Share

บทที่5 ไร้ญาติขาดมิตร

Penulis: Midzilee01
last update Terakhir Diperbarui: 2025-11-06 20:25:58

อวี้หลิงหรงก้มลงกราบเบื้องหน้าภาพเหมือนของมารดา กลางห้องโถงที่เต็มไปด้วยภาพวาดของบรรพบุรุษสกุลอวี้ กลิ่นธูปหอมจาง ๆ ลอยคลุ้งในอากาศสร้างบรรยากาศเงียบสงัดและขรึมขลัง 

นางลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาคู่งามทอดมองภาพผู้ให้กำเนิดร่างกายนี้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะยันกายลุกขึ้นยืนแล้วย่างเท้าออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ 

เวลาสองเดือนในร่างนี้ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว และอีกเพียงสามวันนางก็ต้องออกเดินทางไปยังแคว้นฉินแล้ว ทว่าในขณะที่ก้าวผ่านธรณีประตู สายตากลับสะดุดเข้ากับร่างของสามพี่น้องสกุลอวี้ที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้า

ดวงตาของอวี้หลิงหรงว่างเปล่า นางไม่มีความจำเป็นต้องทักทายพวกเขา หรือต่อให้ทำเช่นนั้น ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างอะไรจากเดิม เพราะความทรงจำที่นางเห็น พวกเขาเพียงเมินเฉย หรือไม่ก็ส่งสายตาเย็นชาให้กับเจ้าของร่างนี้เท่านั้น

นางจึงเลือกที่จะเดินผ่านพวกเขาไปอย่างไม่ไยดี แต่เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น เสียงเรียกที่เต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดก็ดังขึ้น

"ช้าก่อน"

อวี้หลิงหรงชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะก้าวเดินต่อโดยไม่สนใจคำพูดของอวี้หยุน พี่ชายคนโตของนาง

"นี่! ข้าคุยด้วย เจ้าหูหนวกหรือไง!"

ครั้งนี้อวี้หยุนไม่เพียงแต่พูด เขายังเอื้อมมือหมายจะคว้าแขนนางเอาไว้ ทว่าก่อนที่ปลายนิ้วจะสัมผัสโดนนาง อวี้หลิงหรงกลับไหวตัวทันและเบี่ยงกายหลบได้อย่างง่ายดาย 

อวี้หยุนมองฝ่ามือของตนเองอย่างประหลาดใจ ทั้งที่นางไม่ได้หันกลับมามอง แต่กลับสามารถหลบสัมผัสของเขาได้ราวกับตาเห็น

"ท่านมีสิ่งใดจะพูดกับข้าหรือเจ้าคะ" อวี้หลิงหรงเอ่ยถามเสียงเรียบขณะหันกลับไปสบตากับอีกฝ่าย

อวี้หยุนจ้องนางเขม็ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจ "เจ้าถือตัวนักหรืออย่างไร คิดว่าอีกไม่กี่วันจะได้แต่งออกไปจากจวนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทักทายพวกข้าแล้วใช่หรือไม่"

อวี้หลิงหรงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหัวเราะในลำคออย่างเย้ยหยัน

"ข้าว่าพวกเราเลิกฝืนใจทักทายกันเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรเสีย อีกสามวันข้างหน้าพวกเราก็ไม่ต้องเกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว"

คำพูดของนางทำให้อวี้หยุนชะงักไป ดวงตาคู่นั้นฉายแววไม่เชื่อสายตาตัวเอง อวี้หลิงหรงที่เขารู้จัก.. คือเด็กน้อยที่เคยวิ่งตามหลังเขาต้อย ๆ และเรียกเขาว่าท่านพี่อย่างสนิทสนม ทว่าเวลานี้นางกลับกลายเป็นคนแปลกหน้าที่มองเขาด้วยสายตาเย็นชา

"หรงหรง อย่างไรเสียเจ้าก็ยังเป็นน้องพวกเราอยู่ดี เจ้าเพียงแค่แต่งงานเท่านั้น อย่าทำราวกับจะตัดขาดจากครอบครัวเลย"

อวี้เหวิน ที่เงียบมานานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ราวกับต้องการให้บรรยากาศอ่อนลง ทว่าคำพูดของเขากลับทำให้ความรู้สึกขุ่นเคืองในใจของอวี้หลิงหรงปะทุขึ้น

"ท่านแม่ที่อยู่บนสวรรค์ ได้ยินหรือไม่เจ้าคะ วันนี้ท่านพี่ทั้งสองเห็นข้าเป็นน้องสาวแล้วเจ้าค่ะ" เสียงของนางเย้ยหยัน กัดกร่อนหัวใจของผู้ฟัง คำว่า ‘พี่น้อง’ ที่ออกจากปากพวกเขา ทำให้นางรู้สึกขยะแขยะสิ้นดี

"อวี้หลิงหรง!! คนอย่างเจ้ามิคู่ควรเอ่ยถึงท่านแม่!" อวี้หยุนคำรามลั่น ดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะ เขาชักดาบคู่ใจออกมาจากฝัก ตวัดคมดาบชี้ตรงไปยังอวี้หลิงหรง สร้างความตกตะลึงให้กับบ่าวไพร่และผู้ที่พบเห็นในจวน

อวี้หลิงหรงมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาเย้ยหยัน นางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัว จากนั้น.. เพียงชั่วพริบตา นางก็เอื้อมมือออกไปคว้าคมดาบของเขา แล้วนำปลายดาบมาแนบไว้ที่ลำคอของตนเอง

โลหิตสีแดงสดไหลซึมจากบาดแผลบนมือและลำคอของนาง ถึงกระนั้นนางก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับถอยแม้แต่ก้าวเดียว

"ท่านเห็นหรือยังพี่รอง" นางเอ่ยพลางตวัดสายตามองอวี้เหวิน 

"คอของข้าผู้เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของเขา เขายังคิดจะตัด.. นับประสาอะไรกับสายเลือดที่เปราะบางเสียยิ่งกว่ากระดาษของพวกเราล่ะ"

ยามนี้มีเพียงความเงียบงันและความตึงเครียดแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ลมเย็นโชยผ่านระเบียงไม้เก่าแก่ ทำให้ผ้าม่านสีขาวที่แขวนอยู่สะบัดไหวเบา ๆ

เปลวเทียนที่จุดอยู่ภายในห้องส่องแสงวูบไหวไม่มั่นคง บ่าวไพร่ที่อยู่โดยรอบต่างถอยห่างออกไปจนสุดระยะ แผ่นหลังแนบชิดกับเสาไม้หรือกำแพงไม่มีใครกล้าขยับตัวแม้แต่น้อย

อวี้หยุนกำดาบไว้แน่น แต่ปลายคมดาบกลับสั่นไหวเล็กน้อย ดวงตาเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อลำคอขาวของอวี้หลิงหรงปรากฏรอยแผลที่มีโลหิตสีแดงสดไหลซึมออกมาอย่างเชื่องช้า ภาพตรงหน้าทำให้เขาเผลอกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

"อวี้หลิงหรง! เจ้าคิดจะทำอะไร!" เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธปะปนกับความสับสน ยามที่จ้องมองน้องสาวที่ยืนนิ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน แววตาเคยกราดเกรี้ยวของเขากลับฉายแววลังเลโดยไม่รู้ตัว

อวี้หลิงหรงกลับมิได้ใส่ใจสายตาของเหล่าพี่ชาย นางเพียงจับคมดาบที่กรีดผ่านผิวของตนไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน

"ท่านเกลียดข้านักมิใช่หรือ โอกาสของท่านมาถึงแล้ว.. ถ้าหากท่านมิกล้า ให้ข้าช่วยขยับให้ดีหรือไม่"

ทุกถ้อยคำของนางหนักแน่นและเย็นชา ราวกับเข็มที่ทิ่มแทงเข้าไปในจิตใจของผู้ฟัง ดวงตาสีดำขลับที่เคยมีแววสดใส บัดนี้กลับมืดมน ไร้ซึ่งแววแห่งชีวิต

อวี้หยุนกัดฟันแน่น เส้นเลือดปูดขึ้นตรงขมับ "เจ้ากล้าพูดเช่นนี้กับพี่ได้อย่างไร!"

อวี้หลิงหรงหัวเราะเบา ๆ แต่มิใช่เสียงหัวเราะที่อบอุ่น ทว่าเป็นเสียงที่บาดลึก 

"พี่ชาย? ข้าจำไม่เห็นได้ว่าเคยมี"

เสียงรอบด้านเงียบสงัดลง ไม่มีแม้แต่เสียงหายใจของผู้ใด มีเพียงเสียงใบไม้ที่ปลิดปลิวจากต้นหล่นลงสู่พื้นยังดังก้องอยู่ในความเงียบงัน

ทันใดนั้นเอง เสียงหวานของอวี้ซูเม่ยก็ดังขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด "พอได้แล้วพี่สาม เหตุใดท่านถึงชอบทำให้ผู้อื่นลำบากใจอยู่เรื่อย"

อวี้หลิงหรงหันไปมองหญิงสาวที่เอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยสายตาเย็นชา มือของนางยังคงกำแน่นที่คมดาบของอวี้หยุน แน่นเสียจนโลหิตไหลซึมลงมาตามร่องนิ้ว

นางปรายตามองอวี้ซูเม่ยอย่างเฉยชา ก่อนจะเหยียดยิ้มบางและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอือมระอา

"สตรีดัดจริตเช่นเจ้า.. ระวังเอาไว้เถิด สักวันจะต้องตายเพราะปาก"

อวี้ซูเม่ยเม้มปากแน่นนางรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังดูแคลนตน แต่ยังไม่ทันได้โต้ตอบ เสียงเรียบนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง

"เจ้าไม่จำเป็นต้องเสแสร้งให้เหนื่อย อย่างไรท่านพี่ของเจ้าก็เห็นเจ้าดีที่สุดในสามโลกอยู่แล้วมิใช่หรือ?"

คำพูดของอวี้หลิงหรงประหนึ่งน้ำเย็นสาดเข้าใส่ ทำให้อวี้ซูเม่ยตัวแข็งทื่อ นางกำชายกระโปรงแน่นจนยับยูยี่ สีหน้าที่เคยมั่นใจพลันสั่นไหว แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจของนางแทบหยุดเต้นก็คือคำพูดต่อมาของอวี้หลิงหรง

"อีกอย่างหนึ่งที่เจ้าลืมไป.. หากข้าต้องตายในวันนี้ คนที่ต้องไปเป็นเชลยที่แคว้นฉินในอีกสามวันข้างหน้าก็คือเจ้า"

สีหน้าของอวี้ซูเม่ยพลันซีดเผือดลงทันที ดวงตาสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น นางไม่อยากถูกส่งไปเป็นเชลยที่แคว้นฉิน! ริมฝีปากของนางสั่นระริก ทว่ากลับมิสามารถเปล่งเสียงใดออกมา

อวี้หลิงหรงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ดวงตาฉายแววสมเพชก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ

"ชีวิตข้าน่ะมันเหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้ว จะตายตอนนี้หรือตอนไหน ข้าก็มิได้ทุกข์ร้อนอะไร"

อวี้ซูเม่ยรู้สึกหนาวเยือกไปทั้งร่าง ความหวาดกลัวที่แท้จริงเพิ่งกัดกินหัวใจของนางในยามนี้ แม้ว่านางจะเกลียดชังอวี้หลิงหรงมากเพียงใด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางไม่อยากให้อวี้หลิงหรงตาย!

ขณะเดียวกันเสียงฝีเท้าหนักแน่นพลันดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม ดวงตาของเขาคมกริบราวกับคมมีด น้ำเสียงเย็นชาแต่เปี่ยมไปด้วยอำนาจกดดันมหาศาล

"พอได้แล้ว!"

เพียงคำพูดสั้น ๆ ที่เปล่งออกมา กลับทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดยิ่งทวีความหนักอึ้ง ราวกับอากาศโดยรอบถูกกดทับด้วยพลังอำนาจที่มิอาจมองข้าม บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่รอบด้านตัวสั่นระริก ไม่มีผู้ใดกล้าขยับแม้เพียงปลายเท้า

สายตาเยียบเย็นกวาดมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว และหยุดลงที่ร่างบอบบางของอวี้หลิงหรง 

นางหันมองบิดาของตนด้วยแววตาเรียบนิ่งไร้ซึ่งความหวาดกลัว มีเพียงความว่างเปล่าและความหนาวเหน็บที่ซ่อนอยู่ลึกภายใน นางคลายมือจากคมดาบอย่างเชื่องช้า 

คมโลหะเย็นเฉียบเคลื่อนออกจากผิวเนื้อของนาง เลือดสีแดงไหลเป็นสายแต่นางกลับไม่แสดงความรู้สึกเจ็บปวดใด ๆ ราวกับบาดแผลนั้นมิได้มีความหมาย

"อวี้หยุน! นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน!!!"

เสียงตวาดของอวี้เฉิงดังลั่นราวกับเสียงฟ้าผ่า ทำเอาผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นสะดุ้งเฮือก อวี้หยุนรีบเหวี่ยงดาบของตนลงสู่พื้นทันที แรงกระแทกของโลหะกับพื้นหินดังกังวานสะท้อนไปทั่ว สีหน้าของเขายังเต็มไปด้วยความตกตะลึง

เขาไม่เคยคิดว่าอวี้หลิงหรงจะทำเช่นนี้

"ข้าผิดเองขอรับ ท่านพ่อ นางมิได้ทำผิดอะไร" อวี้หยุนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขาก้มหน้าต่ำ มิกล้าสบสายตาผู้ใด โดยเฉพาะอวี้หลิงหรง น้องสาวแท้ ๆ ของเขาเอง

"เรื่องผิดถูกเอาไว้ทีหลังเถิด ท่านพ่อ ตอนนี้เราควรเรียกหมอมารักษาแผลให้หรงหรงก่อน" เสียงของอวี้เหวินดังขึ้น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่รอยแผลของน้องสาวด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

เสนาบดีอวี้เฉิงพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเห็นด้วย "จริงอย่างที่เจ้าว่า ใครก็ได้ไปตามหมอมา! ส่วนเจ้า อวี้หยุน มาพบข้าที่ห้องทำงาน"

เขามองใบหน้าของอวี้หลิงหรงครู่หนึ่ง ดวงตาคมของเขาฉายแววบางอย่างที่ยากจะคาดเดา ก่อนจะหันหลังเดินจากไป ทิ้งบรรยากาศที่หนักอึ้งไว้เบื้องหลัง

"หรงหรง.. เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าที่เรือน" อวี้เหวินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย 

เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า ข่าวลือเรื่องน้องสาวของเขาพยายามปลิดชีวิตตนเองนั้น ไม่ใช่แค่การเรียกร้องความสนใจอย่างที่เขาเคยเข้าใจ เพราะสิ่งที่ได้เห็นในวันนี้บอกให้เขารู้ว่า ทั้งหมดมันคือความจริง

อวี้หลิงหรงปรายตามองอวี้เหวิน ดวงตาของนางเย็นชาไร้อารมณ์ ราวกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่มีอะไรเชื่อมโยงกันอีกต่อไป

"ท่านมิต้องลำบากมาเป็นพี่ชายที่แสนดีเอาตอนนี้หรอก.. ข้าเลิกคาดหวังไปนานแล้ว" 

น้ำเสียงของนางราบเรียบ ไม่แฝงความรู้สึกใด ทว่ากลับกรีดลึกลงไปในจิตใจของผู้ฟัง อวี้เหวินรู้สึกเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดหัวใจจนแน่น ไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยอะไร น้ำเสียงเย็นชาก็ดังขึ้นอีกครั้ง

"ท่านไม่จำเป็นต้องตามหมอมาให้เปลืองเงินทองหรอก เพราะสำหรับคนที่ตายไปแล้ว..จะหมอที่ไหนก็มิอาจรักษาได้" 

เมื่อกล่าวจบ นางค้อมศีรษะให้อวี้เหวินเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป โดยมิได้หันกลับไปมองข้างหลังอีก

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่64 นับอนันต์ (จบบริบูรณ์)

    หลังเหตุการณ์กบฏสิ้นสุดลง ชะตาชีวิตของหลายคนก็พลิกผัน แต่ชื่อของเว่ยลี่หลินกลับไม่ปรากฏอยู่ในบัญชีโทษของผู้ใด ด้วยเพราะนางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องราวทั้งสิ้น นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ถูกดึงเข้าสู่กระดานหมากใหญ่แห่งราชสำนัก โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือเลือกหนทางให้ตนเองราชโองการให้หย่าขาดจากอดีตองค์รัชทายาทฉินจื่อหยวนผู้ล่วงลับ ถูกประกาศออกมาในวันที่ฟ้าครึ้มฝน แม้นางจะรู้ว่าเรื่องนี้คงถูกนำไปนินทาอย่างสนุกปากจากบรรดาบุตรสาวขุนนาง แต่ถึงกระนั้น นางก็ยอมรับมันโดยสงบ แม้จะต้องทิ้งนามพระชายาที่เคยเป็นทั้งเกียรติและพันธนาการ แต่ก็แลกมาด้วยอิสรภาพที่นางโหยหามานานเว่ยลี่หลินกลับไปใช้สกุลเดิม “เว่ย” ตามเดิม บรรดาผู้คนในวังต่างนินทาว่านางคงตกต่ำลงแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางรู้สึกเบาใจขึ้นเพียงใด เมื่อไม่ต้องฝืนยิ้ม ไม่ต้องสวมหน้ากากให้ใครมองอีกต่อไปหลังจากนั้นไม่นาน นางก็เลือกที่จะหันหลังให้กับเมืองหลวงและออกเดินทางไปทั่วแว่นแคว้น โดยไม่มีรถม้าหรูหรา มีเพียงบ่าวรับใช้เก่าแก่สองคนและหีบเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ ที่บรรจุของใช้เท่าที่จำเป็นผู้คนถามว่าสตรีผู้เคยเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท จะไปที่ใด

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่63 บุคคลที่คู่ควรกับความรัก

    หลังจากเหตุการณ์อันเลวร้ายและความสูญเสียผ่านพ้นไป ฤดูร้อนก็เวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมสายลมอบอุ่นและแสงแดดอ่อนที่ราวกับช่วยลบล้างความขมขื่นในหัวใจอวี้หลิงหรงในวัยครรภ์แก่ใกล้คลอดเต็มที ค่อย ๆ ก้าวลงจากรถม้าโดยมีมือของฉินเฉินอวี้คอยประคอง ดวงตานางทอดมองวังหลวงที่คุ้นเคยอย่างเงียบงัน ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนบางให้พระสวามีของตนวันนี้เป็นวันมงคลของแผ่นดิน..วันแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นมารดาแห่งแผ่นดินก็คือพระสนมสวี่ซิงเหยียน พระมารดาขององค์ชายหกภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูง องค์ชาย องค์หญิง และเหล่าผู้มีบรรดาศักดิ์ต่างร่วมงานด้วยสีหน้าปีติยินดี เสียงพิณบรรเลงแผ่วเบาประกอบท่วงท่าแห่งพิธีอันสง่างามเมื่อพิธีเสร็จสิ้นลง องค์ฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนและฮองเฮาสวี่ซิงเหยียนจึงทรงเรียกองค์ชายหกและพระชายาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว“อวี้เอ๋อร์... ข้ากับมารดาของเจ้าต่างเห็นพ้องกัน ว่าเจ้าคือผู้เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งองค์รัชทายาท” เสียงของฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนดังขึ้นอย่างราบเรียบ ทว่าหนักแน่นและเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นฉินเฉินอวี้นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค้อมกายลงด้วยความเคารพ แล

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่62 บทสรุป

    เมื่อฉินจื่อหยวนตระหนักได้ว่าการดวลกับนางต่อไปมีแต่จะเสียเปรียบ เขาจึงหันสายตาไปยัง ฉินเฉินอวี้ที่ตอนนี้กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ในจังหวะที่กระบี่ของอวี้หลิงหรงฟาดสวนมาทางเขาอีกครั้ง ฉินจื่อหยวนก็เบี่ยงตัวหลบ แล้วเปลี่ยนทิศทางของดาบในมือ พุ่งออกไปทางฉินเฉินอวี้ แต่ก่อนที่ดาบนั้นจะเข้าถึงตัวของชายผู้ที่บาดเจ็บจนแทบยืนไม่ไหว สตรีในชุดดำก็รีบเร่งฝีเท้าพุ่งตัวเข้ามาขวางทางอย่างไม่ลังเล"ไม่!!!" อวี้หลิงหรงกรีดร้องสุดเสียง นางพุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าโดยไม่คิดชีวิต เพื่อที่จะสกัดกั้นคมดาบนั้นให้ได้ นางรู้ดีว่าตนไม่มีทางปัดป้องได้ทันเวลา และในครรภ์ของนางก็ยังมีชีวิตน้อย ๆ อยู่อีกหนึ่งคน ในชั่วพริบตาแห่งการตัดสินใจ นางปล่อยกระบี่ในมือลงกับพื้น ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับคมดาบด้วยตัวเอง!เสียงฉีกขาดของเนื้อดัง ฉัวะ! โลหิตสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นท่วมสองฝ่ามือ“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องของอวี้หลิงหรงดังก้องสะท้อนทั่วลาน ฉินเฉินอวี้เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก สิ่งที่เห็นมีเพียงแผ่นหลังบาง ๆ ของนางที่ยืนขวางเขาเอาไว้ชั่วขณะนั้น..เวลาราวกับหยุดหมุนดวงตาคู่งามสั่นไหวด้วยความปวดร้าว มือทั้งสองที่เปื้

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่61 การก่อกบฏ

    ค่ำคืนมืดครึ้มในวังหลวง ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆทมิฬ เสียงสายลมหวีดหวิวกรีดผ่านยอดหลังคาตำหนักฟังแล้วชวนขนหัวลุก หิมะยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องขณะที่แสงโคมไฟในวังริบหรี่ลงทุกขณะณ ตำหนักเฉียนชิงอันเป็นที่พำนักขององค์ฮ่องเต้ประตูไม้สลักลายมังกรปิดสนิท แผ่นหิมะเกาะขอบหลังคาเงียบงัน ใต้ผ้าห่มแพรแดงลายมังกรบนเตียงไม้แกะสลัก มีสองร่างนอนแนบชิดกันอย่างสงบนิ่ง ราวกับไม่รับรู้ถึงภัยเงาร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกขณะเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแทรกผ่านเสียงลม เงาร่างชุดดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตามเงาเสา เงียบเชียบราวกับเป็นเพียงเงาจันทร์สาดทาบพื้น พวกมันลอบเข้ามาจากทางระเบียงด้านข้าง ดาบในมือแต่ละเล่มยังเปื้อนเลือดสดจากทหารยามเฝ้าเวรหนึ่งในนั้นยกดาบขึ้นสูงเหนือร่างบนเตียง ก่อนจะแทงลงกลางอกด้วยแรงทั้งหมดโดยไร้ซึ่งความลังเลทว่าร่างที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นกับนิ่งเงียบไม่ไหวติง มือสังหารรีบกระชากผ้าห่มผืนใหญ่ออกอย่างรุนแรงภายใต้ผ้าห่ม ไม่ใช่ร่างของฮ่องเต้หรือพระสนมสวี่ แต่เป็นเพียงหมอนข้างที่ซ้อนกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มเท่านั้น“กับดัก..?” เสียงพร่าของมือสังหารเพิ่งหลุดออกจากริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะได้หันไป

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่60 การตัดสินใจ

    หลังจากการประชุมวานนี้ องค์ฮองเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักอวี้ฮวา ตามพระราชโองการของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าต้องรอการพิสูจน์ความบริสุทธิ์นาง ในขณะเดียวกัน นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮากลับถูกลากตัวไปยังคุกหลวง ถูกทรมานเพื่อหาความจริง นางกรีดร้องปานวิญญาณหลุดจากร่าง เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในห้องขังแคบ ๆ ส่วนทางด้านพระสนมสวี่ แม้นางจะเป็นสตรีที่ฮ่องเต้รักยิ่ง แต่ในยามนี้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิกลับเย็นชาดุจน้ำแข็งหลายวันมาแล้วที่พระสนมสวี่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจของนางเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ ยามคิดถึงบิดาที่กำลังถูกจองจำในคุกหลวง ด้วยใจระทมทุกข์ นางจึงรวบรวมความกล้าขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลขอพระราชทานอนุญาตให้ตนเข้าเยี่ยมบิดาแต่องค์จักรพรรดิก็หาได้เหลียวแลไม่ “ขอฝ่าบาทเมตตา..” พระนางคุกเข่าท่ามกลางลมหนาว หยดน้ำตาของพระสนมคล้ายหยาดพิรุณตกต้องใจใครบางคน แต่ก็ไม่อาจทะลุม่านเย็นชาของผู้เป็นกษัตริย์ได้หิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมา ท่ามกลางความเงียบงันของลานหน้าพระตำหนักเฉียนชิง สตรีผู้สูงศักดิ์ในชุดแพรบางสีครามยังคุกเข่าอยู่กับพื้น หยดน้ำตาไหลเงียบ ๆ ลงบนแก้มซีดเซียว“ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าน้อยมาทูลว่า

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่59 การประชุมที่ท้องพระโรง

    ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า บรรยากาศตึงเครียดจนแทบสัมผัสได้ เสนาบดีเจียงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ สีหน้าเคร่งขรึมแฝงไปด้วยความมั่นใจ เขากำลังกล่าวถ้อยคำฟังดูหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย“กระหม่อมเห็นว่า...การมีโรงกษาปณ์เถื่อนตั้งอยู่ในหมู่บ้านชิงหลินซึ่งอยู่ในเขตปกครองของสกุลสวี่ ย่อมบ่งชี้ถึงความพยายามในการสะสมกำลังและท้าทายราชอำนาจ เรื่องนี้ไม่อาจมองข้าม หากไม่สอบสวนให้ถึงที่สุด เกรงว่าความมั่นคงของแผ่นดินจะสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางหลายคนพากันพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่บางส่วนก็เหลือบมองกันไปมา ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างอำนาจของตระกูลสวี่และความแข็งแกร่งของกลุ่มเจียงระหว่างที่คำกล่าวหายังไม่สิ้นสุด เสียงฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งของขันทีคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น ฝ่าฝืนความเงียบที่กดดันเขาเข้าไปกระซิบอย่างเร่งร้อนกับกงกงคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมากระซิบรายงานเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นตัว“ฝ่าบาท..พระชายาขององค์ชายหก เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับหมู่บ้านชิงหลิน ที่ต้องทูลต่อหน้าพระพักตร์และเหล่าขุนนางทั้งหลาย”องค์ฮ่องเต้ชะงักเพียงเล็กน้อ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status