บรรดาคุณหนูจากตระกูลใหญ่ล้วนมารวมตัวกันที่ศาลาริมน้ำ ไป๋เฉินเซียงสาวเท้าเข้ามาก็แทบหงายท้องตึง เพราะกลิ่นเครื่องหอมของพวกนางตีกันจนตลบอบอวลชวนเวียนศีรษะ
“สะใภ้ใหญ่หลาน” หญิงสาวหน้าตาสะสวยนางหนึ่งยอบกายพินอบพิเทาให้จูจวิ้นอี๋ จากนั้นก็ย้ายสายตามายังไป๋เฉินเซียง แววตาที่มองมาที่นางกลับเจือไปด้วยความเฉยชาเกลียดชัง “สะใภ้รองหลาน เจ้าก็มาเช่นกันหรือ”
ไป๋เฉินเซียงไม่ต้องแนะนำตัวให้มากความพวกนางย่อมรู้จักวูหลิงอีเป็นอย่างดี วูหลิงอีหาได้เป็นที่ชมชอบในกลุ่มสตรี ทว่ากลับเป็นที่ชิงชังเสียมากกว่า เพราะพวกนางมองว่าวูหลิงอีมักทำตัวหยิ่งผยอง ยกตนข่มท่าน [1] โดยอาศัยบารมีบิดา
แต่ไป๋เฉินเซียงกลับคิดว่าวูหลิงอีมิใช่คนเช่นนั้น ที่วูหลิงอีไม่เห็นหัวผู้ใดเพราะนางรู้ดีว่าเหล่าคุณหนูพวกนี้มีแต่นิสัยปากว่าตาขยิบ [2] ผู้ใดจะอยากเอาทองไปรู่กระเบื้อง [3] ให้เสียเวลา
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ชอบวูหลิงอี เพราะยามที่ค
บรรดาคุณหนูจากตระกูลใหญ่ล้วนมารวมตัวกันที่ศาลาริมน้ำ ไป๋เฉินเซียงสาวเท้าเข้ามาก็แทบหงายท้องตึง เพราะกลิ่นเครื่องหอมของพวกนางตีกันจนตลบอบอวลชวนเวียนศีรษะ“สะใภ้ใหญ่หลาน” หญิงสาวหน้าตาสะสวยนางหนึ่งยอบกายพินอบพิเทาให้จูจวิ้นอี๋ จากนั้นก็ย้ายสายตามายังไป๋เฉินเซียง แววตาที่มองมาที่นางกลับเจือไปด้วยความเฉยชาเกลียดชัง “สะใภ้รองหลาน เจ้าก็มาเช่นกันหรือ”ไป๋เฉินเซียงไม่ต้องแนะนำตัวให้มากความพวกนางย่อมรู้จักวูหลิงอีเป็นอย่างดี วูหลิงอีหาได้เป็นที่ชมชอบในกลุ่มสตรี ทว่ากลับเป็นที่ชิงชังเสียมากกว่า เพราะพวกนางมองว่าวูหลิงอีมักทำตัวหยิ่งผยอง ยกตนข่มท่าน [1] โดยอาศัยบารมีบิดาแต่ไป๋เฉินเซียงกลับคิดว่าวูหลิงอีมิใช่คนเช่นนั้น ที่วูหลิงอีไม่เห็นหัวผู้ใดเพราะนางรู้ดีว่าเหล่าคุณหนูพวกนี้มีแต่นิสัยปากว่าตาขยิบ [2] ผู้ใดจะอยากเอาทองไปรู่กระเบื้อง [3] ให้เสียเวลาเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ชอบวูหลิงอี เพราะยามที่ค
จูจวิ้นอี๋ย้ายสายตามายังหญิงสาวฝั่งตรงข้าม “น้องสะใภ้ ที่ศาลาริมน้ำมีงานเลี้ยงจิบน้ำชาร่วมด้วย เจ้าอยากไปนั่งผ่อนคลายกับข้าหรือไม่ นานทีปีหนได้อยู่กันประสาหญิงสาว เจ้าต้องดูแลน้องชายสามีข้าที่ตาบอดไร้กำลัง คงลำบากแย่แล้ว”แค่พ่นวาจากลิ่นเหม็นเน่าก็โชยมาตามสายลม คิดว่าไป๋เฉินเซียงโง่จนฟังไม่ออกหรือว่าอีกฝ่ายกำลังถากถางตนอยู่ไป๋เฉินเซียงปรายตามองไปทางสระบัวขนาดกว้างก็ต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ มือเรียวที่ประสานกันบริเวณหน้าท้องกำแน่นจนรู้สึกเจ็บ คนที่ผ่านความตายมาแล้วหนหนึ่งย่อมฝังใจเป็นเรื่องธรรมดา หากไม่จำเป็น ไป๋เฉินเซียงไม่อยากเฉียดเข้าใกล้แม่น้ำใดเลยแม้เพียงครึ่งก้าวจูจวิ้นอี๋สังเกตอาการประหลาดของไป๋เฉินเซียง ก็เอ่ยปากซ้ำ “น้องสะใภ้ เจ้ามีเรื่องลำบากใจหรือ”ไป๋เฉินเซียงยิ้มตอบ ทั้งที่แผ่นหลังเปียกโซมไปด้วยเหงื่อเย็น “เปล่าเจ้าค่ะ”จูจวิ้นอี๋ “เช่นนั้นเดินไปคุยไปดีหรือไม่”ไป๋เฉินเซียงพยักหน้าจูจวิ้นอี๋ยิ้มไม่ถึงดวงตาให้เถียนชิงคล้ายต้องการบอกใบ้บางสิ่งเถียนชิงมองตอบ “เช่นนั้นเดี๋ยวข้าตามไปนะเจ้าคะ เห็นว่าคุณหนูถังมาถึงแล้
ร่างระหงเดินสำรวจภาพวาดด้านในด้วยสายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม ฝีพู่กันเหล่านี้ช่างงดงามประหนึ่งมีชีวิต“สะใภ้รองหลาน”ไป๋เฉินเซียงหันหลังกลับก็พบกับบุรุษหน้าวสันต์ยืนส่งยิ้มละไมให้แก่ตน“เอ่อ…ท่าน”ซูซินกระซิบ “สะใภ้รอง คนผู้นี้คือคุณชายเถียนเยี่ยหัวเจ้าค่ะ”“อ่า…เขาเองหรอกหรือ” ไป๋เฉินเซียงกระซิบตอบ“ท่านจำเขาไม่ได้หรือเจ้าคะ แต่ก็อย่างว่าท่านเคยพบหน้ากับคุณชายเถียนไม่กี่หน ท่านจะใส่ใจได้อย่างไร”ไป๋เฉินเซียงเลิกคิ้ว เบนความสนใจกลับมายังบุรุษตรงหน้าต่อ “ที่แท้เป็นคุณชายเถียน”“ข้าคิดว่าท่านจำข้าไม่ได้แล้วเสียอีก”ไป๋เฉินเซียงยิ้มฝืดเฝื่อน “จำได้สิเจ้าคะ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร”ซูซินอ้าปากหวอตะลึงค้าง ชายหนุ่มตรงหน้าเหลือบซ้ายแลขวา ไป๋เฉินเซียงมองตามสายตาของเขาด้วยความฉงน “คุณชายกำลังหาอะไรหรือเจ้าคะ”“แล้ว…ท่านแม่ทัพไป๋หู่ไม่มาด้วยหรือ”“อ้อ วันนี้ท่านพี่บอกว่ามีธุระเจ้าค่ะ” ไป๋เฉินเซียงตอบ“ท่านพี่ มาทำอะไรตรงนี้เจ้าคะ แขกเหรื่อรอท่านอยู่ตั้งนานแล้ว...” สตร
รถม้าเคลื่อนมาหยุดที่เบื้องหน้าเรือนสกุลเถียนคันแล้วคันเล่า บรรดาคุณหนูคุณชายจากตระกูลขุนนางใหญ่โตล้วนแล้วแต่มุ่งหน้ามางานวิจารณ์ภาพวาดอย่างอุ่นหนาฝาคั่งถึงแม้ไป๋เฉินเซียงเป็นลูกขุนนางเช่นกัน ทว่าบิดาของนางก็เป็นเพียงขุนนางชั้นผู้น้อย ไป๋เฉินเซียงจึงไม่เคยคิดทำความรู้จักหรือตีสนิทกับผู้ใด มีเพียงบางครั้งที่ติดตามไป๋อีถิงออกจากจวน จึงได้ร่วมยืนอยู่ท่ามกลางวงสนทนาอันชวนอึดอัดของเหล่าคุณหนูโดยบังเอิญ ที่ไป๋อีถิงทำเช่นนั้นใช่ว่านางหวังดีอยากให้ไป๋เฉินเซียงได้เปิดหูเปิดตา ทว่าไป๋อีถิงไม่เคยเห็นนางเป็นน้องสาวเลยสักนิด ก็เพียงต้องการให้ไป๋เฉินเซียงมาช่วยถือข้าวของดั่งสาวใช้นางหนึ่ง เพื่อจะได้มีเรื่องคุยโวว่าตนเองอยู่เหนือลูกของอนุอย่างไรหญิงสาวพวกนี้ไม่อวดเครื่องประดับก็เครื่องแต่งกายราคาแพงหูฉี่ พวกนางมักมีใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มดั่งเป็นมิตร ทว่ากลับเคลือบไปด้วยยาพิษร้ายแรง สิ่งที่เหล่าคุณหนูสกุลใหญ่ถนัดมากที่สุดก็คือการพูดจากระทบกระเทียบกันและกัน โอ้อวดหยิ่งทระนง นิสัยของพวกนางส่วนใหญ่คือชอบข่มเหงผู้ที่ด้อยกว่าและเยินยอผู้ที่อยู่สูงกว่าโดยหวังเพียงผลประโยชน์ หน
“เจ้าทำน้ำกระเด็นเข้าตาข้าจนแสบไปหมดแล้ว”“อะ…อ้อ…ขออภัยเจ้าค่ะ” ไป๋เฉินเซียงยื่นมือเพื่อขอผ้าผืนเล็กคืน ทว่าหลานอี้ซินเลือกหดมือพร้อมผ้าไพล่ไว้ข้างหลัง“นั่งลง”“หา…”“ข้าบอกให้เจ้านั่งลง”ไป๋เฉินเซียงเหลอหลา ร่างระหงค่อย ๆ หย่อนกายตามคำสั่งดั่งต้องมนต์สะกด นัยน์ตารูปหงส์จับจ้องใบหน้าแท้จริงของตนบนคันฉ่องก็แอบประหวั่น ไม่กี่อึดใจร่างสูงก็ขยับเท้ามายืนขนาบหลังไป๋เฉินเซียงตั้งท่าลุกขึ้น แต่ก็ถูกมือกว้างคว้าไหล่เอาไว้แน่น“อย่าขยับ”กล้ามเนื้อบนใบหน้างามเริ่มเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย “ท่านพี่ เดี๋ยวข้าทำเองเจ้าค่ะ”หลานอี้ซินไม่พูด เขาใช้ผ้าสะอาดเช็ดเส้นผมให้ไป๋เฉินเซียงทีละช่ออย่างเบามือไป๋เฉินเซียงตื่นตะลึง แม่ทัพผู้กรำศึกก่อสงครามมาโดยตลอด กลับรู้จักปรนนิบัติเอาใจภรรยา ทั้งที่นางก็เป็นเพียงภรรยาในนามเท่านั้น“ท่านพี่อย่าลำบากเลยเจ้าค่ะ ท่านทำเช่นนี้ไม่เหมาะ” ไป๋เฉินเซียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“อยู่นิ่ง ๆ” หลานอี้ซินดุไป๋เฉินเซียงจึงยอมสงบคำและนั่งตัวแข็งประหนึ่งหุ่นขี้ผึ้งตัวหนึ่ง“เจ้าบอกไ
กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยกระทบเข้าโสตประสาท ขาเสลาเคลื่อนฝีเท้าขยับเข้าใกล้คันฉ่องบานใหญ่ ไป๋เฉินเซียงใช้ผ้าสะอาดเช็ดผมสีดำขลับดุจน้ำหมึกที่เปียกชุ่มทีละช่อ พลางเหลียวมองหลานอี้ซินที่เอาแต่นั่งตัวตรงแน่วดุจดินปั้นไม้แกะสลัก “ท่านพี่ไยนั่งนิ่งเพียงนั้น ง่วงหรือยังเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าให้ซูซินมาเปลี่ยนน้ำให้เจ้าค่ะ”หลานอี้ซินกระแอม “ไม่ต้อง ข้ามาไม่นาน มีธุระต่อ”ไป๋เฉินเซียงขมวดคิ้ว “ดึกแล้ว ท่านยังมีธุระอีกหรือเจ้าคะ อีกอย่างข้ารู้มาว่าท่านได้พักรักษาตัวจนกว่าจะหายดีไม่ใช่หรือ ไยจึงมีธุระโน่นนี่ทุกคืน” ไป๋เฉินเซียงบ่นกระปอดกระแปด นางกลับไปง่วนกับการเช็ดผมเผ้าอีกหนครั้นช้อนเปลือกตาอีกครั้งก็ต้องสะดุ้งโหยง ไม่รู้ว่าหลานอี้ซินมายืนตรงหน้าของตนเมื่อใด กระทั่งเสียงไม้เท้ากระทบพื้นนางก็ไม่ได้ยิน ไป๋เฉินเซียงลูบคลำใบหน้าด้วยความร้อนรนไป๋เฉินเซียงลืมตัวไปเสียสนิท ว่ายามที่ตนชำระร่างกายจะสลัดคราบวิชาแปลงโฉมออกไปเพราะรู้สึกอึดอัด ร่างสูงโน้มกายลงแช่มช้า จมูกโด่งเป็นสันห่างจากใบหน้างดงามเพียงลมหายใจกั้นไป๋เฉินเซียงแทบหยุดหายใจ “ท่านพี่ ทำอะไรเจ้าคะ ละ…แล้ว ท่านมาต