั้นนอก มีความแตกต่างกันอย่างสูง เมืองหลวงชั้นใน อาณาเขตบ้านเรือนกว้างขวาง ผู้คนอยู่กันอย่างสบาย แต่ฝั่งเมืองหลวงชั้นนอก จะมีความแออัดของการอยู่อาศัย จะมีบางบ้านเท่านั้นที่เป็นเรือนหลังใหญ่ ก็เป็นที่รู้กันว่านั่นคือ บ้านของอนุภรรยาขุนนางใหญ่ หรือบ้านของลูกนอกสมรสขุนนางใหญ่

จางอี้หมิงไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ แล้วโยนถุงเงินไปให้นาง

หลินหนิงตกใจ รับมาโดยสัญชาตญาณ “ท่านให้ข้าทำไม?”

“ครั้งก่อนที่ขายตำราให้เจ้า ข้าโก่งราคาไปหน่อย” จางอี้หมิงยิ้มเจ้าเล่ห์ “ตอนนี้เราสองคนเป็นคนกันเองแล้ว ข้าคืนเงินให้เจ้า”

หลินหนิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตระหนักได้ว่า ตัวเองเคยถูกเขาโกงอย่างไร นางจ้องเขาด้วยสายตาตำหนิ “ท่านนี่มัน...เหตุใดต้องขี้โกงเช่นนี้ด้วย!”

จางอี้หมิงสะบัดมือ ทำสีหน้าไม่ยี่หระ “เจ้าก็ได้ตำราดีไปแล้ว จะมาโวยวายอะไรอีก?”

พูดจบ เขากระทุ้งท้องม้า แล้วควบออกไปอย่างรวดเร็ว

“ข้าอุตส่านับถือท่าน!”

หลินหนิงยังคงโวยวายไม่หยุด หวงจื่อรั่วที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่เพียงถอนหายใจ

หลินหนิงหันไปถาม “เจ้ารู้อยู่แล้วใช่หรือไม่?”

หวงจื่อรั่วส่ายหน้า “ข้าก็เพิ่งรู้เรื่องพร้อมเจ้า”

“เช่นนั้นก็แล้วไป” หลินหนิงกล่าว พร้อมมองถุงเงินในมือ แม้จะหงุดหงิด แต่ก็อดยิ้มไม่ได้

จากนั้นทั้งสามก็เร่งเดินทางกลับขึ้นเขา เบื้องหน้าคือสำนักเทียนหยางอันยิ่งใหญ่ ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงด้านหลังเมืองหลวง

หอสูงเก้าชั้นของสำนักตั้งตระหง่านราวกับจะสัมผัสขอบฟ้า หมอกยามสายลอยคลอเคลียยอดไม้ อากาศบนภูเขาเย็นกว่าที่เชิงเขาเล็กน้อย

เมื่อเดินทางมาถึง พวกเขาหยุดม้าหน้าประตูใหญ่ของสำนัก ศิษย์เฝ้าประตูสองนายยืนรักษาการณ์อยู่

ทั้งสามคน หยิบป้ายศิษย์ออกมาแสดง ศิษย์เฝ้าประตูพยักหน้าให้ ก่อนเปิดทางให้พวกเขาเข้าไป

หลังจากเดินทางกลับสู่สำนักเทียนหยาง จางอี้หมิง กลับมานั่งโคจรลมปราณที่เรือนพักของตน ทันทีที่เข้าสู่สภาวะฝึกฝน เขารู้สึกได้ว่าลมปราณของตนเคลื่อนไหวได้สะดวกกว่าเดิม แม้ว่าจะยังไม่ถึงจุดที่สมดุลสมบูรณ์ แต่ก็มีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น

‘เป็นเพราะเหตุใดกัน?’

ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา เขายังไม่ได้ร่วมรักกับสตรีใดเลยสักครั้ง มากสุดเพียงนอนกอดแม่นางซงเอ๋อร์คนงามเท่านั้น

โดยปกติแล้ว การปรับสมดุลของบุรุษต้องการพลังหยินจากสตรีมาหล่อเลี้ยงลมปราณให้สมดุล แต่หากเป็นสตรีก็ตรงกันข้ามในทำนองเดียวกัน

จางอี้หมิงหันไปหยิบตำราที่เคยได้รับจากศิษย์พี่เฉินเจิ้งมาเปิดอ่าน พลิกไปพลิกมาอีกครั้งเพื่อหาคำตอบ แต่ก็ไม่พบคำอธิบายที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่ตนกำลังเผชิญอยู่แม้แต่น้อย

“ช่างเถอะ ข้าคงต้องค้นหาตำราที่ละเอียดกว่านี้”

จางอี้หมิงตัดสินใจควบม้าไปยังหอตำราประจำสำนัก เมื่อมาถึง จางอี้หมิงหยิบป้ายศิษย์ออกมายื่นให้เจ้าหน้าที่ผู้คุมดู ก่อนจะเดินขึ้นบันไดสู่ชั้นบนของหอตำรา ที่เก็บรวบรวมตำราหายากไว้มากมาย

ในขณะที่จางอี้หมิงค้นหาตำราเกี่ยวกับ สมดุลลมปราณ เขากลับพบว่าหลายตำราที่เกี่ยวข้องมีเนื้อหาคล้ายกับเล่มที่เขาเคยอ่านมาแล้ว ไม่พบคำตอบที่ต้องการ

แต่ในขณะนั้นเอง ดวงตาของเขาสะดุดเข้ากับตำราเล่มหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิชาลมปราณแม้แต่น้อย ตำราเล่มนี้มีปกสีเข้มเก่าแก่ มีตัวอักษรโบราณจารึกไว้ว่า ศิลาเฝิ่นเหิงทั้งเจ็ด (七碎玄石 – ชีซุ่ยเสวียนสือ)

“ตำราอะไรนี่ ข้าไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน” จางอี้หมิงขมวดคิ้ว พลางจ้องมองไปที่ตำราเล่มนั้น

เขาหยิบตำราออกมาปัดฝุ่นเบาๆ แล้วเปิดอ่าน “ศิลาเฝิ่นเหิง… ศิลาเฝิ่นเหิง เป็นอัญมณีลึกลับที่สามารถยกระดับพลังปราณได้ถึงขีดสุด…”

เขาพึมพำอ่านเนื้อหาต่อ

“ในยุคโบราณ นานมาแล้วก่อนที่แผ่นดินจะถูกแบ่งเป็นแคว้นต่าง ๆ มีตำนานเกี่ยวกับศิลาเฝิ่นเหิง (七碎玄石 – ชีซุ่ยเสวียนสือ) หรือ "เจ็ดศิลาลึกลับ"

ว่ากันว่าในอดีต มีนักพรตผู้หนึ่งนามว่า “เซียนไท่ซวิน” ซึ่งเป็นผู้มีพลังปราณแข็งแกร่งที่สุดในยุคนั้น เขาแสวงหาหนทางเพื่อทะลวงขีดจำกัดของลมปราณ และค้นพบแร่ศิลาวิเศษที่สามารถ กักเก็บและเสริมพลังปราณให้แก่ผู้ที่ครอบครอง

เมื่อเขาหลอมแร่ศิลาเข้ากับพลังของตนเอง เกิดเป็นศิลาเฝิ่นเหิงเพียงหนึ่งก้อน ซึ่งสามารถ กระตุ้นให้ร่างกายมนุษย์มีพลังเกินกว่าขอบเขตของโลกมนุษย์

แต่เมื่อข่าวการมีอยู่ของศิลาวิเศษนี้แพร่สะพัดออกไป ยอดฝีมือทั่วแผ่นดินต่างแย่งชิงกัน หวังครอบครองพลังอันไร้ขีดจำกัด”

“จากคนธรรมดาจะกลายเป็นผู้มีพลังปราณระดับสูง”

“จากระดับสูงสู่ผู้เหนือระดับ”

“จากผู้ที่เสียสมดุลลมปราณ กลายเป็นผู้มีลมปราณเสถียร”

จางอี้หมิงเบิกตากว้าง “ของดีชัดๆ!”

แต่แล้ว เมื่อพลิกไปอีกหน้า ตำรากลับเขียนว่า “บัดนี้ ศิลาเฝิ่นเหิง ได้แตกออกเป็นเจ็ดส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วหล้า”

“กระจัดกระจายไปทั่วหล้า?” จางอี้หมิงปิดตำราลง พลางถอนหายใจ “มารดามันเถอะ กระจายตัวอยู่ทั่วหล้า ใครมีความขยันก็ตามหาไปเถอะ ไม่ใช่ข้าคนนึง”

จางอี้หมิงหยิบตำราเล่มนั้นออกมา ทำเรื่องยืมออกจากหอสมุดเพื่อนำกลับไปอ่านต่อที่บ้านพักส่วนตัวทันที

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status