บทที่ 4
“ยืนทำอะไรกัน เข้าห้องเรียนได้แล้ว” เสียงของอาจารย์ปานตา อาจารย์สอนวิชาฟิสิกส์ ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวที่หน้าห้องเรียน
ใบหน้าขรึมและน้ำเสียงดุ ทำให้ขวัญเอยและแก๊งเพื่อนถึงกับสะดุ้ง แล้วแยกย้ายกันเข้าห้องเรียนอย่างรวดเร็ว
“ไอมิ เธออยู่ก่อน” เสียงเรียกของอาจารย์หยุดฝีเท้าของไอมิเอะที่กำลังจะก้าวพ้นธรณีประตูห้องเรียน เธอชะงักแล้วหันกลับไปทันที
อาจารย์ยื่นเอกสารบาง ๆ แผ่นหนึ่งให้ ซึ่งเป็นเอกสารสรุปเนื้อหาบทเรียนของวันนี้
“ลงไปถ่ายเอกสารให้ครูสี่สิบฉบับ”
“ค่ะ อาจารย์” ไอมิเอะพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วรับเอกสารมาถือไว้แนบอก
เรื่องแบบนี้เธอคุ้นชินอยู่แล้ว ปกติหากไม่ใช่หัวหน้าห้องที่โดนใช้งาน ก็มักจะเป็นเธอที่อาจารย์ไว้วางใจ
ด้วยเธอเป็นคนเงียบ เรียบร้อย ขยัน และไม่เคยปริปากบ่น จึงเป็นที่รักของอาจารย์ เธอหันหลังเดินตรงไปทางบันไดอย่างไม่รีรอ แต่พอเท้ายังไม่ทันก้าวลงไปดี เสียงทุ้มต่ำที่เธอรู้ดีว่าเป็นของใครก็ดังขึ้น
“มีอะไรอีก?” เสียงของจิน
ไอมิเอะเผลอชะงักเท้าทันที แม้จะพยายามไม่มอง แต่หัวใจกลับเต้นแปลก ๆ อย่างควบคุมไม่ได้
“จินลืมหนังสือเรียนไว้ที่ห้องพี่ด้วยนะ พี่ก็เลยเอามาให้ แต่อยู่บนรถ ลืมหยิบลงมา”
เสียงของจ๊ะจ๋าดังขึ้นตามมา ท่าทางตั้งใจพูดให้ได้ยินกันทั้งโถงทางเดิน จนดูเจตนาไม่บริสุทธิ์
จินก็ยักคิ้วรับน้อย ๆ แล้วลุกเดินลงบันไดไป จ๊ะจ๋าก็รีบเดินตามไป
ไอมิเอะเม้มปากแน่น ก้มหน้าลง พยายามกลืนความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวขึ้น แล้วรีบเดินลงบันได เพื่อจะไปที่ร้านถ่ายเอกสารข้างๆ ตึกเรียนให้เร็วที่สุด
เธออยากรีบทำงานให้เสร็จ เพราะเธอไม่อยากเดินสวนกลับขึ้นมาพร้อมกันกับพวกเขาอีก ไม่อยากเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ที่ตอกย้ำตัวเธอทุกครั้งที่สายตาจินมองผ่าน
เธอรีบก้าวอย่างเร็วในขณะที่หัวใจก็รู้สึกเหมือนมันกำลังช้าลงเรื่อย ๆ
“ถ้าไม่รีบไปเรียน ก็อยู่คุยด้วยกันก่อนสิ” เสียงของจ๊ะจ๋าเอ่ยขึ้นพร้อมกับท่าทีโปรยเสน่ห์เต็มขั้น
จ๊ะจ๋าพิงขอบประตูรถยนต์อย่างยั่วยวน ขาเรียวยาวไขว้กันเบา ๆ เสื้อเชิ้ตนักศึกษาที่ฟิตพอดีตัวเผยให้เห็นทรวดทรงแบบไม่ต้องพยายามมาก
จินชะงักเท้าเล็กน้อย แต่ไม่ตอบอะไรทันที เขาเหลือบมองเข้าไปในรถแล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ สีหน้าไม่ได้ดูมีอารมณ์ร่วมอะไรนัก ก่อนสายตาจะเผลอเหลือบไปมองอีกทางหนึ่ง เห็นไอมิเอะที่กำลังก้มหน้าเดินผ่าน
แม้จะเห็นแค่ด้านข้าง แค่เงาเล็ก ๆ ที่รีบเดินเหมือนไม่อยากให้ใครเห็น แต่มันกลับสะกิดบางอย่างในใจเขา ความเงียบ ความเรียบร้อย ความไม่วุ่นวาย แบบที่แตกต่างจากผู้หญิงตรงหน้าโดยสิ้นเชิง
“จะคุยอะไร” จินถามขึ้นในที่สุด น้ำเสียงเรียบเย็น ไม่ได้มีความอ่อนโยนใด ๆ ปะปนอยู่ในคำพูดนั้นเลย
“คุย…เรื่องของเราไง” จ๊ะจ๋าเดินเข้ามาใกล้แล้วค่อย ๆ ยื่นมือขึ้นคล้องคอของจินไว้ ลมหายใจเบา ๆ ของเธอแทบจะแตะผิวแก้มของเขา
สายตาของเธอจงใจอ่อนหวาน แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความเป็นเจ้าของและการแข่งขัน
จินยืนนิ่ง ไม่ได้หลบ ไม่ได้ผลัก ไม่ได้ตอบสนอง เขาแค่มองเธอนิ่ง ๆ เหมือนกำลังพิจารณาบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยออกมาเบา ๆ แต่เย็นเฉียบ
“อย่าทำแบบนี้”
มือของจินไม่ได้ยกขึ้นจับมือเธอที่คล้องคอเขาไว้ แต่ก็ไม่ได้ดึงเข้าหาตัวเหมือนอย่างที่จ๊ะจ๋าคิดไว้เช่นกัน
ทำให้จ๊ะจ๋าชะงักไปเล็กน้อย เหมือนจะเสียศูนย์แวบหนึ่ง ในหัวเธอมีภาพที่ต่างออกไป จินควรจะยอมแพ้ให้กับเสน่ห์ของเธอเหมือนที่ทุกคนเป็น
แต่ผู้ชายคนนี้ ไม่เคยง่าย และนั่นทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นสายตาแวบนั้น สายตาที่มองตามไอมิเอะ…
“...!!” ทันทีที่สายตาของไอมิเอะเหลือบไปเห็นผ่านประตูกระจกใสของร้านถ่ายเอกสาร เธอก็ชะงักฝีเท้าลงโดยอัตโนมัติ
ภาพเบื้องหน้า แม้จะเห็นผ่านกระจก แต่ก็ชัดเจนราวกับตั้งใจจะให้เธอเห็น จ๊ะจ๋ากำลังยืนพิงขอบรถยนต์หรูของตัวเอง ท่าทางยั่วยวน ยกมือแตะปลายผมเล่นเบา ๆ ขณะพูดคุยกับจิน
จินยืนอยู่ตรงหน้าจ๊ะจ๋าในระยะประชิดเกินคำว่า ‘สนิท’ ใบหน้าเย็นชานั้นแม้ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรเป็นพิเศษ แต่ท่าทางยืนนิ่ง ๆ ไม่ขยับออกห่างเลยสักนิด ก็ทำให้ภาพที่เห็นดูล่อแหลมจนแทบไม่อยากเชื่อสายตา
“O.O!!” ไอมิเอะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หัวใจเต้นวูบไปเสี้ยววินาที ราวกับอากาศรอบตัวหยุดนิ่ง เธอรีบก้มหน้าลงต่ำทันทีเหมือนถูกของร้อนลวก ริมฝีปากเม้มแน่น กลั้นหายใจ แล้วก้าวเร็ว ๆ ตรงเข้าไปยังร้านถ่ายเอกสาร
ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองทางรถยนต์คันนั้นอีก ทั้งที่เธอรู้ว่าตัวเองอยากมอง อยากมองจนแทบใจจะขาด แต่ก็ทำได้แค่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฉันทำเหมือนไม่ได้เห็น เหมือนไม่รู้สึกอะไร เหมือนที่ฉันเคยทำมาตลอด
ภาพนั้นไม่ใช่สิ่งที่ฉันเคยชิน แต่มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเห็น ฉันกับจิน เราแทบไม่พูดคุยกันเลย ถึงจะเรียนอยู่ห้องเดียวกัน เดินสวนกันแทบทุกวัน แต่ก็แทบไม่เคยมีบทสนทนา ไม่มีแม้แต่คำทักทาย
เหมือนเราสองคนอยู่คนละโลก จินอยู่บนโลกที่สว่างไสว มีผู้คนห้อมล้อม สนุกสนานวุ่นวายในแสงแฟลช
แต่ฉัน ฉันก็แค่คนธรรมดา ที่เงียบเกินไป เงียบเกินกว่าจะอยู่ในสายตาของใคร
“เจ็บชะมัด…” เสียงพึมพำของเธอเบาหวิว ราวกับกลัวแม้กระทั่งเสียงของตัวเองจะทำร้ายหัวใจให้เจ็บกว่านี้
“เอกสารได้แล้วครับ” เจ้าของร้านยื่นกระดาษที่เพิ่งถ่ายเสร็จมาให้เธอครบสี่สิบชุด
“ขอบคุณค่ะ” ไอมิเอะรับมันด้วยสองมือ กอดไว้แน่น แล้วหมุนตัวเดินกลับขึ้นตึกเรียนอย่างเงียบ ๆ
สายตาก็เหลือบมองรถยนต์ของจ๊ะจ๋าอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่กลับไม่เห็นพวกเขาอยู่ตรงนั้นแล้ว คิดว่าโชคดี แต่เพียงไม่กี่ก้าวต่อมา...
ก็ทำเอาเธอชะงัก พวกเขานั่งอยู่ที่บันไดตรงทางขึ้นอาคาร ครั้งนี้นั่งใกล้กันมากกว่าเดิมอีก จ๊ะจ๋านั่งไขว่ห้าง เอนตัวเข้าหาเหมือนอยากแนบจิน เหมือนอยากจงใจประกาศความเป็นเจ้าของ
จินเองนั่งก้มหน้าดูมือถือ ไม่สนโลก ไอมิเอะก็สูดหายใจเบา ๆ พยายามทำตัวปกติ เธอขยับชุดนักเรียนให้เข้าที่ แล้วก็เริ่มก้าวขึ้นบันได
เธอสวมชุดยูนิฟอร์มประจำโรงเรียน เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว ผูกเนคไทลายสก็อตสีแดงเข้ม กระโปรงลายสก็อตสีเดียวกันที่สั้นเหนือเข่าขึ้นมาประมาณสองนิ้ว ทำให้เวลาขยับก้าวขาเพื่อเดินขึ้นบันได เรียวขาขาวเนียนก็โผล่พ้นชายกระโปรงออกมาชัดเจน โดยไม่ตั้งใจ
อะไรขาวๆ ผ่านหน้าไป? แถมยังมีกลิ่นหอมเหมือนแป้งเด็ก
จินที่กำลังดูมือถืออยู่ เห็นอะไรขาวๆ อมชมพูๆ มีกลิ่นหอมเหมือนกลิ่นแป้งเด็ก ผ่านหน้าขึ้นไป ก็ชะงักนิ้วทันที สายตาเหลือบขึ้น แล้วค้างอยู่ตรงนั้น
เงาของกระโปรงที่พริ้วตามจังหวะการเดิน กับขาอ่อนเนียน ๆ สีผิวขาวจัดของไอมิเอะ ที่เหมือนสะท้อนแสงกลางวัน
วินาทีนั้นโลกดูจะเงียบลงเล็กน้อยสำหรับจิน คิ้วของเขากระตุกขึ้นช้า ๆ ดวงตาคมกริบจ้องตามเรียวขาของไอมิเอะเหมือนหลุดโฟกัสจากทุกสิ่ง
แต่ก็เพียงแค่ชั่วแวบเดียว เพราะเสียงถอนหายใจแรง ๆ จากจ๊ะจ๋าก็ดังแทรกขึ้น ฟันเธอขบแน่นเล็กน้อยด้วยความหึงหวง มุมปากยกยิ้มฝืน ก่อนเอ่ยเสียงหวานแต่แฝงความประชดประชัน
“น้องเขาขาเรียวดีนะ…”
“....” จินหันหน้ากลับมาช้า ๆ ไม่พูดอะไร ดวงตานิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แค่ปลายนิ้วที่ขยับเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีเฉื่อยชา
ท่าทางของเขาดูจะไม่สนใจใคร แต่ลมหายใจที่แผ่วลง ดันบอกบางอย่างที่เขาเองก็อาจยังไม่รู้ตัว
“ขาวมากด้วย...ชอบไม่ใช่เหรอ...ขาวๆ”
“….” จินเลิกคิ้วข้างขวาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองหน้าจ๊ะจ๋านิด ๆ โดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ
มือหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง จากนั้นจินก็เบือนสายตาไปอีกทาง เหลือบมองเงาของไอมิเอะที่เดินหายไปแล้วแวบหนึ่ง สายตาคมเฉียบไร้คำพูด แต่แฝงด้วยอะไรบางอย่างที่อ่านไม่ออก
“หมดธุระแล้วใช่มั้ย?” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อ ๆ ชวนให้คนฟังหงุดหงิด
แล้วจินก็ก้าวขึ้นบันไดไปแบบไม่พูดอะไรต่อ แผ่นหลังของเขายามเดินจากไป ดูเย็นชา จนคนที่มองต้องเผลอกัดฟันแน่นอย่างไม่สบอารมณ์
“เอกสารได้แล้วค่ะ” เสียงของไอมิเอะดังขึ้นอย่างสุภาพขณะเดินเข้ามาในห้องเรียน พร้อมกระดาษถ่ายเอกสารกองโตในมือ เธอก้าวเท้าเรียบร้อยไปส่งให้อาจารย์ปานตาที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะ
“แจกเพื่อนคนละฉบับ” อาจารย์พูดสั้น ๆ โดยไม่เงยหน้าขึ้นจากสมุดเช็คชื่อ
ไอมิเอะพยักหน้าเบา ๆ แล้วหันกลับไปที่โต๊ะเรียน แบ่งเอกสารอย่างคล่องแคล่วก่อนเดินไปแจกทีละแถว สีหน้าเธอนิ่งเฉยเหมือนเคย เป็นคนเงียบ ๆ ที่ทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่หวังให้ใครสังเกต
“มึง” ทันทีที่เธอนั่งลง เส้นด้ายซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ก็หันมาจ้องหน้า พร้อมตาโตเหมือนมีเรื่องเด็ดจะเม้าท์
“เมื่อกี้มึงเห็นเหมือนที่กูเห็นปะ?” เสียงของเส้นด้ายกระซิบเบา ๆ แต่ฟังดูตื่นเต้นจนกลั้นไม่อยู่
“กูไปเข้าห้องน้ำ แล้วเจอพี่จ๊ะจ๋ากับจินนั่งอยู่ตรงบันได”
“เห็นแล้ว” ไอมิเอะตอบเรียบ ๆ เสียงไร้อารมณ์ สีหน้าก็เช่นกัน ไม่โกรธ ไม่เศร้า แต่ก็ไม่ใช่ไม่รู้สึก
“พอมองใกล้ ๆ ไม่เห็นสวยเลย พี่แกก็แค่รู้จักแต่งหน้าแต่งตัวเฉย ๆ” เส้นด้ายพูดต่อ มือก็ลูบผมตัวเองไปด้วย
“ถ้าเทียบกับมึงนะ กูว่ามึงสวยกว่าเยอะ ผิวก็ขาวกว่า เนียนกว่า ขาก็เรียว หน้าก็ใส”
“เกี่ยวอะไรกับเรา” ไอมิเอะเอ่ยเรียบ ๆ เช่นเดิม ดวงตาก้มมองกระดาษในมือ
ไอมิเอะใช้สรรพนามว่า ‘เรา’ กับ ‘แก’ เสมอ ไม่ว่าจะอยู่กับเพื่อนสนิทแค่ไหน ทั้งห้องนี้มีเพียงเธอคนเดียวที่ไม่เคยพูดคำว่า ‘มึง’ หรือ ‘กู’
พวกเพื่อนเคยแซวกันเล่น ๆ ว่าเธอเหมือนคุณหนูจากโรงเรียนหญิงล้วน แต่ความจริงมันลึกกว่านั้น
แม่ของไอมิเอะเป็นชาวญี่ปุ่นแท้ ๆ จากเมืองคานาซาวะ เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีอันอ่อนหวานละเมียดละไม แม่ของไอมิเอะเติบโตมากับวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับกิริยามารยาท ทุกท่าทาง ทุกคำพูดต้องสะท้อนถึงความนอบน้อมและความเคารพต่อผู้อื่น
และแม่ของไอมิเอะไม่เคยตวาด ไม่เคยใช้คำหยาบแม้แต่ครั้งเดียว แต่แค่สบตาเพียงครั้งเดียว ลูกสาวอย่างไอมิเอะก็รู้ตัวทันทีว่าควรนั่งให้หลังตรง พูดให้สุภาพ และวางตัวให้สมกับเป็นผู้หญิงที่แม่อบรมมาอย่างดี
‘คำพูดคือกระจกใจของผู้หญิง‘ แม่พูดคำนี้กับไอมิเอะเสมอ ไอมิเอะจึงเติบโตมาพร้อมคำสอนเหล่านั้นซึมลึกอยู่ในหัวใจ
ในบ้านของเธอ การจะพูดคำว่า ‘มึง กู‘ คือสิ่งต้องห้าม ไม่ว่าเพื่อนรอบข้างจะพูดอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนวิธีคิดของเธอได้ เพราะแม่เคยบอกไว้ว่า ’สุภาพ ไม่ใช่อ่อนแอ แต่คือความเข้มแข็งของจิตใจที่ควบคุมตัวเองได้เสมอ‘
วัฒนธรรมญี่ปุ่นมองว่าผู้หญิงที่ดีไม่ใช่แค่สวย แต่ต้อง ‘งาม’ ด้วย ไม่เพียงงามภายนอก แต่ต้องงามจากความคิด คำพูด และการกระทำ กิริยามารยาทคือเสน่ห์อย่างหนึ่งของผู้หญิง
แม่จึงปลูกฝังทุกอย่างอย่างเงียบ ๆ ผ่านการกระทำของแม่เอง ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องพูดมาก แต่ทำให้ไอมิเอะเห็นเพื่อจะได้ซึมซับมาโดยไม่รู้ตัว
‘ดูนางให้ดูแม่’ ไม่ใช่แค่คำพูด แต่คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดในตัวเธอ