Share

บทที่3 หวนนึกถึงอดีต

Penulis: Midzilee01
last update Terakhir Diperbarui: 2025-11-06 20:25:03

อวี้หลิงหรงนั่งนิ่งอยู่บนตั่งไม้ริมหน้าต่างของห้องนอน สายลมเย็นยะเยือกยามค่ำคืนพัดผ่านหน้าต่างที่เปิดกว้าง ปะทะผิวกายขาวซีดของนาง ผมยาวดำขลับปลิวไหวตามแรงลม 

ดวงตาคู่งามฉายแววเหม่อลอยทอดมองออกไปไกลสุดสายตา ท่ามกลางเงาจันทร์ที่ทอดผ่านหน้าต่าง เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่ปราศจากอารมณ์ใด ๆ

ความเงียบในยามราตรีพาให้ความทรงจำของชาติภพที่สองย้อนกลับมา

ในชาตินั้น นางถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะ องค์หญิงเรเวน่า ออเรเลียส พระธิดาแห่งราชวงศ์ออเรเลียส 

ราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นราชวงศ์ที่สืบทอดพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งแสง สายเลือดของออเรเลียสทุกพระองค์ล้วนมีผมสีบลอนด์ดุจแสงอาทิตย์และดวงตาสีอำพันส่องประกาย

แต่ไม่ใช่สำหรับนาง..

เรเวน่า ออเรเลียส ลืมตาขึ้นมาบนโลกนี้พร้อมกับดวงตาสีอำพันที่เจือความขุ่นมัว ผิดแผกไปจากเหล่าพี่น้องที่งดงามราวประดับด้วยทองคำ เส้นผมของนางเป็นสีดำสนิท มีเพียงเส้นริ้วสีทองประปรายและจางจนแทบมองไม่เห็น

 พระสนมฟิโอน่าเคยมองดูนางเพียงครั้งเดียวด้วยสีพระพักตร์เต็มไปด้วยความผิดหวังและรังเกียจ นับแต่นั้นมาพระนางก็ไม่เคยอุ้มองค์หญิงน้อยอีกเลย 

ทุกคนต่างดูแคลนองค์หญิงน้อยว่าเป็นอีกาในฝูงหงส์ และที่มาของชื่อเรเวน่าก็มาจากคำว่า อีกาดำ ซึ่งชื่อนี้ ก็เป็นชื่อที่เสด็จแม่ผู้ให้กำเนิดของนางเป็นคนตั้งให้

ทว่าไม่นาน.. พระสนมฟิโอน่าก็ให้กำเนิดองค์ชายน้อยอีกหนึ่งพระองค์ พระมารดาที่เคยเย็นชากับนาง กลับโอบกอดและโปรดปรานโอรสองค์น้อยราวกับเขาเป็นดวงตะวันเพียงดวงเดียวของพระนาง

 ในขณะที่เรเวน่ากลับถูกลืมเลือนไปอย่างสมบูรณ์ ถูกทิ้งขว้างอยู่ในมุมอับของวัง 

ไร้ซึ่งความรักความสนใจจากผู้ใด..

ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น 

องค์หญิงเรเวน่าก็ไม่เคยเกลียดพระมารดา นางพยายามมองโลกในแง่ดี พยายามทำตัวเป็นลูกที่ดี และคิดอยู่เสมอว่าไม่มีพ่อแม่ที่ไหนไม่รักลูก

 นางตั้งใจเล่าเรียนอย่างหนักจนกระทั่ง ได้เป็นนักเรียนดีเด่นจากโรงเรียนอันดับหนึ่งของอาณาจักร แต่ดวงตาคู่นั้นของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ก็ไม่เคยมองมาที่นางสักที..

องค์หญิงเรเวน่าใช้ความพยายามทั้งชีวิตเพื่อร่ำเรียนทุกศาสตร์วิชา ทั้งดาบและธนู แม้ฝีมือจะเก่งกาจเพียงใดแต่ก็ไม่มีสักวันเลยที่พ่อและแม่จะลูบหัวชื่นชมนางอย่างอบอุ่น

แม้เดิมทีนางจะเป็นคนมองโลกในแง่ดีและเข้มแข็ง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบร้องไห้อยู่บ่อย ๆ

ความรักของครอบครัว เป็นสิ่งที่นางโหยหามาตลอด ทว่าสุดท้ายแล้ว ต่อให้นางจะพยายามมากเพียงใด สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงความเย็นชา 

ชาตินี้นางละทิ้งความรักระหว่างชายหญิง ไม่ยอมแต่งงานกับผู้ใดแม้จะมีคนมาสู่ขอก็ตาม

นางใช้ชีวิตเพียงเพื่อรอความรักจากพ่อและแม่เท่านั้น แต่ดูเหมือนว่ามันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน..

เสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นข้างกาย ทำให้อวี้หลิงหรงหลุดออกจากห้วงความคิดของตน นางค่อย ๆ หันกลับไปมองต้นเสียง พบว่าจื่อรั่วกำลังคุกเข่าอยู่กับพื้น ร่างเล็กสั่นสะท้านราวกับลูกนกกลางพายุ สองมือของนางกำชายกระโปรงแน่น น้ำตาเม็ดโตไหลลงอาบแก้มไม่ขาดสาย

"ฮึก..คุณหนูเจ้าคะ"

เจ้าของใบหน้างดงามขมวดคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาคมทอดมองสาวใช้คนสนิทด้วยความฉงนใจ 

"เจ้าเป็นอะไรไป?" นางเอ่ยถามเสียงเรียบ แต่น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความสงสัย

"บ่าวขอโทษ.. บ่าวขอโทษนะเจ้าคะ ฮือ.."

จื่อรั่วสะอื้นหนักกว่าเดิม จนคำพูดขาดเป็นห้วง ๆ มือเล็กทั้งสองยกขึ้นปิดใบหน้า ร่างบางแทบจะโน้มตัวลงไปกับพื้น ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรงจนมิอาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีก

อวี้หลิงหรงยังคงนิ่งเงียบ นางมองสาวใช้ที่นั่งอยู่กับพื้นอย่างไม่เข้าใจ สองมือเรียวยกขึ้นวางบนไหล่ของจื่อรั่ว

แม้แววตาคู่งามจะยังคงเย็นชา ทว่าปลายนิ้วยังคงเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลม

"ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังขอโทษด้วยเรื่องอะไร" 

สาวใช้ตัวน้อยเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเอื้อมมือไปกอดขาของผู้เป็นนายไว้แน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไป น้ำตาร้อน ๆ ยังคงไหลรินไม่ขาดสาย

"บ่าวขอโทษเจ้าค่ะ หากวันนั้นบ่าวไม่สอดมือไปช่วยท่าน.. ท่านคงไม่ต้องมาเจอกับเรื่องเช่นนี้" หญิงสาวที่ดูแล้วอายุน้อยกว่านาง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด 

อวี้หลิงหรงชะงักไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาคู่สวยพลันหม่นแสงลง จื่อรั่วคงหมายถึงวันที่ช่วยเจ้าของร่างนี้ลงมาจากบ่วงเชือกที่แขวนคอของนางเอาไว้สินะ.. ริมฝีปากของนางเม้มแน่น ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา

"เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดกับข้านักหรอก" นางกล่าวน้ำเสียงราบเรียบและเว้นระยะไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวประโยคถัดมาที่ทำให้จื่อรั่วเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาสั่นไหว

"ขนาดคนที่ทำให้ข้าตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ พวกเขายังไม่เห็นรู้สึกผิดเลย" 

อวี้หลิงหรงยกยิ้มบาง ๆ ราวกับกำลังเย้ยหยันทุกสิ่ง นางมิได้รู้สึกเสียใจหรือโกรธแค้นใครในโลกนี้ เพราะเรื่องทั้งหมดได้จบลงไปตั้งแต่วินาทีที่นางลืมตาขึ้นมาในร่างนี้แล้ว

อีกอย่าง.. ชีวิตของนางก็มีเรื่องที่เจ็บปวดมากพออยู่แล้ว นางไม่อยากแบกรับเรื่องราวของคนอื่น มาเพิ่มภาระให้หัวใจของตนเอง

เพราะอวี้หลิงหรงตัวจริง.. นางตายไปตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว นางหมดทุกข์หมดโศกไปแล้วล่ะ

..จะเหลือก็แต่ข้านี่แหละ

อันที่จริงนางเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนนั้นทุกข์ยากหรืออะไร การไปเป็นเชลยที่แคว้นใด หรือต่อให้อยู่ที่จวนแห่งนี้ต่อไปนั้นล้วนไม่ต่างกัน

เผลอ ๆ การไปอยู่ที่แคว้นฉินอาจจะดีกว่าอยู่ที่นี่ก็เป็นได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางไม่ขัดขืนและยอมไปแต่โดยดี

เพราะการซื้อใจคนแปลกหน้าล้วนง่ายกว่าซื้อใจคนมีอคติ นางไม่คิดที่จะทำตัวเป็นลูกหรือน้องสาวที่แสนดีของใคร และมิคิดให้คนในจวนนี้มารักใคร่สงสาร 

เพราะทุกอย่างล้วนแต่เปล่าประโยชน์

เจ้าของร่างนี้พยายามมานับยี่สิบปียังไม่สามารถทำให้คนที่นี่รักได้ แล้วเรื่องอะไรนางจะต้องพยายามต่อให้ไปเปลืองแรง

ความพยายามอยู่ที่ใด ความพยายามก็อยู่ที่เดิม ความพยายามมิได้มีค่าอะไร หากสิ่งที่พยายามไปนั้น ผิดที่ ผิดเวลา และ ผิดคน

อวี้หลิงหรง ข้าจะไม่ดูถูกความพยายามตลอดชีวิตของเจ้า เพราะตัวข้ารู้ดีว่าการไม่เป็นที่รักของใครนั้นรู้สึกเช่นไร ข้ากล้าพูดได้เต็มปาก ว่าข้าเข้าใจเจ้าดีที่สุด

อีกอย่าง.. การกระทำของบิดาเจ้าในวันนี้ ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ 

ส่วนตัวข้านั้นเห็นชัดแล้วว่าบิดาและพี่ชายของเจ้าเป็นคนเช่นไร การส่งตัวเจ้าสาวไปยังแคว้นฉินในคราวนี้ มิได้เป็นเพราะองค์ฮ่องเต้จับได้ชื่อของเจ้า

แต่เป็นเพราะเสนาบดีอวี้เฉิงพ่อของเจ้า เต็มใจที่จะขายเจ้าไปเป็นเชลยแทนบุตรสาวของตระกูลอื่น

บุรุษเช่นนี้สมควรเป็นพ่อคนหรือ? 

กระทั่งพ่อของหมาก็ยังมิคู่ควร!

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่64 นับอนันต์ (จบบริบูรณ์)

    หลังเหตุการณ์กบฏสิ้นสุดลง ชะตาชีวิตของหลายคนก็พลิกผัน แต่ชื่อของเว่ยลี่หลินกลับไม่ปรากฏอยู่ในบัญชีโทษของผู้ใด ด้วยเพราะนางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องราวทั้งสิ้น นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ถูกดึงเข้าสู่กระดานหมากใหญ่แห่งราชสำนัก โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือเลือกหนทางให้ตนเองราชโองการให้หย่าขาดจากอดีตองค์รัชทายาทฉินจื่อหยวนผู้ล่วงลับ ถูกประกาศออกมาในวันที่ฟ้าครึ้มฝน แม้นางจะรู้ว่าเรื่องนี้คงถูกนำไปนินทาอย่างสนุกปากจากบรรดาบุตรสาวขุนนาง แต่ถึงกระนั้น นางก็ยอมรับมันโดยสงบ แม้จะต้องทิ้งนามพระชายาที่เคยเป็นทั้งเกียรติและพันธนาการ แต่ก็แลกมาด้วยอิสรภาพที่นางโหยหามานานเว่ยลี่หลินกลับไปใช้สกุลเดิม “เว่ย” ตามเดิม บรรดาผู้คนในวังต่างนินทาว่านางคงตกต่ำลงแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางรู้สึกเบาใจขึ้นเพียงใด เมื่อไม่ต้องฝืนยิ้ม ไม่ต้องสวมหน้ากากให้ใครมองอีกต่อไปหลังจากนั้นไม่นาน นางก็เลือกที่จะหันหลังให้กับเมืองหลวงและออกเดินทางไปทั่วแว่นแคว้น โดยไม่มีรถม้าหรูหรา มีเพียงบ่าวรับใช้เก่าแก่สองคนและหีบเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ ที่บรรจุของใช้เท่าที่จำเป็นผู้คนถามว่าสตรีผู้เคยเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท จะไปที่ใด

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่63 บุคคลที่คู่ควรกับความรัก

    หลังจากเหตุการณ์อันเลวร้ายและความสูญเสียผ่านพ้นไป ฤดูร้อนก็เวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมสายลมอบอุ่นและแสงแดดอ่อนที่ราวกับช่วยลบล้างความขมขื่นในหัวใจอวี้หลิงหรงในวัยครรภ์แก่ใกล้คลอดเต็มที ค่อย ๆ ก้าวลงจากรถม้าโดยมีมือของฉินเฉินอวี้คอยประคอง ดวงตานางทอดมองวังหลวงที่คุ้นเคยอย่างเงียบงัน ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนบางให้พระสวามีของตนวันนี้เป็นวันมงคลของแผ่นดิน..วันแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นมารดาแห่งแผ่นดินก็คือพระสนมสวี่ซิงเหยียน พระมารดาขององค์ชายหกภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูง องค์ชาย องค์หญิง และเหล่าผู้มีบรรดาศักดิ์ต่างร่วมงานด้วยสีหน้าปีติยินดี เสียงพิณบรรเลงแผ่วเบาประกอบท่วงท่าแห่งพิธีอันสง่างามเมื่อพิธีเสร็จสิ้นลง องค์ฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนและฮองเฮาสวี่ซิงเหยียนจึงทรงเรียกองค์ชายหกและพระชายาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว“อวี้เอ๋อร์... ข้ากับมารดาของเจ้าต่างเห็นพ้องกัน ว่าเจ้าคือผู้เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งองค์รัชทายาท” เสียงของฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนดังขึ้นอย่างราบเรียบ ทว่าหนักแน่นและเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นฉินเฉินอวี้นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค้อมกายลงด้วยความเคารพ แล

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่62 บทสรุป

    เมื่อฉินจื่อหยวนตระหนักได้ว่าการดวลกับนางต่อไปมีแต่จะเสียเปรียบ เขาจึงหันสายตาไปยัง ฉินเฉินอวี้ที่ตอนนี้กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ในจังหวะที่กระบี่ของอวี้หลิงหรงฟาดสวนมาทางเขาอีกครั้ง ฉินจื่อหยวนก็เบี่ยงตัวหลบ แล้วเปลี่ยนทิศทางของดาบในมือ พุ่งออกไปทางฉินเฉินอวี้ แต่ก่อนที่ดาบนั้นจะเข้าถึงตัวของชายผู้ที่บาดเจ็บจนแทบยืนไม่ไหว สตรีในชุดดำก็รีบเร่งฝีเท้าพุ่งตัวเข้ามาขวางทางอย่างไม่ลังเล"ไม่!!!" อวี้หลิงหรงกรีดร้องสุดเสียง นางพุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าโดยไม่คิดชีวิต เพื่อที่จะสกัดกั้นคมดาบนั้นให้ได้ นางรู้ดีว่าตนไม่มีทางปัดป้องได้ทันเวลา และในครรภ์ของนางก็ยังมีชีวิตน้อย ๆ อยู่อีกหนึ่งคน ในชั่วพริบตาแห่งการตัดสินใจ นางปล่อยกระบี่ในมือลงกับพื้น ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับคมดาบด้วยตัวเอง!เสียงฉีกขาดของเนื้อดัง ฉัวะ! โลหิตสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นท่วมสองฝ่ามือ“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องของอวี้หลิงหรงดังก้องสะท้อนทั่วลาน ฉินเฉินอวี้เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก สิ่งที่เห็นมีเพียงแผ่นหลังบาง ๆ ของนางที่ยืนขวางเขาเอาไว้ชั่วขณะนั้น..เวลาราวกับหยุดหมุนดวงตาคู่งามสั่นไหวด้วยความปวดร้าว มือทั้งสองที่เปื้

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่61 การก่อกบฏ

    ค่ำคืนมืดครึ้มในวังหลวง ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆทมิฬ เสียงสายลมหวีดหวิวกรีดผ่านยอดหลังคาตำหนักฟังแล้วชวนขนหัวลุก หิมะยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องขณะที่แสงโคมไฟในวังริบหรี่ลงทุกขณะณ ตำหนักเฉียนชิงอันเป็นที่พำนักขององค์ฮ่องเต้ประตูไม้สลักลายมังกรปิดสนิท แผ่นหิมะเกาะขอบหลังคาเงียบงัน ใต้ผ้าห่มแพรแดงลายมังกรบนเตียงไม้แกะสลัก มีสองร่างนอนแนบชิดกันอย่างสงบนิ่ง ราวกับไม่รับรู้ถึงภัยเงาร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกขณะเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแทรกผ่านเสียงลม เงาร่างชุดดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตามเงาเสา เงียบเชียบราวกับเป็นเพียงเงาจันทร์สาดทาบพื้น พวกมันลอบเข้ามาจากทางระเบียงด้านข้าง ดาบในมือแต่ละเล่มยังเปื้อนเลือดสดจากทหารยามเฝ้าเวรหนึ่งในนั้นยกดาบขึ้นสูงเหนือร่างบนเตียง ก่อนจะแทงลงกลางอกด้วยแรงทั้งหมดโดยไร้ซึ่งความลังเลทว่าร่างที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นกับนิ่งเงียบไม่ไหวติง มือสังหารรีบกระชากผ้าห่มผืนใหญ่ออกอย่างรุนแรงภายใต้ผ้าห่ม ไม่ใช่ร่างของฮ่องเต้หรือพระสนมสวี่ แต่เป็นเพียงหมอนข้างที่ซ้อนกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มเท่านั้น“กับดัก..?” เสียงพร่าของมือสังหารเพิ่งหลุดออกจากริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะได้หันไป

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่60 การตัดสินใจ

    หลังจากการประชุมวานนี้ องค์ฮองเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักอวี้ฮวา ตามพระราชโองการของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าต้องรอการพิสูจน์ความบริสุทธิ์นาง ในขณะเดียวกัน นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮากลับถูกลากตัวไปยังคุกหลวง ถูกทรมานเพื่อหาความจริง นางกรีดร้องปานวิญญาณหลุดจากร่าง เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในห้องขังแคบ ๆ ส่วนทางด้านพระสนมสวี่ แม้นางจะเป็นสตรีที่ฮ่องเต้รักยิ่ง แต่ในยามนี้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิกลับเย็นชาดุจน้ำแข็งหลายวันมาแล้วที่พระสนมสวี่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจของนางเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ ยามคิดถึงบิดาที่กำลังถูกจองจำในคุกหลวง ด้วยใจระทมทุกข์ นางจึงรวบรวมความกล้าขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลขอพระราชทานอนุญาตให้ตนเข้าเยี่ยมบิดาแต่องค์จักรพรรดิก็หาได้เหลียวแลไม่ “ขอฝ่าบาทเมตตา..” พระนางคุกเข่าท่ามกลางลมหนาว หยดน้ำตาของพระสนมคล้ายหยาดพิรุณตกต้องใจใครบางคน แต่ก็ไม่อาจทะลุม่านเย็นชาของผู้เป็นกษัตริย์ได้หิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมา ท่ามกลางความเงียบงันของลานหน้าพระตำหนักเฉียนชิง สตรีผู้สูงศักดิ์ในชุดแพรบางสีครามยังคุกเข่าอยู่กับพื้น หยดน้ำตาไหลเงียบ ๆ ลงบนแก้มซีดเซียว“ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าน้อยมาทูลว่า

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่59 การประชุมที่ท้องพระโรง

    ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า บรรยากาศตึงเครียดจนแทบสัมผัสได้ เสนาบดีเจียงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ สีหน้าเคร่งขรึมแฝงไปด้วยความมั่นใจ เขากำลังกล่าวถ้อยคำฟังดูหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย“กระหม่อมเห็นว่า...การมีโรงกษาปณ์เถื่อนตั้งอยู่ในหมู่บ้านชิงหลินซึ่งอยู่ในเขตปกครองของสกุลสวี่ ย่อมบ่งชี้ถึงความพยายามในการสะสมกำลังและท้าทายราชอำนาจ เรื่องนี้ไม่อาจมองข้าม หากไม่สอบสวนให้ถึงที่สุด เกรงว่าความมั่นคงของแผ่นดินจะสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางหลายคนพากันพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่บางส่วนก็เหลือบมองกันไปมา ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างอำนาจของตระกูลสวี่และความแข็งแกร่งของกลุ่มเจียงระหว่างที่คำกล่าวหายังไม่สิ้นสุด เสียงฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งของขันทีคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น ฝ่าฝืนความเงียบที่กดดันเขาเข้าไปกระซิบอย่างเร่งร้อนกับกงกงคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมากระซิบรายงานเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นตัว“ฝ่าบาท..พระชายาขององค์ชายหก เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับหมู่บ้านชิงหลิน ที่ต้องทูลต่อหน้าพระพักตร์และเหล่าขุนนางทั้งหลาย”องค์ฮ่องเต้ชะงักเพียงเล็กน้อ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status