บนผิวน้ำยามค่ำคืนมีแสงสาดสะท้อนจากดวงจันทร์ส่องกระทบลงมาดั่งเส้นทางปีนสู่สรวงสวรรค์ ยามที่น้ำเคลื่อนไหวเป็นคลื่นขนาดเล็กพลันบังเกิดประกายพราวระยับดุจหมู่ดาวดารดาษ
ทว่าแสงที่ฉาบเป็นเงาสะท้อนความงดงามกลับซ่อนเร้นความเลวร้ายภายใต้จิตใจของมวลมนุษย์ อากาศหนาวเหน็บของราตรีกาลประสานกับความเย็นเยียบของสายธารากำลังกัดลึกกร่อนกระดูกใครบางคนจนไหวสะท้าน
สตรีร่างระหงถูกหินก้อนยักษ์ถ่วงดุลกายไว้ใต้ผืนน้ำ สติที่คงอยู่ค่อย ๆ เลือนรางลงทุกขณะ เมื่อถึงคราวตายผู้ใดเล่าจะริอ่านฝืน หลังพยายามตะเกียกตะกายเพื่อคว้าอากาศเข้าปอดอยู่นานนางก็รู้สึกว่าไม่มีทางทวงชีวิตที่ปรโลกริบไปได้อีก นางยินยอมจำนนต่อชะตาอันเลวร้ายนี้แล้ว
หนาวเหลือเกิน…
ชั่วพริบตาลมหายใจก็มลายหายไปดั่งไม่เคยมี
.
.
“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
มือเรียวกระดิกไหวเชื่องช้า แพขนตาหนาค่อย ๆ ขยับแผ่ว เปลือกตาบางแง้มขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสีนิลดั่งไข่มุกยามราตรีกลอกสำรวจสรรพสิ่งรอบกายหน้าฉงน
ข้ายังไม่ตายหรือ ผู้ใดช่วยข้าไว้กันนะ
“คุณหนู ได้ยินบ่าวหรือไม่เจ้าคะ”
หญิงสาวเบนความสนใจไปยังต้นเสียงแช่มช้า โลหิตแล่นขึ้นใบหน้าจนสมองอื้ออึง
อาหราน? อาหรานมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ดรุณีตรงหน้ามีนามว่าโปหราน นางเป็นสาวใช้คนสนิทของคุณหนูรองไป๋ หรือไป๋เฉินเซียง
ไป๋เฉินเซียงจำได้ว่านางได้ก้มหน้ารับชะตา ยอมเชื่อฟังบิดาเพื่อไปเป็นอนุของแม่ทัพทัพชิงหลง [1] นับปีแล้ว ส่วนโปหรานก็ถูกฮูหยินใหญ่นำตัวไปขายเป็นทาสให้จวนอื่น
ยามนั้นไป๋เฉินเซียงฟูมฟายอย่างหนัก เพราะเวทนาโปหรานจับใจ ไม่ว่านางจะวิงวอนเช่นไรใต้เท้าไป๋ก็ไม่ยินยอมให้โปหรานติดตามไป๋เฉินเซียงไปพร้อมขบวนเจ้าสาวด้วย
สตรีเมื่อออกเรือนก็เปรียบดั่งน้ำเสียที่ถูกสาดออกจากบ้าน เพราะไป๋เฉินเซียงเป็นคนหัวอ่อนว่านอนสอนง่ายมาแต่ไหนแต่ไร เพื่อยกระดับขุนนางสุดต่ำต้อยที่ถือครองตำแหน่งเพียงขั้นหกที่กระหายในอำนาจเงินทอง ไป๋จื่อเหิงจึงยินยอมยกลูกสาวคนรองของตนให้เป็นน้อยผู้อื่นอย่างไม่มีหนังไม่มีหน้า [2] ผู้ที่นางเทิดทูนว่าคือบิดากลับผลักไสบุตรีลงนรกด้วยมือตนเอง
โปหรานมองท่าทีเฉยชาระคนงุนงงของไป๋เฉินเซียงก็รู้สึกไม่สบายใจ “คุณหนูไหวหรือไม่เจ้าคะ หรือว่ายังปวดหัวอยู่ หรือคุณหนูเจ็บคอจนพูดไม่ได้”
โปหรานหันรีหันขวางเร่งรินน้ำชาอุ่น ๆ ลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบ จากนั้นก็ขยับตัวเพื่อช่วยพยุงร่างไป๋เฉินเซียงให้พิงกับหัวเตียงและสามารถเอนหลังได้สะดวก
“น้ำเจ้าค่ะ”
ไป๋เฉินเซียงกลายเป็นเบื้อใบ้ชั่วขณะ นางรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จึงตัดสินใจรับถ้วยชาและกระดกดื่มให้คอโล่งก่อน ต่อมาก็เอ่ยปากคำแรก
“อาหราน เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ท่านพ่อไปพาเจ้ากลับมาหาข้าแล้วหรือ”
โปหรานฉงน บังเกิดเมฆหมอกแห่งความสงสัยปกคลุมเต็มศีรษะ “คุณหนูหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ บ่าวก็อยู่กับคุณหนูตลอดยังไม่ไปที่ใด ทว่าก่อนหน้าก็เพียงแวะไปหยิบขนมให้คุณหนูเท่านั้น กลับมาอีกทีคุณหนูก็ตกน้ำจนหมดสติ เรื่องนี้ต้องโทษบ่าว...เป็นเพราะบ่าวไม่ดีเองเจ้าค่ะ”
คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันเล็กน้อย ไม่นานก็ขมวดแน่น สีหน้าของโปหรานเศร้าสลดเป็นอย่างมาก แต่เมื่อลองตรองถึงคำว่าตกน้ำศีรษะของไป๋เฉินเซียงก็ชาหนึบขึ้นมาเดี๋ยวนั้น
“คุณหนูปวดหัวหรือเจ้าคะ นอนพักก่อนนะเจ้าคะ บ่าวจะเร่งไปแจ้งนายท่านและจะตามหมอมาประเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ คุณหนูรอบ่าวก่อนนะเจ้าคะ” โปหรานหมุนกายด้วยความเร่งร้อน ไม่ทันออกเดินแขนของนางก็ถูกคว้าเอาไว้
“อาหราน อย่าเพิ่งไป”
โปหรานยอบกายลงนั่งขนาบข้างผู้เป็นนาย “คุณหนูต้องการสิ่งใดเพิ่มหรือเจ้าคะ”
หลังจากเงียบเพื่อตรึกตรองซ้ำไปมาหลายหน ไป๋เฉินเซียงก็นึกบางอย่างออก คำว่าตกน้ำได้กระตุ้นความรู้สึกที่กดลึกอยู่ใต้จิตใจให้ปรากฏขึ้น
“อาหราน นี่เดือนใดหรือ”
โปหรานแทบร้องไห้โฮ ประเมินจากสายตาและอาการคุณหนูของนางแล้วประหนึ่งผู้ป่วยความจำเสื่อม แต่ยังโชคดีที่ไป๋เฉินเซียงนั้นเรียกชื่อของโปหรานถูก
“คุณหนู ท่านคงไม่ได้ความจำเสื่อมกระมังเจ้าคะ” โปหรานอึกอัก
คิ้วสวยเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง ไป๋เฉินเซียงกวาดสายตาเพื่อสำรวจความผิดปกติของบรรยากาศโดยรอบ ม่านแพรสีขาวปักลายมู่ตานที่นางทำเอง ยังห้อยระย้าตรงริมหน้าต่าง มองลอดออกไปด้านนอกยังเห็นยอดเขาสูงชันสุดลูกหูลูกตา
ที่นี่คือเรือนสกุลไป๋และเป็นห้องเดิมของนางไม่ผิดแน่ สิ่งที่น่าฉงนก็คือ นางกลับมาที่จวนสกุลไป๋ได้อย่างไร ในเมื่อไป๋เฉินเซียงแต่งงานออกไปครบหนึ่งปีแล้ว หนำซ้ำโปหรานยังเรียกนางว่าคุณหนูอีกด้วย
“คุณหนูเจ้าคะ นี่ซานเยว่ [3] แล้วเจ้าค่ะ ไม่นานก็จะเข้าซื่อเยว่ [4] ”
เส้นโลหิตบนหน้าผากของไป๋เฉินเซียงกระตุกริก ๆ ไป๋เฉินเซียงเริ่มจะปะติดปะต่อบางอย่างได้แล้ว ในเมื่อนางแต่งงานไปตั้งแต่ต้นซื่อเยว่แล้วจะยังมานอนอยู่ที่ห้องเดิมของตนได้อย่างไร
ไป๋เฉินเซียงต้องการเวลาอีกหน่อย นางส่งยิ้มให้โปหรานเต็มดวงตา “เจ้าไปตามหมอมาเถิด”
ไป๋เฉินเซียงปล่อยมือ โปหรานเห็นใบหน้าที่ซีดขาวซับสีเลือดฝาดก็วางใจไปเปลาะหนึ่ง นางไม่อยากซักไซ้ต่อเพราะเกรงว่าไป๋เฉินเซียงอาจเกิดปวดศีรษะขึ้นกะทันหัน
คนเพิ่งฟื้นจากอาการจมน้ำ โปหรานคิดว่าสมองต้องได้รับความกระทบกระเทือนมาบ้างแน่ เพราะหากคนเราอยู่ใต้น้ำนาน ๆ ย่อมทำให้ขาดอากาศไปหล่อเลี้ยงส่วนของความนึกคิด จนสามารถทำให้ความทรงจำบางส่วนเลือนหาย
ไป๋เฉินเซียงมองตามแผ่นหลังสาวใช้คนสนิทจนลับตา ขาเสลาหย่อนลงจากเตียง ไป๋เฉินเซียงสำรวจขาของตน ก็ไม่พบร่องรอยบาดแผลที่เกิดจากโซ่ตรวนนั้นแล้ว
ข้ากลับมาแล้วจริง ๆ หรือ
ไป๋เฉินเซียงยกมือทั้งสองฝั่งของตนขึ้นมาสำรวจ ยามนี้ผิวกายของนางขาวผ่องและผุดผาดไร้ร่องรอยของการทุบตีและฟกช้ำ มุมปากของนางพลันกระตุกแผ่ว
โอกาสจากโชคชะตา นี่สวรรค์กำลังให้โอกาสข้า
ไป๋เฉินเซียงรู้สึกประหลาดใจ ไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องสุดอัศจรรย์เช่นนี้อยู่ เดิมทียามนี้นางควรไปข้ามแม่น้ำเหลืองเพื่อตัดสินความดีความชั่วและรอชดใช้กรรมที่สัมปรายภพ ทว่านางกลับมานั่งกระดิกขาที่ห้องตัวเองก่อนวันแต่งงานเพียงหนึ่งเดือน
ไป๋เฉินเซียงจำเรื่องราวทุกอย่างได้หมดแล้ว กระทั่งความเจ็บปวดแสนสาหัสที่นางได้รับในยามที่เป็นอนุท้ายเรือนของแม่ทัพใหญ่สกุลหลาน ความรู้สึกเหล่านั้นถาโถมเข้ามาดั่งสายน้ำคลั่ง ประดังประเดดุจพายุหมุน
ในตอนนั้นไป๋เฉินเซียงถูกภรรยาเอกของแม่ทัพชิงหลงใส่ความว่าคบชู้สู่ชาย จึงตั้งตนเป็นศาลเตี้ย ใช้เหล็กร้อนดั่งเพลิงนรกทาบไปยังสองข้างแก้มของนางจนเนื้อพุพองไม่พอ ยังเฆี่ยนตี จองจำ และทรมานไป๋เฉินเซียงอย่างแสนสาหัส
สามีก็ทำราวกับนางเป็นเพียงของเล่นให้ภรรยาเอกตน เขาไม่ช่วยเหลือไม่ขัดขวาง เขาพูดเพียงคำว่า
เรื่องของเรือนหลัง ฮูหยินใหญ่เป็นคนจัดการ คนผิดก็ต้องลงโทษไปตามผิด
ไป๋เฉินเซียงนึกถึงคำคำนี้ก็เผยยิ้มเย็นออกมา ในตอนที่เขาต้องการนางก็ออกคำสั่งจนบิดาร้อนใจกระทั่งจับนางโยนเข้ากับดักสกุลหลาน เมื่อแม่ทัพใหญ่สมดังปรารถนาก็เขี่ยนางทิ้งประหนึ่งเศษซากสิ่งไร้ชีวิตที่ไม่ต้องการ
ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บแค้นอยู่ในใจ ไป๋เฉินเซียงปรายตามองใบหน้าซีดขาวของตนบนคันฉ่องไม่ไกลนัก มือเรียวยกขึ้นลูบสองข้างแก้มที่เคยอัปลักษณ์น่าเกลียด
ความสะสวยของนางกลับมาแล้ว นางได้ย้อนเวลากลับมาจริง ๆ ความรู้สึกอึดอัดในใจจางลงเล็กน้อย กลีบปากสีกุหลาบยกโค้งบางเบาทว่ากลับประหนึ่งหนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม แม้ความเจ็บปวดทางกายจะเลือนหาย ทว่าความทรมานในใจนั้นยังคงอยู่
แอ๊ด…
เสียงประตูบานหนาเปิดออก ไป๋เฉินเซียงช้อนตามองไปข้างหน้า ชายร่างท้วมถลันเข้ามาด้วยความดีใจ
“เซียงเซียง!”
ชายวัยกลางคนสวมกอดบุตรสาวประหนึ่งรักใคร่ ทว่าความรักของบิดาผู้นี้ไป๋เฉินเซียงกลับไม่ได้ซาบซึ้งเลยสักกระผีกริ้น ไป๋จื่อเหิงแสดงท่าทีเช่นนี้คงเกรงว่าตนอาจขาดผลประโยชน์ที่เหลือเพียงหนึ่งไปเท่านั้น
ไป๋เฉินเซียงตัวแข็งทื่อไม่พูดจาใด ไป๋จื่อเหิงผละห่าง กวาดสายตาสำรวจเรือนร่างบุตรสาว “เซียงเซียง ไม่เป็นไรใช่ไหมลูก ดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่”
ไป๋เฉินเซียงคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ทว่ากลับซ่อนคมมีดเอาไว้เพื่อกรีดแทงใจคน “ดีที่ยังไม่ตายเจ้าค่ะ”
ไป๋จื่อเหิงผงะ ไป๋เฉินเซียงไม่เคยแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องต่อบิดาเช่นนี้มาก่อน ใต้เท้าไป๋ปรายตามองโปหรานด้วยความสับสน โปหรานเห็นท่าทีเย็นชาดั่งหุบเขาน้ำแข็งของไป๋เฉินเซียงก็รู้สึกฉงนไม่ต่างกัน นางฉีกยิ้มฝืดฝืนให้ผู้เป็นนาย ไป๋จื่อเหิงขมวดคิ้วแน่น
หรือว่านางความจำเสื่อมจริง ๆ แล้วพิธีวิวาห์จะทำอย่างไร
เชิงอรรถ
^ ชิงหลง มังกรคราม青龍 อสูรแห่งทิศตะวันออก
^ ไม่มีหนังไม่มีหน้า หมายถึง หน้าไม่อาย
^ 三月 ซานเยวฺ่ (sānyuè) มีนาคม
^ 四月ซื่อเยวฺ่ (sìyuè)เมษายน
หอบรรพชนตระกูลหลานควันจากธูปลอยโขมงประหนึ่งหมอกขาว ด้านหน้าเป็นที่ตั้งป้ายวิญญาณของฮูหยินสกุลหลาน“ที่แท้ท่านแม่ของท่านพี่ก็จากไปนานแล้ว ข้าไม่เคยรู้มาก่อน”ในชาติก่อนไป๋เฉินเซียงเคยเป็นอนุของหลานจิ้นถงก็จริงทว่าเขาไม่เคยพูดถึงมารดาสักครั้ง หนำซ้ำยังสั่งห้ามเหล่าอนุเข้าใกล้ศาลบรรพชนอีกด้วย อาจเพราะเป็นพื้นที่หวงห้ามที่หลานอี้ซินไว้ใช้สงบใจหลานอี้ซินยิ้มขมขื่น “ท่านแม่จากไปในตอนที่ข้าเพิ่งเข้ารับราชการทหารใหม่ ๆ ในตอนนั้นข้าอายุได้สิบห้าหนาว นางป่วยหนัก ท่านพ่อก็งานยุ่งมาก ข้าได้ยินมาว่าบนหุบเขาเป็นที่ตั้งของวัดเฉินหลิงในตำนาน จึงพาท่านแม่ไปรักษาตัวที่นั่น”“แต่ที่วัดเฉินหลิงวางค่ายกลไว้แน่นหนา ท่านเข้าไปได้อย่างไร”หลานอี้ซินยิ้ม มือหยาบกร้านลูบศีรษะภรรยารักอย่างทะนุถนอม “เพราะแม่ของเจ้า”ไป๋เฉินเซียงแทบไม่อยากเชื่อหูตนเองหลานอี้ซินเล่าต่อ “ข้าเห็นรถม้าของนางจอดอยู่กลางหุบเขา ทั้งยังมีลูกน้อยที่หลับสนิทในอ้อมแขน เดิมทีนางลำบากใจอยู่บ้าง ทว่าแม่ของเจ้าคุณธรรมสูงส่งเช่นเจ้าไม่มีผิด”ไป๋เฉินเซียงยิ้ม “ต้องบอกว่าข้า
ณ จวนสกุลเว่ย“เจ้า เจ้า เจ้า เจ้าทั้งสองปั่นหัวข้าหรือ” เว่ยเสี่ยวเฉินหน้างอ เขาชี้นิ้วสลับไปมาระหว่างหลานอี้ซินและไป๋เฉินเซียง ทั้งยังแหงนหน้ามองฟ้าดั่งหมดอาลัยตายอยาก“สวรรค์! นี่ท่านรังแกข้ามากเกินไปหน่อยแล้ว ทั้งที่ข้าพบนางในฝันก่อนเขาแท้ ๆ ทว่านางกลับเป็นฮูหยินสหายของข้า ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”หลานอี้ซินถอนหายใจ ทั้งยังกระชับอ้อมกอดบริเวณไหล่แคบแน่นขึ้น “เจ้าพล่ามพอแล้วหรือยัง ใครบอกว่าเจ้าพบนางก่อนข้า”เว่ยเสี่ยวเฉินสะบัดแขนพร้อมทำหน้าบูด “ชิ เจ้าก็พูดได้ มีฮูหยินทั้งสวยทั้งเก่ง แล้วดูข้า ต้องตาเทพธิดาคนหนึ่งทว่าเขาไม่ใช่ของเรา”“เจ้าพูดให้น้อยหน่อย เทพธิดาที่เจ้าว่านั่นฮูหยินของข้ามิใช่หรือ หากเจ้าตัดใจไม่ได้ ข้าจะพานางกลับและจะไม่มาเหยียบเรือนเจ้าอีก” เอ่ยจบหลานอี้ซินก็พยุงไป๋เฉินเซียงลุกขึ้น “ไปเถิดฮูหยิน เช่นนั้นเราไปให้คุณชายถังวาดดีกว่า ดูอารมณ์ของเขาแล้ว คงไม่อาจวาดภาพให้งดงามได้”ไป๋เฉินเซียงหัวเราะคิกคัก สามีของนางกำลังเย้าแหย่สหายไป๋เฉินเซียงกระซิบ “ท่านพี่เล่นแรงไปหน่อยกระมัง”เว่ยเสี่ยวเฉินละล้าละลัง “อย่า อ
ขุนนางในท้องพระโรงตะลึงพรึงเพริดไปตามกัน ต่างก็เหลียวมองไปยังใต้เท้าวูที่ยืนหน้าถอดสีอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้เอ่ย “ท่านแม่ทัพ ไยต้องการหนังสือหย่า หากเจ้าทำเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าเอาเปรียบสตรีตัวเล็ก ๆ หรือ นางทำเรื่องใดให้เจ้าไม่พอใจกันเล่า”หลานอี้ซินยังมีสีหน้าสงบนิ่งไร้ซึ่งท่าทางตื่นกลัว ทว่าไป๋เฉินเซียงกลับรู้สึกใจเสียไปแล้ว หากเขาต้องการหย่ากับนางไม่จำเป็นต้องทำขั้นนี้ก็ได้บรรยากาศเข้าสู่ความอึมครึม ยามนี้อารมณ์แต่ละคนต่างรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ใต้เท้าวูเองก็สนิทชิดเชื้อกับฮ่องเต้ไม่น้อย แม่ทัพไป๋หู่กำลังทำเรื่องหยามหน้าขุนนางที่ฮ่องเต้โปรดปรานเข้าให้แล้ว เกรงว่าจากที่ถูกละเว้นโทษตาย กำลังจะเกิดสถานการณ์พลิกกลับไป๋เฉินเซียงกำลังคิดเอ่ยปาก กระนั้นกลับมีเสียงทุ้มดังตัดบท “ทูลฝ่าบาท อันที่จริงเป็นความผิดของลูกสาวกระหม่อมเอง ตระกูลวูขอยอมรับเรื่องการหย่าร้างจากท่านแม่ทัพไป๋หู่พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ประหลาดใจ “ใต้เท้าวู แต่เดิมท่านเป็นคนรักศักดิ์ศรี และมีเหตุผลอยู่เสมอ ไยตอนนี้ท่านจึงยินยอมให้บุตรสาวถูกหย่าร้าง มิกลัวถูกผู้อื่นครหาหรือ”
ท้องพระโรงอันโอ่โถงของแคว้นจื่อโจววันนี้ฮ่องเต้เรียกให้ขุนนางทุกลำดับขั้นเข้าเฝ้าเพื่อร่วมยินดีกับชัยชนะจากสงครามหั่วหมิง“ใต้เท้าหลาน” เสียงครั่นคร้ามของโอรสสวรรค์ดังขึ้นหลานหมิ่นฉีสาวเท้าออกมาพลางประสานฝ่ามือและค้อมศีรษะลง “พ่ะย่ะค่ะ”“ที่ข้าเรียกทุกคนมาในวันนี้เจ้าคงทราบดี ว่าเป็นเรื่องใด”หลานหมิ่นฉีเองก็ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร ยามนี้ภายในใจของเขาล้วนเต็มไปด้วยหมอกขาว กลับกลายเป็นการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เอ่ยต่อ “บุตรชายของเจ้าทั้งสองล้วนมีฝีมือ ทั้งยังสร้างผลงานอันโดดเด่นไว้มาก แต่น่าเสียดาย…”ไป๋จื่อเหิงและเหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างก้มหน้างุดแทบลืมหายใจ ถึงอย่างไรบุตรสาวคนโตของเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสกุลหลาน การที่สามีอย่างแม่ทัพชิงหลงก่อกบฏ ย่อมต้องสร้างความสั่นคลอนต่อทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เดิมไป๋จื่อเหิงหวังเกาะตำแหน่งและอำนาจของหลานจิ้นถงเพื่อขึ้นสู่ที่สูง แต่ดูเหมือนเขากำลังถูกผลักให้จมลงบ่อโคลนจนไม่อาจโผล่ศีรษะเพื่อหายใจ“ถึงอย่างไรผู้ก่อกบฏก็ได้รับกรรมตามสมควร” ฮ่องเต้ถอนหายใจ
“สรุปแล้วท่านอยากหย่าสินะเจ้าคะ แต่ก็นั่นแหละ ชะตานี้ข้าช่วงชิงมาจากผู้อื่น ย่อมสมควรที่มันจะกลับไปยังเจ้าของเดิม”หลานอี้ซินกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น จมูกโด่งเป็นสันโน้มลงจรดลงบนปรางแก้มหอมกรุ่น ไป๋เฉินเซียงตะลึงลาน“เด็กโง่ คิดอะไรของเจ้า ข้าเพียงไม่อยากให้เจ้าลำบาก หากข้าตายไปเจ้าจะต้องอยู่เป็นหม้าย ถ้าข้าไม่ทำเช่นนี้ ต่อไปเจ้าจะใช้ชีวิตอิสระได้อย่างไร”ไป๋เฉินเซียงกระเง้ากระงอด พลางบ่นกระปอดกระแปด “ท่านไม่ต้องมาคิดแทนข้า ชิ”“อีกอย่าง ชื่อนั่นก็ไม่ใช่เจ้ามิใช่หรือ”ในหนังสือหย่าเป็นชื่อผู้อื่นก็จริง ทว่าการแบ่งปันทรัพย์สินกลับเป็นชื่อของไป๋เฉินเซียงโดยตรง หากคนอื่นไม่รู้คงได้คิดว่านางเป็นภรรยาลับของเขาแน่แท้ไป๋เฉินเซียงสงบลง กล่าวเสียงค่อย “ก็จริง”“เจ้าลงนามแล้วหรือไม่” หลานอี้ซินถาม“แล้วท่านคิดว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ”นางอยากจะกลั่นแกล้งเขานักว่าลงไปแล้ว อันที่จริงนางแทบเผาหนังสือหย่าเล่มนั้นทิ้งเลยต่างหาก“จะลงหรือไม่ลงก็ย่อมไม่ต่าง”ไป๋เฉินเซียงขมวดคิ้ว วาจากำกวมเช่นนี้เป็นเหตุให้นางใคร่รู้เป็นอย่างมาก
เพราะศัตรูเพลี่ยงพล้ำทั้งรับมือจากการลอบโจมตี และยังถูกงูมีพิษดาหน้าเข้าทำร้ายตลอดสองวันสองคืน ท้ายที่สุด กองทัพชิงเป่ยก็ปราชัยให้แก่ทัพของแม่ทัพไป๋หู่ แผนการที่ชิงเป่ยวางเอาไว้ตลอดหลายเดือนพังทลายภายในพริบตา เพียงเพราะการย้อนพิษร้ายคืนสนองจากฝีมือท่านหมอหวัง จะกล่าวให้ถูกต้อง ทั้งหมดเป็นแผนการและฝีมือของไป๋เฉินเซียงดูเหมือนความดีความชอบนี้คงไม่ต้องพึ่งบารมีของแม่ทัพเช่นเขาแล้วขบวนทัพเดินทางกลับแคว้นด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ แคว้นชิงเป่ยยินดีทำสัญญาสงบศึกและเป็นพันธมิตรร่วมกันตลอดไป ทางแคว้นชิงเป่ยยังจะส่งของบรรณาการให้กับแคว้นจื่อโจวในทุกปีอีกด้วย“เซียงเซียง” เสียงทุ้มกระซิบเบาที่เบื้องหลังใบหน้าเกลี้ยงเกลาซับสีชมพูระเรื่อ “เจ้าคะ”ทั้งสองนั่งอยู่บนอาชาศึกเจียวซิ่ง ขบวนเดินทางกำลังมุ่งหน้ากลับวังหลวง เหล่าทหารหลายนายเห็นภาพแม่ทัพโอบภรรยาล้วนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกบางคนหน้าเผือดสีเพราะเกรงกลัวว่าจะถูกแม่ทัพลงโทษที่ริอ่านไปแตะเนื้อต้องตัวฮูหยินของเขา ทั้งจับทั้งโยนเป็นว่าเล่น เกรงว่าคงไม่อาจรักษาศีรษะให้ตั้งตรงบนบ่าได้แล้วหลานอี้ซ