ยามตะวันลาลับขอบฟ้าในสวนสาธารณะ เวลาสามทุ่ม...
ฉันย่องเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้หนาทึบใจเต้นระทึกกับรวบรวมความกล้าที่ผสมปนเปกันฉันที่ต้องการพิสูจน์ว่าในจดหมายนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่และถ้าเป็นจริงใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ ฉันที่แต่งตัวอย่างกับโจร ใส่ชุดสีดำทั้งตัว อาการก็เหมาะ เพราะร้อนสุดๆ
ความเงียบสงัดของสวนสาธารณะทำเอาฉันเกือบหลับแต่ถูกทำลายลงด้วยเสียงฝีเท้าเบาๆ ฉันเพ่งมองผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ สายตาเห็นร่างของชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในสวน ฉันหันไปมองของที่เตรียม มาทั้งกระเทียม ไม้กางเขน เหล็กแหลมและน้ำอบ
"ไม่เชื่อเลย ยังพกมาขนาดนี้ ตั้งศาลเจ้าไล่ผีได้เลยนะ"
ชายหนุ่มหยุดอยู่ใต้แสงไฟจากเสาไฟฟ้า ทำให้ฉันเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน!
"นั้นมันคือชายหนุ่มธรรมดาๆ ไม่ใช่หรือไงน่ะ ไม่เห็นจะเหมือนแวมไพร์ตรงไหน"
สีหน้าแข็งตึงอย่างสะกดอารมณ์ ฉันเฝ้ามองอย่างระมัดระวังไม่นานนัก หญิงสาวอีกคนก็เดินเข้ามาในสวน เธอตรงเข้าไปหาชายหนุ่มคนนั้น ทั้งคู่พูดคุยกันครู่หนึ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะโอบกอดเธอไว้
ฉันรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง สายตาจ้องมองทั้งคู่อย่างไม่วางตา ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ก้มลงไปที่คอของหญิงสาวดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ สายตาเห็นเขี้ยวแหลมคมของเขาจมลงไปในผิวเนื้อของหญิงสาว
"แวมไพร์!! นั้นแวมไพร์!! จริงๆ"
ฉันอุทานออกมาใบหน้าซีดเผือดเหงื่อไหลเต็มไปหมด ฉันรีบชักปืนออกมาจากข้างหลังกระเป๋ากางเกง ยกปืนขึ้นเล็งไปที่ชายหนุ่มคนนั้นแล้วลั่นไก
ปัง!
เสียงปืนดังสนั่นไปทั่วสวนสาธารณะ ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกเขารีบผลักผู้หญิงออกแล้วหันมามองทางฉันด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวดวงตาเขาเป็นสีแดงปากมีเลือดสีแดงสดติดปากไหลลงพื้น
"นั้นใครน่ะ?!" เขาคำรามเสียงดัง
ปากฉันไม่ขยับเลยสักนิด ค่อยๆ คลานออกมาจากต้นไม้จากนั้นวิ่งหนีออกจากตรงนั้น ไม่สนอะไรอีกถึงจะเอากระเทียมมาก็คงไม่ช่วยอะไรแล้วจุดนี้ จึงรีบไปจากที่นี่ก่อนที่แวมไพร์ตนนั้นจะตามฉันทัน ขากระโดดข้ามสะพานวิ่งเต็มกำลัง
"หยุดนะ!" เสียงของแวมไพร์ดังไล่หลังมาแต่ฉันไม่หยุด
"หยุดก็บ้าแล้ว ได้ตายก่อนพอดี แฟนยังไม่มีเลยนะ"
ฉันวิ่งสุดแรงเกิดฝ่าความมืดของสวนสาธารณะไปเสียงหอบหายใจแรงความกลัวทำให้ขาทั้งสองข้างแทบจะก้าว ไม่ออกแต่แล้วฉันก็รู้สึกเหมือนมีเงาดำพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง ร่างของฉันถูกกระชากอย่างแรงจนเสียงหลักถูกเหวี่ยงเข้าไปกระแทกกับกระจกหน้าร้านค้าแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ บาดผิวหนังของฉันจนเป็นแผลเลือดหยดลงบนพื้น
เสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ฉันล้มลงไปนอนกับพื้น เศษกระจกบาดลึกเข้าไปในเนื้อ ฉันพยายามจะลุกขึ้นแต่ร่างกายของฉันกลับไม่ตอบสนอง
"หนีทำไมล่ะที่รัก"
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นฉันเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับใบหน้าของแวมไพร์ตนนั้น เจาะหู แต่งตัวดูดี เขากำลังยิ้มเยาะฉันอย่างสะใจ
"เหอะ ไม่ให้หนีจะให้โดนกัดหรือไง ถามอะไรโง่ๆ ใครจะอยากมาตายตอนนี้กันล่ะ"
"ไม่กลัวกันเลยเหรอ ถึงได้กล้าต่อปากต่อคำกับแวมไพร์"
"แน่นอน ฉันมันปากหมาจะบอกให้ แค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก"
เขาค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ฉัน เขาก้มลงมองฉันด้วยสายตาเหยียดหยาม
"เธอคิดว่าจะหนีฉันพ้นเหรอ? ไม่มีทางหรอกมนุษย์มักอ่อนแอ ฉันชอบมนุษย์อย่างพวกเธอเพราะโง่สิ้นดี"
"ฮ่าๆๆ กำลังด่าตัวเองเหรอ เมื่อก่อนนายก็เคยเป็นมนุษย์ ก็แค่เปลี่ยนมาเป็นแวมไพร์ไม่ได้สูงส่งขนาดนั้นสักหน่อย!"
ขาทั้งสองพยายามจะถอยหนี แต่แล้วแวมไพร์ย่อตัวลงมาใกล้ฉันจนใบหน้าของเขาอยู่ห่างจากฉันเพียงไม่กี่นิ้ว
"ปากดีไปเถอะ เดี๋ยวเธอก็จะตายแล้ว หน้าตาสวยแต่ปากร้ายไม่เบา เลือดของเธอมันช่างหอมหวาน กลิ่นโชยมาเลย"
ฉันกลืนน้ำลายลงคอมือขยับไปข้างหลังสายตาเห็นเหล็กสีเงิน มือกำลังจะหยิบ....ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงใครบางคนพูดขึ้น..
"นายคิดว่าผู้หญิงคนนี้นายมีสิทธิ์ยุ่งงั้นเหรอ!"
ผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ภายในร้านอย่างสบายอารมณ์ มือตักเค้กเข้าปากอย่างอร่อยไม่ได้สนใจความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
"ถอยห่างจากเธอซะ!"
เสียงของผมพูดขึ้น เอียงคอด้วยใบหน้าที่เย่อหยิ่ง ผมมองไปทางเธอที่เห็นแวมไพร์ตนนั้นกำลังจับแขนของเธออยู่
"ช่างน่ารำคาญจริง"
แววตาของผมแสดงถึงความรังเกียจเดียดฉันท์ ก่อนจะวางส้อมลง
"ยังจะมีอารมณ์กินอยู่อีกเหรอ! " ฉันพูดไปทางเขาที่ทำตัวสบายใจไม่สนอะไรเลย คนจะตายอยู่แล้ว
"ช่วยหน่อยได้ไหม เห็นบ้างไหมว่าคนเขาเดือดร้อน!!"
ผมยิ้มอวดดี"เธอขอให้ฉันช่วยอยู่เหรอ? ไหนล่ะ คำพูดหวานๆ เป็นผู้หญิงจริงไหม ลองพูดอ้อนน่ารักๆ หน่อยสิ หรือพูดเสียงหวานๆ เป็นไหม ฉันจะรับพิจารณา"
"ไอ้หมอนี่!! ใช้เวลาไหมเนี่ย....ยังจะเรื่องมากจริงนะ"
"เอ้า! เร็วๆๆ ถ้าเธอไม่พูดงั้นก็ตายไปเลย ฉันไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตของเธอนะ"
เขายิ้มกว้างกับกินเค้กไปด้วยพร้อม ยักคิ้วอย่างยั่วเย้าอารมณ์ ฉันกัดฟันกรอด!
"คุณผู้ชายที่สุดแสนจะหล่อเหลา ช่วยผู้หญิงคนนี้หน่อยได้ไหมคะ ได้โปรดค่ะ"
ผมยกมือปิดปากหัวเราะ"ก็แค่นี้แหละ พูดยากนักนะ ค่อยเหมาะสมกับการเป็นผู้หญิงขึ้นมาหน่อย"
ผมยกนิ้วชี้ขึ้นมาตัวผู้ชายคนนั้นก็ลอยตามแรงนิ้วของผมที่เหวี่ยงเขาไปมาจนไปติดกำแพงทั้งข้างล่างข้างบน เขาเลือดท่วมตัว ผมใช้พลังจิตกับเขา ทำให้ไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้และกระจกก็เริ่มราวขึ้นเรื่อยๆ ทุกบานตามทางที่ผมเดินเข้าไปใกล้เขา
ฉันมองเขาด้วยความอึ้ง สายตาที่เห็นนั้นทำให้ฉันอ้าปากค้าง ดันมือพยายามจะลุกขึ้นแต่ร่างกายฉันก็ยังคงไม่มีแรงจะทำอะไรได้เลย
"แกเป็นได้แค่เศษขยะเท่านั้น จะฆ่าเธอคิดผิดแล้ว"
ผมคว้าตัวเขาขึ้นมาบีบเข้าไปที่คอ เขาพยายามใช้แรงของแวมไพร์จะสู้กับผมแต่ก็ไม่สามารถต้านทานพลังของผมได้ ในที่สุดเขาไม่มีลมหายใจ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลผมปล่อยเขาลงไปนอนกองกับพื้น สายตาก้มลงมองเขาเอาเท้าสะกิด ด้วยสายตาน่าสมเพช
"แค่นี้ก็ตายแล้วเหรอ ตายง่ายชะมัด"
"ถ้าแกชอบกัดมากนักคราวหลังก็ไปเกิดเป็นสัตว์นะ"
น้ำเสียงเย็นชาก่อนจะใช้มือเปล่าฉีกกระชากร่างของเขาออกเป็นชิ้นๆ ทั้งแขนทั้งขาและหัวของเขา
ฉันมองภาพตรงหน้าด้วยความสยดสยอง นี่คงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนฉีกคนด้วยกัน เขาเป็นคนที่โหดเหี้ยมอะไรขนาดนี้ คิดถูกแล้วใช่ไหมที่ขอให้เขาช่วย
ผมหันหลังเดินกลับไปหาเธอ ที่นั่งอยู่กับพื้น ย่อตัวลงแล้วอุ้มเธอขึ้นมาอย่างเบามือ
"ไม่เป็นไรแล้ว ฉันจะพาเธอไปส่งโรงพยาบาล"
ผมค่อยๆ อุ้มเธอออกจากร้านค้านั้น พาเธอไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดระหว่างทางเธอมองผมไม่วางตาราวกับบนใบหน้าของผมมีอะไรผิดปกติอย่างนั้น
โรงพยาบาลในเมือง...
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ผมก็วางเธอลงบนเตียงอย่างเบามือ เสียงเรียกพยาบาลมาดูแลเธอแต่ก่อนจะไปผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ผมรู้ว่าผมทำเท่าที่ทำได้แล้ว เลยยกมือขึ้นมาแตะที่หน้าผากของเธอ หลับตาลงและเริ่มร่ายมนตร์ลองลบความทรงจำของเธอดูว่าเธอจะตื่นมาจำได้หรือเปล่า
แสงสีเงินเรืองรองออกมาจากมือของผม ส่องสว่างไปทั่วห้อง เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับกำลังฝันร้ายแต่แล้วความเจ็บปวดและความกลัวค่อยๆ จางหายไปจากดวงตาของเธอเมื่อลืมตาขึ้น เธอก็หลับสนิทไปแล้ว ใบหน้าของเธอดูสงบและผ่อนคลาย
"รีบฟื้นล่ะ ยังมีอะไรหลายอย่างที่ฉันจะพิสูจน์กับเธอ"
ฉันถลกแขนเสื้อขึ้นเพิ่มความทะมัดทะแมงเตรียมพร้อมกระชับมือที่กุมเอาไว้ให้แนบแน่นมากขึ้น สูดลมหายใจเข้าออกตั้งสติแวมไพร์อีกหลายตน พวกมันจ้องมองฉันด้วยสายตาหิวกระหาย"นี่น่ะเหรอ คนที่มีพลังบริสุทธิ์ เป็นผู้หญิงที่งดงามแต่น่าเสียดายคิดจะสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยมนุษย์"ฉันยิ้มยวน "ถ้าใช่แล้วจะทำไม พวกนายมันก็ต้องการให้ฉันตายอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง!""โง่จริงๆ เธอไม่รู้หรอกว่าพลังของเธอมีค่ามากแค่ไหน ถ้าได้พลังนั้นมา มันสามารถชุบชีวิตคนตายได้ แทบยังทำให้มีพลังเหนือกว่าคนอื่น ที่ใครไม่สามารถต้านทานได้ ก็นะ เธอก็แค่มนุษย์เลยไม่ได้รับรู้ถึงพลังนั้น!"โครนอสหันไปสั่งเหล่าแวมไพร์ "จับตัวเธอมา!"พวกเหล่าแวมไพร์กำลังจะพุ่งเข้าใส่ฉันแต่ก่อนที่พวกมันจะทันได้แตะต้องฉัน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังพวกเขา"หยุดนะ! ใครกล้าแตะต้องเธอ ฉันฆ่าทิ้งแน่!"ผมเดินแหวกกลางมาหยุดตรงหน้าของเธอ ผมหันไปจ้องมองโครนอสด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ก่อนจะหันกลับมาหามินาโกะฉันที่มองใบหน้าของเคียร์ ด้วยแววตาที่ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว"นายก็หลอกฉัน หลอกให้รัก หลอกให้เชื่อใจ หลอกว่านายจะจริงใจ แต่สุดท้ายนายก็ไม่ได้รักฉัน! สิ่งที่นายรักก็ค
เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งเมือง ตำรวจเอฟบีไอที่มาถึงที่เกิดเหตุต่างตกเป็นเป้าหมายของเหล่าแวมไพร์กระสุนปืนแลกเปลี่ยนกันอย่างดุเดือดฉันหลบอยู่หลังรถตำรวจเปลี่ยนชุดที่ถนัดในการต่อสู้ พอเปลี่ยนเสร็จฉันยิงสกัดแวมไพร์เดินถือปืนยิงแวมไพร์ที่เข้ามาใกล้ พวกมันมีจำนวนมากเกินไปการใช้ปืนคงจะเป็นไปได้ยาก สายตาหันไปทางพี่เรียวจิ กำลังฉีดยาที่อิซามูทำขึ้นมาเป็นควันสลบที่รุนแรง รีบสวมหน้ากากกันแก๊สทันใดนั้น ฉันเห็นซากุระ ล้มลงเธอกำลังจะถูกแวมไพร์ทำร้ายฉันไม่รอช้า รีบวิ่งออกไปขวางหน้า ย่อลงแล้วเล็งปืนแล้วเหนี่ยวไกทันทีกระสุนพุ่งเข้าเจาะทะลุกลางหัวใจของแวมไพร์ มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงไปนอนกองกับพื้น"ซากุระ! ไม่เป็นไรนะ"ซากุระพยักหน้า "ฉันไม่เป็นไร ขอบใจนะมินาโกะ"สายตามองซากุระตัวสั่นเหมือนลูกนก สีหน้าของเธอซีดเผือดราวกับคนตาย"ยูกิ! พาซากุระกับอิซามูไปห้องใต้ดินของเอฟบีไอซะ นี่กุญแจแล้วฉันจะตามไปที่หลัง"ยูกิพยักหน้า เขาคว้ามือซากุระแล้วพาเธอนั่งรถขับออกไปทันที ฉันหันกลับไปเผชิญหน้ากับฝูงแวมไพร์ ต้องถ่วงเวลาให้เพื่อนๆ หนีไปให้ได้ฉันยกปืนขึ้นมาเล็งไปที่แวมไพร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด ฉั
ฉันที่มองเคียร์คล้ายกับว่าสีหน้าท่าทางเหมือนกำลังโกรธรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างเขาฉุนเฉียวไม่เป็นตัวของตัวเอง"ลุง...อย่าบอกนะว่า กำลังหึงฉันที่ไปยุ่งกับผู้ชายคนอื่นใช่ไหม"ผมชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ"ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หึง"แต่แววตาของเขาเลิ่กลั่กขาและแขนแกว่งไปทางเดียวกันอย่างไม่เป็น ธรรมชาติ เวลาเขาไม่พูดความจริงเขาชอบทำท่าทางแบบนี้ตลอด ฉันเลยเอื้อมมือไปจับมือของเขามาทาบบนอกของฉัน"ทำอะไรของเธอเนี่ย ยัยบื้อ ไม่อายคนเหรอ""ลุงตรงนี้หัวใจของฉัน มันอยู่ตรงนี้ ได้ยินใช่มั้ย หัวใจดวงนี้ฉันมอบให้ลุงทั้งหมดที่มี"จู่ๆ ใบหูของผมก็ร้อนขึ้นมา ควันร้อนแทบจะพวยพุ่งขึ้นบนศีรษะ ใบหน้าด้านข้างผมเปลี่ยนเป็นสีเข้ม"ยัยบื้อ ฉัน...ไม่...ช่างเถอะ"เคียร์วาร์ปหายหัวตัวไปต่อหน้าต่อตาฉัน ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ทำให้อมยิ้มเล็กน้อยถึงในคำพูดของฉันจะบอกใบ้ให้กับเขาแต่เขาก็คงไม่สงสัยอะไรฉันเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า..."เหลือเวลาไม่มากแล้วสินะ"องค์กรซีไอเอ...ทันทีประตูบริษัทเปิดออกฉันเดินเข้ามาจะไปห้องทำงานคาโอรุก็รีบเดินเข้ามาหาฉันสีหน้าไม่สบายใจ"มินาโกะ เธออย่าเพิ่งเข้า
เช้าวันรุ่งขึ้นของวันที่สี่...ฉันขยี้ตาไปมาเพื่อไล่ความง่วงงุนออกไปจากร่างกาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินไปยังกระจกบานใหญ่ริมห้อง ฉันมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกใบหน้าที่ยังคงมีคราบง่วงอยู่จางๆ ดวงตาที่ปรืออยู่เล็กน้อย แล้วคำพูดของเคียร์ยังคงอยู่ในหัวฉัน"รักฉัน ให้ตายเถอะ อยากจะดีใจแต่ก็ดีใจไม่สุด อยากจะบ้าจริงๆ"ฉันก้าวออกจากประตูคอนโดฉันสวมเสื้อโค้ตสีดำส่วนข้างในใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกระโปรงสีดำ รองเท้าส้นสูงสีครีม ผมยาวสลวยปล่อยตรงและใส่สร้อยคอที่เคียร์ให้มาฉันอมยิ้มสายตาฉันสะดุดกับร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งผมสีทอง ดวงตาสีม่วง สวมสูทสีเทาเข้มดูภูมิฐานมือของเขาถือช่อดอกไม้สีแดงสดขนาดใหญ่"เรเวน? "ฉันอุทานออกมาและนิ่งอึ้งไปหลายวินาทีเรเวน ยิ้มกว้างเมื่อเห็นฉัน "มินาโกะไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"ฉันรีบเดินเข้าไปหาเขา ในมือของเขายื่นดอกไม้มาให้ฉัน มือจึงรับช่อดอกไม้จากมือเขาด้วยรอยยิ้มบ้างๆ"ซื้อดอกไม้มาทำไมเนี่ย เปลืองเงิน""ไม่เปลืองเงินเลย ผมแค่อยากจะมาเซอร์ไพรส์คุณ และจำได้ว่าคุณชอบดอกกุหลาบสีแดง"ฉันยิ้มเต็มใบหน้า "มีอะไรหรือเปล่าถึงมาหากันถึงที่นี่เลย"เรเวน ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขามองต
สำนักงานใหญ่เอฟบีไอ....ผมกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของผมสายตาจดจ่ออยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งกำลังแสดงภาพถ่ายของมินาโกะและเคียร์ที่กำลังเดินออกจากสำนักงานด้วยกันวันนี้ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ผมจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ทุกครั้งที่เธอทำเกินหน้าเกินตา ผมกลับต้องเป็นคนแบกรับผลกระทบทั้งหมดจากพวกที่ชอบโอ้อวดไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ความโกรธเริ่มสะสมในใจของผมเหมือนน้ำในแก้วที่ใกล้จะล้นออกมาผมขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ไม่คิดว่าน้องสาวของผมจะกล้าคบหากับประธานเคียร์ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วส่งภาพถ่ายนั้นไปให้แม่ดู พร้อมกับข้อความว่า"แม่ครับมินาโกะกำลังคบกับประธานเคียร์อยู่ครับ"ไม่นานนัก แม่ก็โทรกลับมา"เรียวจินี่มันเรื่องจริงเหรอ?"เสียงของแม่พูดขึ้นจากปลายสายด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก"ครับแม่ ภาพนักข่าวก็เอาไปลงโซเซียลตอนนี้คงจะเป็นข่าวใหญ่แล้วล่ะครับ""ไม่ได้น่ะ มินาโกะจะไปคบกับประธานไม่ได้ทำไมไม่รู้จักเจียมตัวต้องคบคนฐานะที่ต่ำกว่าตัวเองสิ""แต่ทั้งสองก็เหมาะสมกันนะครับแม่""ไม่! นางจะต้องไม่ได้ดีไปกว่าลูกเข้าใจนะ แม่จะรีบกลับไป"ผมวางสายจากแม่แล้วนั่งพิงเก้าอี้ ยิ้มแบะปากผมรู้ว่าแม่ไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้
ฉันรีบดึงมือเคียร์ให้เดินตามฉันเข้าไปในห้องทำงานทันทีพอหลุดจากสายตาของเพื่อนๆ ฉันปิดประตูห้องแล้วเดินไปหยิบรีโมทปิดหน้าต่างให้เป็นสีดำสนิทจากนั้นหันกลับมาหาเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย"ทำไมลุงถึงพูดออกไปอย่างนั้น เราไม่ได้เป็นแฟนกันทั้งที่มันไม่ใช่"ผมที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องโมโหขนาดนี้ด้วย"ทำไมล่ะ เธอคือแฟนฉันนะ ยัยบื้อ เธอกับฉันก็ได้กันตั้งสองครั้ง จะให้เป็นคนแปลกหน้าหรือไง"กลายเป็นว่าเขาพูดออกมาทำให้ฉันถึงกับพูดไม่ออก มือกำแน่นจิกเข้าเนื้อตัวเอง ฉันรู้สึก ลำบากใจกับคำถาม เม้มปากเข้าหากันแน่น เขาก้าวเข้ามาใกล้ฉันเพียงก้าวเดียว ฉันที่ถอยจนติดโต๊ะทำงาน สายตาของเขาจ้องมาที่ฉัน เลยเบี่ยงเบนสายตาไปทางอื่น"ฉันรู้ว่ามันอาจจะทำให้เธอตั้งตัวไม่ทัน แต่ฉันไม่อาจจะปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว"เขายิ้มบางๆ ฉันที่อ้าปากแล้วก็หุบลงไปอีกครั้งเขายกมือขึ้นเชยคางฉันขึ้นมาบังคับให้ฉันมองหน้าเขา"มองตาฉันสิ แล้วบอกฉันว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉัน"เป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในขณะที่เคียร์กำลังจมอยู่ในห้วงอารมณ์ประตูห้องทำงานก็เปิดออกอย่างกะทันหัน อิซามูก้าวเข้ามาพร้อมกับแฟ้