สายลมพัดเอื่อย สะบัดผ่านร่างของสองศิษย์พี่น้องที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ่านหวงและเฉินเจิ้งต่างจมอยู่ในสมาธิ โคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ
รอบกายเต็มไปด้วยซากอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดิน เศษหิน เสียงลมหายใจของทั้งสองเริ่มกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงชั่วขณะ
“ตรวจสอบหาผู้นำพวกมันได้หรือยัง?” เฉินเจิ้งถามเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
ฟ่านหวงมองไปรอบๆ “ยัง”
เฉินเจิ้งแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ระหว่างที่ข้ากำจัดพวกมัน เจ้าไม่ได้อู้ใช่หรือไม่?”
ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “ศิษย์พี่เอ๋ย หากข้าตอบว่าใช่ ท่านจะทำอะไรข้า?”
“เจ้ามันตัวบัดซบ กินแรงผู้อื่น!”
เสียงหัวเราะของฟ่านหวงดังขึ้น ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำต่อไป บรรยากาศรอบกายพลันเย็นยะเยือกลงจนขนลุกชัน
วูบบบ!
“ศิษย์พี่…ท่านหายเหนื่อยแล้วหรือยัง?”
เฉินเจิ้งยืดเส้นยืดสาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นก็… 5… 4… 3… 2… 1…”
วูบบบ!!!
สายลมที่เคยสงบนิ่งกลับปั่นป่วนขึ้นอย่างฉับพลัน ฝุ่นทรายพัดกระจายราวกับพายุพิโรธ พลังอันเยือกเย็นแผ่ซ่านไปทั่วอาณาบริเวณ ฟ่านหวงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาเปล่งประกายความตื่นตัว ขณะที่เฉินเจิ้งกำด้ามค้อนยักษ์ของตนแน่น
ตูมมมมมม!!!
เสียงระเบิดดังสะเทือนฟ้าดิน พื้นดินแตกระแหงเป็นทางยาว แรงกระแทกมหาศาลทำให้ต้นไม้รอบด้านโค่นล้มราวกับถูกพายุโหมกระหน่ำ
จากม่านฝุ่นควันหนาทึบ ร่างหนึ่งปรากฏขึ้น บุรุษในชุดคลุมสีเทาหม่น สวมหน้ากากดำบดบังใบหน้า แต่ดวงตาสีทองอำพันเปล่งประกายราวกับดวงตาของอสรพิษ เสียงฝีเท้าแผ่วเบาทว่าน่าพรั่นพรึง เขาก้าวออกมาจากหมอกควันช้าๆ ทุกย่างก้าวของเขาแฝงไปด้วยแรงกดดันมหาศาล
นั่นคือ เชียนหวง
หนึ่งในสมาชิกลัทธิมารแดนสวรรค์ ผู้นำการเข้าโจมตีสำนักเทียนหยางในครั้งนี้ และเป็นผุ้ปลุกปั้นอสูรดินเหนียวขึ้นมา
“ในที่สุดก็โผล่มา” ฟ่านหวงแสยะยิ้มเย้ยหยัน แต่กระชับกระบี่ในมือแน่น
เฉินเจิ้งสูดลมหายใจลึก ยกค้อนยักษ์ขึ้นพาดบ่า พลังปราณแผ่กระจายออกมาราวกับเปลวเพลิงที่พร้อมจะลุกโชน
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์ระดับสูงของสำนักเทียนหยางสองคน ได้ยินชื่อเสียงมานาน ยินดีที่ได้พบ น่าเสียดายยิ่งนักที่เราพบกันช้าไป วันนี้เป็นวันสุดท้ายของพวกเจ้า” เสียงของเชียนหวงเยียบเย็นดุจน้ำแข็งที่แฝงด้วยจิตสังหาร
เฉินเจิ้งก้าวไปข้างหน้า ค้อนยักษ์ในมือกระแทกพื้นจนเกิดเสียงสะท้อนกึกก้อง เขาหรี่ตามองร่างสูงโปร่งของศัตรูตรงหน้า ดวงตาใต้หน้ากากดำของเชียนหวงยังคงเยือกเย็น ไร้ความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
“เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่เป็นผู้นำของพวกมัน?” เฉินเจิ้งเอ่ยถามเสียงเข้ม
เชียนหวงแค่นหัวเราะเบาๆ แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน “ใช่…แล้วจะทำไม?”
ฟ่านหวงที่ยืนอยู่ข้างเฉินเจิ้งเบ้ปาก ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ศิษย์พี่อย่ามัวมากความ จัดการมันเลยดีกว่า!”
เฉินเจิ้งหรี่ตามองเชียนหวงอีกครั้ง ก่อนเอ่ยเสียงหนัก “จากที่ข้าสัมผัสพลังปราณของมันอยู่ระดับเจ็ดปลายๆ หากไม่ใช่เพราะข้าเพิ่งผ่านการต่อสู้มาหมาดๆ ก็คงจะต่อกรได้ ฉะนั้นอย่าประมาท”
ฟ่านหวงแสยะยิ้ม มองศัตรูตรงหน้าด้วยแววตาดุดัน “พวกเรารุมมัน มีหรือจะสู้ไม่ได้!”
ฟึ่บ!
ทั้งสองพุ่งตัวออกไปพร้อมกัน ฝีเท้ากระแทกพื้นดินจนเศษหินกระจาย
เชียนหวงยังคงยืนอยู่ที่เดิม แสยะยิ้มเย้ยหยันก่อนกล่าว “สองกลุ้มรุมหนึ่ง นับเป็นวีรบุรุษอันใด?”
“ข้าเลิกเป็นวีรบุรุษตั้งแต่ในครรภ์มารดาแล้ว!” ฟ่านหวงตะโกนลั่น พร้อมฟาดกระบี่ลงมาอย่างแรง
ฉัวะ!
เชียนหวงสะบัดดาบคู่รับไว้ ดาบของเขาเคลื่อนไหวดั่งเงาลวง หักเหแรงกระแทกของฟ่านหวงได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่เขาจะตวัดดาบอีกเล่มสวนกลับไป
เคร้งงง!
เฉินเจิ้งตวัดค้อนเข้าปะทะคมดาบได้ทันเวลา แรงปะทะทำให้พื้นใต้เท้าแตกร้าว พลังมหาศาลกระจายออกเป็นระลอกคลื่น
ฟ่านหวงอาศัยจังหวะนั้น พุ่งอ้อมไปด้านข้าง กระบี่ในมือแหวกอากาศเป็นประกายสังหาร หมายเฉือนลำคอของเชียนหวง
แต่เชียนหวงกลับเคลื่อนกายไปด้านข้างอย่างแผ่วเบา ราวกับไม่มีน้ำหนัก
ฟึ่บ!
คมดาบของเขาตวัดสวนกลับมาอย่างแม่นยำ เฉือนผ่านแขนเสื้อของฟ่านหวงจนขาดวิ่น
“เร็วชะมัด!” ฟ่านหวงกัดฟันแน่น
เฉินเจิ้งคำรามก่อนเหวี่ยงค้อนยักษ์ในมือ พลังทำลายมหาศาลซัดเข้าหาเชียนหวงตรงๆ
ตูมมมม!!
แต่เชียนหวงกลับยกดาบไขว้รับไว้ได้ ร่างของเขาถอยหลังไปเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
“อ๋อนหัด!” เชียนหวงเอ่ยเสียงเย็นเยียบ ก่อนสะบัดดาบออกไป
ฟึ่บ!
ลำแสงสีดำเสียดแทงผ่านอากาศไปเฉียดไหล่ของเฉินเจิ้ง เลือดไหลซึมออกจากรอยแผล
“ชิ!” เฉินเจิ้งคำรามด้วยความหงุดหงิด
ฟ่านหวงพุ่งเข้ามาซ้ำ กระบี่ในมือเคลื่อนไหวราวกับเงาพิฆาต แทงทะลวงเข้าหาจุดตาย
เคร้งงงง!
ดาบของเชียนหวงบิดพลิ้ว คมดาบเฉือนผ่านกระบี่ของฟ่านหวง เปลี่ยนวิถีการโจมตีของอีกฝ่ายไปทันที
ฟ่านหวงกับเฉินเจิ้งเริ่มหอบหายใจหนักขึ้น แม้จะรุมโจมตี แต่ความอ่อนล้าสะสมจากการต่อสู้ก่อนหน้าทำให้พวกเขาเสียเปรียบเรื่อยๆ
“ไม่ไหวแบบนี้!” เฉินเจิ้งกัดฟัน “ฟ่านหวง! ส่งสัญญาณพลุเดี๋ยวนี้!”
“ได้!” ฟ่านหวงรีบถอยหลัง หยิบพลุสัญญาณจากอกเสื้อ จุดไฟและโยนขึ้นไปบนท้องฟ้า
ฟิ้วววว!
พลุสีแดงพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า ก่อนระเบิดออกเป็นแสงสว่างเจิดจ้า
เชียนหวงหรี่ตามองแสงสัญญาณที่ลุกโชติช่วง ก่อนแสยะยิ้มเย็น “เรียกพวกงั้นรึ?”
ฟ่านหวงตวัดกระบี่ขึ้นอีกครั้ง “ก็รู้หนิ!”
เฉินเจิ้งกระชับค้อนในมือแน่น ดวงตาเปล่งประกายดุดัน “ระวังตัวไว้เถอะ!”
แสงสีแดงเพลิงพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าเหนือหอเทียนหยาง ก่อนจะระเบิดกระจายออกเป็นประกายแสงเจิดจ้า
ลิ่วเฉียงที่กำลังยืนอยู่หน้าหอเทียนหยางอันสูงใหญ่ มองเห็นพลุสัญญาณแล้วแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ “เจอตัวต้นเหตุแล้วสินะ”
จางอี้หมิงที่ยังคงนั่งพิงกำแพงด้วยความอ่อนล้าจากการต่อสู้ก่อนหน้า “เหอะ นึกว่ามันจะโผล่มาตรงนี้ เสียดายยิ่งนัก ข้าไม่ได้เด็ดหัวมันด้วยตัวเอง”
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปจัดการมัน”
“ข้าเหนื่อย ลุกไม่ไหว”
ลิ่วเฉียงปรายตามองศิษย์น้อง ก่อนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เจ้านี่มันใช้การไม่ได้เลยจริงๆ”
“ข้ายืนไม่ขึ้นแล้ว ท่านก็หิ้วข้าไปสิ” จางอี้หมิงยักไหล่ แต่แววตากลับเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
ลิ่วเฉียงไม่พูดให้มากความ มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อของจางอี้หมิงแล้วกระชากขึ้นมาอย่างง่ายดาย ก่อนหันหนาไปทางศิษย์น้องอีกคนหนึ่ง
“ซ่งอิน!” ลิ่วเฉียงหันไปสั่งการ “เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ ดูแลพวกศิษย์คนอื่น หากเกิดอะไรขึ้น ให้ตั้งรับจนกว่าข้าจะกลับมา”
ซ่งอินพยักหน้า “ขอรับ”
ลิ่วเฉียงไม่ตอบอะไร มือหนึ่งหิ้วจางอี้หมิง มืออีกข้างยกวาดอาคมลงที่พื้น
ฟึ่บ!
ม่านพลังหมุนวนขึ้นมาเป็นวงแหวนสีทอง ลิ่วเฉียงกระชากตัวจางอี้หมิงเข้ามาในมิติ ก่อนที่ร่างทั้งสองจะหายวับไปในพริบตา
ฟึ่บ!
อาคมเวทมิติบิดเบี้ยว ก่อนที่ร่างของลิ่วเฉียงและจางอี้หมิงจะพุ่งออกมา ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวกลางสนามรบ ลมแรงพัดกระจายเป็นวงกว้าง ฝุ่นดินตลบอบอวล
เบื้องหน้าพวกเขา คือ เฉินเจิ้งและฟ่านหวงกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับ เชียนหวง ศัตรูผู้สวมผ้าคลุมเทาและหน้ากากลึกลับ
แต่ตอนนี้ ทั้งเฉินเจิ้งและฟ่านหวงต่างอ่อนล้าเต็มที เหงื่อไหลซึมทั่วใบหน้า แต่แววตายังคงแข็งกร้าว ทันทีที่พวกเขาเห็นลิ่วเฉียง สีหน้าก็ตื่นขึ้นด้วยความหวัง
“ศิษย์พี่ลิ่วเฉียง! ในที่สุดท่านก็มา” ฟ่านหวงเรียกขึ้นอย่างยินดี
เฉินเจิ้งสูดลมหายใจลึก “ดูเหมือนวันนี้ข้าจะมีชีวิตรอดไปได้อีกวัน”
ทั้งสองรีบถอยตัวมายืนข้างลิ่วเฉียงทันที ปล่อยให้ศิษย์พี่ผู้เกรียงไกรยืนอยู่แถวหน้า ในขณะที่จางอี้หมิงเดินไปหยุดยืนข้างพวกเขา
“หึ!”
เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้น
เชียนหวง ยืนถือดาบคู่ แผ่รังสีสังหารออกมารอบตัว เขามองดูพวกศิษย์สำนักเทียนหยางที่รวมตัวกันด้วยแววตาเหยียดหยาม
“คิดว่ารวมตัวกันแล้วจะชนะข้าหรือ?” เชียนหวงกล่าวเสียงเย็น “ต่อให้แห่กันมาทั้งสำนัก คนอ่อนหัดแบบพวกเจ้าก็ไม่มีทางทำอะไรข้าได้หรอก!”
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร