ซ่งซีซีเลิกคิ้ว มองดูใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวขององค์หญิงใหญ่ นางเหลือบมองเห็นสาวรับใช้กำลังวิ่งเข้ามาขวางหน้าองค์หญิงใหญ่ ก่อนตะโกนว่า "องครักษ์ องครักษ์มานี่!"ซ่งซีซียกริมฝีปากขึ้นแล้วยิ้ม "องค์หญิงใหญ่ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ข้าแค่มาคืนของเท่านั้น"สายตาขององค์หญิงใหญ่ตกลงไปที่อนุสรณ์พรหมจรรย์ในมือของนาง สีหน้าเปลี่ยนอย่างไม่น่ามองทันที ของนี้ยังเก็บไว้อยู่หรือของแบบนี้ ไม่ควรพังให้ไม่เหลือชิ้นดีด้วยความโกรธหลังจากได้รับมันหรือ? วันนั้นแค่คิดซะว่า นางพูดเพ้อเจ้อ ไม่ไม่ถึงว่านางได้เก็บมันไว้จริงๆหัวหน้าองครักษ์นำคนกำลังจะวิ่งเข้าไป ทว่าองค์หญิงใหญ่ตะโกนอย่างดุดันว่า "ถอยออกไป เฝ้าอยู่ที่หน้าประตู"มีเพียงคนใกล้ชิดข้างกายนางเท่านั้นเท่านั้นที่รู้เรื่องอนุสรณ์พรหมจรรย์ จะพูดอย่างใดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่สามารถให้คนนอกเห็นเข้าจริงๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเหล่านี้ไม่ใช่องครักษ์ส่วนตัวที่คอยอยู่ข้างกายนางในฝ่ายใน พวกเขาเป็นองครักษ์ฝ่ายนอก เก็บความลับไว้ไม่ได้มากที่สุด บางทีดื่มสรุเยอะไปหน่อย ก็พูดอะไรไปหมดสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ นางยังคงอยู่ต่อ ทันทีที่ประตูปิดลง องค์หญิงใหญ่ก็จับตามองซ่งซีซ
ในห้องหนังสือหลวง อู๋ต้าปั้นเข้าไปรายงาน "ฝ่าบาทพะยะค่ะ องค์หญิงใหญ่เข้าวังแล้ว ทรงบอกว่าจะพบฝ่าบาท"ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นจากกองรายงานต่างๆ โยนปากกาทิ้ง และยื่นมือออกไปนวดลางคิ้ว “ได้บอกว่ามีเรื่องอะไร?”อู๋ต้าปั้นพูดอย่างระมัดระวัง "ไม่ได้บอก แต่มองเห็นชัดว่ากำลังโกรธอยู่"ฮ่องเต้เยาะเย้ยว่า "เสด็จอาของข้าคนนี้เป็นคนแข็งแกร่งตลอด ทุกเทศการหรือปีใใหม่ที่นางเข้าวัง ก็มักจะวางมาดเป็นผู้ใหญ่ต่อหน้าข้า ไม่ค่อยมาหาข้าเป็นการส่วนตัวเอง เพราะยังไงก็คงไม่มีเรื่องอะไรที่องค์หญิงใหญ่อย่างนางจัดการไม่ได้ มีความเป็นไปได้สูง เพราะเรื่องในงานเลี้ยงวันเกิด"เขาเคยได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงวันเกิด แต่บอกไม่ได้ว่าได้รู้เรื่องทั้งหมด ทว่าเรื่องผ่านไปตั้งหลายวันแล้ว ที่เข้าวังวันนี้ก็ยังเพราะเรื่องนั้นหรือ?"เชิญนางเข้ามา" ฮ่องเต้กล่าวอู๋ต้าปั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "องค์หญิงใหญ่อยู่ในตำหนักฉือหนิง กำลังรอให้ฝ่าบาทเข้าไปหา ได้ยินว่าได้เรียกสนมฮุ่ยไทเฟยไปด้วย""ให้ข้าไปหางั้นเหรอ?" ฮ่องเต้ยิ้มบางๆ รอยยิ้มไม่เข้าตา "ได้เลย ข้าที่เป็นรุ่นน้องควรไปเยี่ยมเสด็จอาสินะ"อู๋ต้าปั้นโค้งคำนับแล
องค์หญิงใหญ่กัดฟันแน่นและพูดสามคำออกมาว่า "ซ่งซีซี"ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ สนมฮุ่ยไทเฟยก็ก้มหน้าลงอีก และสายตาของนางก็เริ่มเหม่อลอยนางได้ส่งคนไปติดตามซ่งซีซี เพื่อดูว่านางได้ไปที่จวนองค์หญิงใหญ่หรือไม่ แต่ยังไม่ทันคนของนางกลับมารายงานเลย องค์หญิงใหญ่เข้าวังก่อนแล้ว ยังเรียกนางมาด้วยเมื่อเห็นท่าทีขององค์หญิงใหญ่ สนมฮุ่ยไทเฟยไม่จำเป็นต้องฟังคำรายงาน ก็สามารถมั่นใจได้ว่าซ่งซีซีไปที่จวนองค์หญิงแล้ว และยังพูดคำรุนแรงกับองค์หญิงใหญ่ แต่น่าจะเป็นคำพูดที่ทำให้ตนเองสะใจแน่ๆไม่รู้ว่าได้พูดอะไรไปบ้าง? สามารถทำให้ยายแก่ปากร้ายนี้โกรธมากเช่นนี้ ไม่เคยเห็นนาง เข้าวังเพื่อตามหาฮ่องเต้ออกหน้าแทนนางมาก่อนเลยไทเฮาขมวดคิ้ว "ซ่งซีซี นางเป็นอะไร เหตุใดต้องให้ฮ่องเต้ออกคำสั่งไปลงโทษนาง?"องค์หญิงใหญ่พูดด้วยความโกรธว่า "นางบุกรุกเข้าจวนของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตเลย ยังพูดจาหยาบคายกับข้า"ไทเฮาเป็นคนเข้าข้างซ่งซีซีมากที่สุดแล้ว และนางก็ไม่ถูกคอกับองค์หญิงใหญ่ นางกล่าวว่า "นางบุกรุกเข้าไปจวนของเจ้า เจ้าก็สั่งให้คนไล่นางออกก็ได้แล้วนี่ ส่วนนางพูดจาหยาบคาย นางหยาบคายยังไง เจ้าว่ามาให้ฟังหน่อยสิ"องค์หญิ
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้นวดมือเบาๆ ก่อนพูดว่า "เสด็จอาใจเย็นๆ ก่อนที่นางบุกเข้าไปในจวนองค์หญิงและด่าทอท่านมันไม่เหมาะจริงๆ และเสียบุคลิกที่เป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ของตระกูลชั้นสูง นางได้ด่าทอท่านยังไง มีใครเป็นพยานได้หรือไม่ ท่านบอกกับข้า ข้าจะคืนยุติธรรมกับท่านแน่นอน ส่วนเรื่องที่นางใส่ร้ายท่านมอบอนุสรณ์พรหมจรรย์ให้นั้น ข้าจะสั่งให้สำนักเขตจิงจ้าวไปตรวจสอบ หากสืบเจอว่ามันเป็นเรื่องโกหกเพื่อใส่ร้ายท่าน ข้าจะลงโทษนางในรวดเดียวเลย""พยานเหรอ? มีมากมาย ทุกคนในจวนขององค์หญิงก็สามารถเป็นพยานได้ ว่านางบุกเข้ามาและองครักษ์ก็ไม่สามารถหยุดนางได้ ส่วนที่เรื่องที่นางด่าทอข้า คนในจวนขององค์หญิงก็ได้ยินเช่นกัน"นางหยุดชะงัก "สำหรับให้สำนักเขตจิงจ้าวไปตรวจสอบเรื่องอนุสรณ์พรหมจรรย์นั้น ไม่จำเป็นจริงๆ จะเสียแรงไปตรวจอย่างนั้น เดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่เข้าไปอีก ประชาชนต่างก็โง่ พอเห็นสำนักของรัฐไปตรวจสอบก็คิดว่าเป็นเรื่องจริง ถึงสุดท้ายพิสูจน์ได้ว่าข้าไม่ได้ทำ แต่ก็ยากที่จะชี้แจงได้"ไทเฮาถามอย่างหงุดหงิดมากทีเดียว "ตกลงว่านางด่าทอเจ้าอะไรบ้าง เจ้าพูดมาสิ"องค์หญิงใหญ่ทำหน้าบูดบึ้ง "ไม่สำคัญว่านางได้ด
เมื่อเห็นสีหน้าขององค์หญิงใหญ่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง และจากสีแดงเป็นซีดเผือด สนมฮุ่ยไทเฟยรู้สึกสะใจอย่างยิ่ง ในที่สุดก็ถึงเวลาที่นางโดนเอาเปรียบแต่กลับหาคนช่วยไม่ได้แม้ว่าสนมฮุ่ยไทเฟยจะไม่เข้าใจว่าทำไมเอาผิดซ่งซีซีด้วยเหตุผลนี้ ข้อกล่าวหาเรื่องการไม่เคารพราชวงศ์ก็ไม่ใช่ผิดเบาๆแต่องค์หญิงใหญ่กลับเงียบลงไป เห็นได้ชัดว่านางไม่สามารถลงโทษนางด้วยข้อกล่าวหานี้ได้ต้นสายปลายเหตุในเรื่องนี้ ต้องหาเวลาไปถามพี่สาวอีกทีนางถึงเข้าใจ แต่ก็ไม่ส่งผลทำให้นางชื่นชมสีหน้าเขียวคล้ำถมึงทึงขององค์หญิงใหญ่ในตอนนี้ในที่สุดองค์หญิงใหญ่ก็จากไปด้วยความโกรธ แต่การเข้าพระราชวังครั้งนี้ทำให้นางเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเหตุผลที่ซ่งซีซีกล้าบังอาจเช่นนั้น เป็นเพราะมีไทเฮาและฮ่องเต้เป็นที่พึ่งให้ มิใช่แค่เซี่ยหลูโม่คนเดียวไม่น่าแปลกใจเลยที่นางกำเริบเสิบสานหลังจากที่องค์หญิงใหญ่เสด็จจากไป ฮ่องเต้ก็จับหน้าผากของเขาแล้วถอนหายใจเบาๆ "ดูเหมือนว่าเหตุการณ์อนุสรณ์พรหมจรรย์จะเป็นเรื่องจริง เสด็จอาทำมากเกินไปแล้วจริงๆ"ไทเฮาทำหน้าบูดบึ้ง "ขนาดข้าก็อยากตบนาง ทั้งหยิ่ง โง่เขลา เลวทรามและเห็นแก่ตัว นางทำให้ราชวงศ์เส
ทำไมไทเฮาถึงไม่รู้ว่าน้องสาวของตนเองคิดอะไรอยู่? ดังนั้นเวลานี้แค่เตือนสักหน่อย "อีกสักพักเจ้าจะไปที่จวนอ๋อง เพื่ออาศัยอยู่กับโม่เอ๋อแล้ว หากเจ้าไม่เข้าใจเรื่องต่างๆ ในจวน ก็อย่ายึดอำนาจมาดูแล หลังซีซีแต่งเข้าจวนอ๋องนางจะจัดการ…""พี่สาว ที่พี่พูดนั้นใช้ไม่ได้นะ" สนมฮุ่ยไทเฟยขัดจังหวะไทเฮา และพูดอย่างจริงจังที่ปกติไม่ค่อยทำเช่นนี้ "มีที่ไหนลูกสะใภ้เพิ่งแต่งเข้ามาก็ให้ดูแลบ้าน ข้าไม่ไว้ใจนาง พวกเราเป็นพี่น้องกัน ข้าไม่กลัวที่จะพูดตรงๆ ออกมา ข้าไม่ชอบนาง และข้าไม่อยากให้นางเป็นสะใภ้ของข้า ยิ่งไม่ต้องการให้นางมาดูแลเรื่องของจวนอ๋องเลย""โอ้? งั้นเจ้าจะดูแลเองหรือ?" ไทเฮาเลิกคิ้ว "ก็ได้นี่ เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ ข้าจะให้หวงโฮ่วมอบสิทธิ์ให้เจ้ามาร่วมจัดการวังหลังและปล่อยให้นางได้พักผ่อนบ้าง เจ้าลองดูแลสักสองสามวันดูก่อน""หาใช่ว่าน้องไม่ใช่ไม่เคยดูแลเรื่องในวังเลย หวงโฮ่วเป็นผู้ดูแลฝ่ายใน ข้าก็เคยช่วยไปไม่น้อย นอกจากนี้ ตอนที่พี่ดูแลเรื่องวังหลัง น้อยไม่ได้ช่วยอะไรหรือ?""ก็ช่วยแล้วแหละ ช่วยสร้างปัญหาให้ไง" ไทเฮาพูดอย่างไม่ไว้หน้าให้นาง "ท่านพ่อท่านแม่เอาแต่ตามใจเจ้า หลังจากที่เจ้าเข้าวัง
เรื่องนี้ทำโดยองค์หญิงใหญ่จริงๆ ในเมื่อไม่สามารถให้ฮ่องเต้ลงโทษซ่งซีซีด้วยข้อกล่าวหาว่าไม่เคารพราชวงศ์ได้ งั้นนางจึงควรสอนบทเรียนให้ซ่งซีซีในแบบของนางเองชาวเมืองในเมืองหลวงต่างก็ชื่นชมว่า นางเป็นคนมีกตัญญูไม่ใช่เหรอ? งั้นก็มาดูกันว่าลูกสาวออกเรือนในช่วงเวลาที่ไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อของนาง จะโดนประชาชนด่าหรือไม่ป้าหลู่ ผู้ดูแลจวนองค์หญิงเดินเข้าไปอย่างมีความสุขและรายงานว่า "องค์หญิง ท่านหญิง ตอนนี้ข่าวแพร่สะพัดไปข้างนอกหมดแล้ว โรงน้ำชาและร้านอาหารต่างพูดคุยเรื่องนี้ และเกือบเป็นคำด่าทอล้วนๆ""เกือบเหรอ ไม่ใช่ทั้งหมดหรือ?" ท่านหญิงเจียอี้ขมวดคิ้ว "มีผู้คนออกหน้าช่วยพูดให้นางด้วยหรือ?"ป้าหลู่พูดว่า "ท่านหญิง มีบางคนที่ไม่ได้เรื่องได้ช่วยพูดให้นาง โดยบอกว่าตอนที่นางออกเรือน เวลาผ่านไปยี่สิบสี่เดือนแล้วนับตั้งแต่ท่านพ่อของนางเสียชีวิต"เมื่อบิดาเสียชีวิตหรือมารดาเสียชีวิต บุตรควรไว้ทุกข์เป็นเวลาสามปี ทว่าสามปีถือเป็นปีเท็จ แต่แท้จริงแล้วจะไว้ทุกข์ให้ยี่สิบสี่เดือนเต็มก็พอท่านหญิงเจียอี้ตรัสว่า "สามัญชนผู้ใดบ้างที่จะจำวันออกเรือนของนางได้เล่า อาจเป็นคนจากจวนเสนาบดีกั๋วกงของนางเพื่อมาทำใ
องค์หญิงใหญ่ยิ้มช้าๆ ใช่สิ ถึงเวลาไปหาบ่อเงินบ่อทองนี่เพื่อขอเงินแล้วสนมฮุ่ยไทเฟยจามอย่างรุนแรงในตำหนักฉางชุน เมื่อถึงตอนเที่ยง นางกำลังเตรียมตัวจะงีบหลับสักหน่อย กลับได้ได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่และท่านหญิงเจียอี้มาขอพบแม่นมเกาขมวดคิ้ว พวกสองแม่ลูกนั้นมาพร้อมกัน ก็คงเดาออกว่ามาเพื่ออะไรไม่กี่ปีที่ที่แล้ว ท่านหญิงเจียอี้และพระสนมเต๋อกุ้ยไทเฟยได้ร่วมมือเปิดร้านขายเครื่องสำอาง และทำเงินได้มาหน่อยนึงสนมฮุ่ยไทเฟย ผู้ไม่ยอมแพ้ทุกเรื่องนั้น เมื่อได้ยินว่าพวกนางทำเงินได้ และอยากเปิดร้านเช่นกัน แต่นางไม่ต้องการเปิดร้านร่วมกับท่านหญิงเจียอี้ ต้องการร่มมือกับหลานของครอบครัวท่านพ่อแม่ตนเองมากกว่าทว่าท่านหญิงเจียอี้มาหานางถึงบ้าน โดยบอกว่ามีสูตรลับเฉพาะ และเรื่องสำอางที่นางทำออกมานั้นไม่ต้อยกว่าในวังแม้แต่น้อย อยากให้สนมฮุ่ยไทเฟยออกทุมสามพันตำลึง และทั้งสองคนก็ทำงานร่วมกันเพื่อเปิดร้านขายเครื่องสำอางสนมฮุ่ยไทเฟยย่อมไม่ไว้วางใจท่านหญิงเจียอี้ได้ ดังนั้นองค์หญิงใหญ่จึงออกหน้า และนางพูดประชดประชนสนมฮุ่ยไทเฟยยกใหญ่ โดยบอกว่าก็แค่เป็นห่วงเจียอี้มาหลอกให้นางออกเงิน ไม่ไว้ใจสองแม่ลูกพวกนางพวกนั้น
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา