ห้าวันต่อมา ถึงหลิงโจวหลังเที่ยงวันพอดีแม้ว่าระหว่างทางซ่งซีซีได้เข้าพักโรงเตี้ยม แต่นางก็กินอาหารไม่ลง และไม่กล้าดื่มน้ำเยอะไป เพราะกลัวว่าการทำธุระส่วนตัวจะเสียเวลาเพียงห้าวัน นางก็ผอมลงได้มากตามที่อยู่ที่จางต้าจ้วงให้ไว้ นางจูงม้าในขณะถามทาง และพบเลขที่ 13 ถนนชิงหลี่นี่คือทรัพย์สินที่นายอำเภอแห่งหลิงโจวซื้อไว้ จางต้าจ้วงบอกว่า ท่านอ๋องและเด็กๆ อาศัยอยู่ที่นี่ซ่งซีซียืนอยู่นอกประตูด้วยริมฝีปากแห้ง บ้านตั้งอยู่ในตรอกซึ่งค่อนข้างกว้างขวางมีคนนึงเฝ้าประตูอยู่ ดูจากเสื้อผ้าแล้วน่าจะเป็นผู้คนทำงานให้สำนักรัฐ น่าจะเป็นเซี่ยหลูโม่ยืมเจ้าหน้าที่จากสำนักรัฐมาเฝ้าประตูให้เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งจูงม้าหยุดอยู่ แต่ไม่กล้าเคาะประตูนั้น เขาจึงถามอย่างหยั่งเชิงว่า "ใช่คุณหนูซ่งหรือเปล่า"ซ่งซีซีพยักหน้า ไม่สามารถส่งเสียงจากปากได้ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างปิดคอและหน้าอกของนางไว้เมื่อเห็นนางพยักหน้า เจ้าหน้าที่ก็เคาะประตูแล้วพูดว่า "ท่านขอรับ คุณหนูซ่งถึงแล้วขอรับ"หลังจากนั้นไม่นาน ประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน และเป็นเซี่ยหลูโม่ที่สวมเสื้อผ้าสีเขียวแต่ดูซีดเซียวเล็กน้อยเห็นไ
นางแย่งเด็กจากอ้อมแขนของเซี่ยหลูโม่ และกอดเขาไว้แน่นในอ้อมแขนของตนเองเด็กคนนั้นไม่มีกล้ามเนื้อบนตัว มีเพียงกระดูก และผอมเพรียวอย่างน่าสมเพชมีกลิ่นเหม็นออกมาจากร่างกายของเขา และผมของเขาติดเป็นชิ้นๆ เขาไม่รู้ว่ามันเป็นกลิ่นคาวเลือด น้ำมันผม หรืออะไรที่เน่าแล้วแต่ซ่งซีซีกอดเขาแบบนี้ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดในโลกปล่อยให้น้ำตาไหลอาบหน้านงอย่างไม่หยุดเด็กไม่ได้ดิ้นรน เขาถูกซ่งซีซีกอดไว้เหมือนไก่ตัวน้อย น้ำตาไหลอาบหน้าสกปรกของเขา และเป็นเครื่องหมายสีเหลืองสองเส้นความดุร้ายที่เขามีต่อเซี่ยหลูโม่นั้นหายไป เขาเป็นเหมือนของเล่น ที่อยู่นิ่งเฉย แม้ว่าเขากำลังหลั่งน้ำตา แต่ดวงตาของเขากลับเหมือนแข็งตัวไปเซี่ยหลูโม่เห็นดังนั้น หัวใจที่อยู่กระวนกระวายเป็นเวลานานนั้นก็อยู่นิ่งสักที คือสายเลือดของตระกูลซ่งตระกูลซ่งยังทิ้งสายเลือดไว้อยู่ เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าเด็กคนนี้หนีไปได้อย่างไรในตอนนั้น และเขามาอยู่ในมือของผู้ค้ามนุษย์เหล่านั้นได้อย่างไรหลังจากหลบหนีไปช่วงเวลานี้เขาอยู่ข้างรุ่ยเอ๋อร์ตลอก แต่เขาไม่ได้รู้ข้อมูลใดๆ จากเขาแม้แต่น้อย เขาถูกวางยาพิษจนเป็นใบ้ และเขาจะไม่ยอมให้คนอื่นเข้าใกล
รุ่ยเอ๋อร์นอนจนถึงเที่ยงคืนถึงตื่นขึ้นอย่างเต็มตัว ระหว่างนั้นเขาตื่นขึ้นมาหลายครั้ง แต่ก็อยู่ในสภาพฟื้นไม่เต็มที่อยูา เมื่อเห็นท่าอาอยู่ เขาก็ค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้งในตอนกลางคืน แสงไฟสว่างจ้า ในขณะที่เขาหลับอยู่ ซ่งซีซีได้ล้างหน้าให้เขาด้วยน้ำอุ่นแล้ว ใบหน้าเล็กๆ ของเขาดูเหมือนพี่รองไม่มีผิดเลย เพียงแต่เขาผอมเกินไปเขาตื่นขึ้นมาและร้องไห้อีกครั้ง แต่ในขณะร้องไห้เขาก็ยิ้มให้ท่านอาด้วย ลักยิ้มของเขาดูลึกลงไปอีกเนื่องจากเขาผอมลงซ่งซีซีพาเขาไปอาบน้ำ และเด็กน้อยก็แช่ตัวอยู่ในอ่าง ซ่งซีซีช่วยเขาสระผม สระผมช้าๆ ทาน้ำมันหอมหมื่นลี้กับผมเหนียวแล้วล้างออกหลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็สวมเสื้อผ้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่ตามรูปร่างของเด็กวัยเจ็ดขวบ แต่เสื้อผ้ามันใหญ่เกินไปนิดหน่อยแต่ถึงยังไงก็ดูเป็นเด็กที่สะอาดเรียบร้อยดีที่ห้องครัวได้ทำกับข้าวไว้ ดวงตาของเขาก็สว่างเป็นประกาย เขาหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งยัดเข้าปากโดยไม่รู้ตัว หลังจากยัดเข้าไปแล้วเขาก็รีบซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะนี่คือการกระทำในจิตใต้สำนึกของเขา หลังจากซ่อนตัวแล้ว เขาก็สงบลงและค่อยๆ นั่งกลับมาบนเก้าอี้ มองท่านอาของเขาทั้งน้ำตาซ่งซีซีเบือนหน้าออกไ
ตัวอักษรที่บิดเบี้ยวนั้น อ่านอยู่ตั้งนานถึงจะอ่านออกสักทีซ่งซีซีลืมดวงตาที่ทั้งแดงและบวมของนางขึ้น น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาอีกครั้ง สามคำนี้ราวกับมีดแทงทะลุหัวใจของนาง ทำให้ร่างกายของนางขดตัวด้วยความเจ็บปวดเมื่อกี่วันก่อนที่ครอบครัวของนางจะถูกสังหารนั้น นางก็เคยกลับไปบ้านพ่อแม่ของนาง และหารือกับท่านแม่เกี่ยวกับสงครามที่ชายแดนเฉิงหลิงท่านแม่เป็นห่วงท่านตามาก โดยกลัวว่าเขาจะเป็นเหมือนท่านพ่อและพี่ชายของนาง หลังจากที่นางปลอบท่านแม่สักพักใหญ่ ก็จากไปด้สนความกังวลใจ นางก็เป็นห่วงท่านตาด้วย แต่ห่วงท่านแม่มากกว่านางพบกับรุ่ยเอ๋อร์อยู่นอกเรือนของท่านแม่ รุ่ยเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นแล้วถามท่านอาว่าอารมณ์เสียหรือเปล่า นางยังลูบผมของเขาด้วยรอยยิ้ม "อาอารมณ์เสียนิดหน่อย แต่อีกเดี๋ยวก็จะดีขึ้นเอง รุ่ยเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล"ตอนนั้นนางยังมีเรื่องกลุ้มใจเก็บไว้ในใจ เลยตอบไปอย่างขอไปทีบางทีรุ่ยเอ๋อร์อาจรู้สึกว่านางไม่สบอารมณ์ เลยคิดที่จะไปซื้อของหวานเพื่อกล่อมนางในช่วงเวลากว่าหนึ่งปีที่นางอยู่บ้านรอออกเรือนหลังจากกลับจากภูเขาเหม่ยชาน นางเล่นกับเด็กๆ เกือบทุกวัน เพื่อกล่อมให้พวกเขามีความสุข และพยายามขจั
หลังจากที่เขาเขียนแค่นี้เสร็จ เขาก็เหนื่อยมากจนไม่ไหวแล้วซ่งซีซีให้เขาไปพักผ่อน เมื่อเห็นเขาหลับไป ซ่งซีซีก็ไม่อยากจะจากไปนางกลัวว่าหากตนเองอยู่ห่างจากรุ่ยเอ๋อร์แม้แต่ครึ่งก้าว ทุกสิ่งที่อยู่ข้างหน้านางจะพังทลายลงราวกับความฝัน และเมื่อนางกลับสู่ความเป็นจริง จะไม่มีรุ่ยเอ๋อร์แล้วนางรู้สึกทุกข์ใจมากที่เด็กคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานมากมาย และการเห็นเขาเดินกะโผลกกะเผลกก็เหมือนกับเข็มเหล็กแทงทะลุหัวใจของนางทีละเข็มเซี่ยหลูโม่กำลังเตรียมการที่จะกลับไปยังเมืองหลวง อาการของรุ่ยเอ๋อร์ยังคงต้องได้รับการรักษาโดยหมอมหัศจรรย์ดันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยไม่สามารถชักช้าได้เด็กอายุเจ็ดขวบสูงพอๆ กับเด็กอายุห้าขวบ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สูงขึ้นเลยในช่วงสองปีที่ผ่านมาตั้งแต่เขาจากไป ไม่รู้ว่าเขาได้กินยาพิษชนิดใดอีก หากไม่ตรวจสอบให้ชัดเจน มักจะไม่สบายใจเซี่ยหลูโม่ยังให้นายอำเภอหลิงโจวส่งจดหมายด่วนถึงฮ่องเต้ในนามของเขา เพื่ออธิบายสถานการณ์อย่างชัดเจนตระกูลซ่งมีเลือดเนื้อเหลือไว้อยู่ เชื่อว่าทั้งฮ่องเต้และเขุนนางต่างในราชสำนักล้วนจะมีความสุขมากส่วนตระกูลขง เด็กคนนี้ก็เป็นผู้ช่วยให้รอดแก่ตระก
หลังจากที่รุ่ยเอ๋อร์หลับไป นางก็ไปหาเซี่ยหลูโม่ และแสดงกระดาษที่เขียนโดยรุ่ยเอ๋อร์ให้เขาดูหลังจากอ่านดูแล้ว เซี่ยหลูโม่ก็รู้สึกในใจซับซ้อนมาก เขาดูเหมือนกับพวกผู้ค้ามนุษย์ที่ทำร้ายเขามากหรือ?อาจกระมัง หลังจากที่จมอยู่ในสนามรบมานานหลายปี เขาก็มีรัศมีแห่งความเย็นชาอย่างหนักถอนหายใจช้าๆ "ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ ข้าจะพยายามทำตัวให้ดูอ่อนโยนหน่อย และยิ้มกับเขาให้มากๆ"เด็กต้องการการรักษาทั้งทางร่างกายและจิตใจด้วย"ตลอดทางนี้ ลำบากท่านแล้ว ขอบคุณเจ้าคะ" ความซาบซึ้งที่ซ่งซีซีมีต่อเซี่ยหลูโม่ ไม่สามารถสรุปได้เพียงประโยคเดียวเท่านั้นแต่มีเรื่องหนึ่งที่นางควรบอกเขาอย่างชัดเจนนางดึงปิ่นปักผมออก แล้วยกไส้ตะเกียงขึ้น เปลวไฟริบหรี่และห้องก็สว่างขึ้น ส่องแสงถึงแก้มบางๆ และริมฝีปากซีดของนางนางพูดช้าๆ "อาการของรุ่ยเอ๋อร์ จะห่างจากข้าไม่ได้อย่างน้อยสองสามปี หากการแต่งงานของเรายังคงดำเนินการต่อ ข้าคงต้องนำเขาให้ติดตามข้าแต่งเข้าจวนอ๋อง ข้าไม่สามารถทิ้งเขาไว้ตามลำพังในจวนเสนาบดีกั๋วกง"ใบหน้าหล่อเหลาของเซี่ยหลูโม่มีสีหน้าสงบนิ่ง และดวงตาสีเข้มของเขาเปล่งประกายด้วยแสงสว่าง "การแต่งงานของเราจะดำเน
ในที่สุด ในคืนนั้นที่จะพักที่โรงเตี้ยม หลังจากที่เซี่ยหลูโม่เอื้อมมือออกไปเพื่อช่วยพยุงซ่งซีซีลงจากรถม้ารุ่ยเอ๋อร์ก็รวบรวมความกล้าที่จะลงออกจากรถม้า จากนั้นยืนอยู่ระหว่างคนทั้งสองด้วยร่างกายที่สั่นเทาของเขา เขาอ้าแขนออกไปเพื่อปกป้องท่านอาอยู่ด้านหลัง เขาจ้องมองเซี่ยหลูโม่ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเขากลัวมากจนขาที่ผอมแห้งราวกับแท่งไม้ของเขายังคงสั่น ริมฝีปากของเขาก็สั่นเทาเช่นกัน จากนั้นก็ส่งเสียงครวญครางเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมองหน้ากันด้วยความตกใจ เกิดอะไรขึ้น? ไม่เพียงแต่ไม่ได้ผล จะเกิดผลข้างเคียงอย่างนั้นหรือ?"อ๊า!"ซ่งซีซีตบศีษะตนเองเบาๆ และตระหนักถึงเหตุผล รุ่ยเอ๋อร์ไม่รู้ว่านางไม่ใช่ฮูหยินของจ้านเป่ยว่างอีกแล้ว ยิ่งไม่รู้ว่านางกำลังจะแต่งงานกับเซี่ยหลูโม่คืนนั้น อาหลานสองคนคุยกันตั้งนานเลยไม่สามารถปฏิบัติกับรุ่ยเอ๋อร์เหมือนเป็นเด็กน้อยได้อีกต่อไป เขาขอทานในตลาดต่างๆ มาสองปีแล้ว เรื่องต่างๆ แค่บอกกับเขา เขาก็จะเข้าใจอีกอย่างเขารู้เกี่ยวกับครอบครัวที่ถูกสังหารจากชาวบ้านชาวเมืองที่พูดคุยกัน ส่วนรายละเอียดจะเป็นยังไงเขายังไม่รู้เขาอายุเจ็ดขวบแล้ว เรื่องบางเรื่องเขาต้องรู้
วันรุ่งขึ้น คนขับรถเซี่ยหลูโม่รู้สึกสดชื่นแต่รอยคล้ำใต้ตาของเขาดำมากทีเดียวซ่งซีซีประหลาดใจมากว่าเขาทำได้ยังไง ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าเขานอนหลับไม่ดีแต่กลับมีชีวิตชีวาเช่นนี้ยกเว้นรอยคล้ำใต้ตาของเขาแล้ว ใบหน้าและดวงตาของเขาเป็นประกายจริงๆหลังจากพูดคุยกับรุ่ยเอ๋อร์เมื่อคืน รุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่ได้กลัวและระแวดระวังกับเซี่ยหลูโม่มากขนาดนั้นอีก บางครั้งเขายังเปิดม่านเพื่อแอบมองที่แผนหลังของเขาด้วยเขาเป็นคนอย่างกับท่านปู่ของเขางั้นเหรอ? งั้นเขาก็จะเป็นผู้ที่สุดยอดมาก เขาแค่ฆ่าศัตรูเท่านั้น ไม่ทำร้ายประชาชนดังนั้นไม่ต้องกลัวเขาเลยรุ่ยเอ๋อร์บอกกับตัวเองในใจเช่นนี้ตลอด บอกว่าตลอดทาง จากนั้น ในสายตาของเขา เซี่ยหลูโม่ก็กลายเป็นคนที่เหมือนกับท่านปู่และท่านพ่อของเขาเข้า ยิ่งไปกว่านั้น เขาจะเป็นอาเขยของตนเอง และเป็นญาติสนิทของเขาในอนาคตเมื่อมาถึงอำเภอเย่ รุ่ยเอ๋อร์ได้ริเริ่มทำท่าด้วยมือให้กับเซี่ยหลูโม่ แล้ว และยังกล้าให้เซี่ยหลูโม่จับมือของเขาเพื่อซื้อขนมอบอีกด้วยซ่งซีซีรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นสภาพเช่นนี้ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่แค่นั้น รุ่ยเอ๋อร์ดูเหมือนจะเชื่อใจท่านอ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง