Share

บทที่4 ไวโอเล็ต

Penulis: Midzilee01
last update Terakhir Diperbarui: 2025-11-06 20:25:33

แสงจันทร์นวลผ่องทอดตัวลงมาจากฟากฟ้า ส่องกระทบกับเรือนผมสีเงินราวแพรไหมของนาง สะท้อนประกายอ่อนละมุนจนดูราวกับเทพธิดาในภาพวาดโบราณ 

ใบหน้าของหญิงสาวดูงดงามเหนือมนุษย์ ทว่ากลับเปี่ยมไปด้วยความสงบนิ่ง ดวงตาสีม่วงล้ำค่าดุจอเมทิสต์เปล่งประกายระยิบระยับราวอัญมณีเมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์ 

ไวโอเล็ต กลาเซียร์ หลับตาลงพลางสูดหายใจลึก ๆ ราวกับต้องการซึมซับบรรยากาศอันเงียบสงบและอบอุ่นนี้ให้มากที่สุด

 เพราะพรุ่งนี้.. เป็นวันที่นางต้องนำทัพไปเผชิญหน้ากับสมรภูมิในฐานะราชินีแห่งดาบของจักรวรรดิ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของนาง ไวโอเล็ตเบนสายตากลับมาทางประตูห้อง ริมฝีปากของนางคลี่ออกเป็นรอยยิ้มจาง ๆ คล้ายรู้อยู่แล้วว่าผู้ใดที่ยืนอยู่อีกด้านของประตู..

อวี้หลิงหรงสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ร่างกายสั่นเทิ้มพร้อมกับเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นเต็มกรอบหน้า เธอมักจะฝันถึงเหตุการณ์เหล่านี้อยู่บ่อยครั้ง.. 

เหตุการณ์โหดร้ายที่นางเคยเผชิญในอดีตได้หลอมรวมเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนนางอย่างไม่มีสิ้นสุด เช่นเดียวกับความฝันในคืนนี้ ซึ่งเป็นชาติล่าสุดที่นางเพิ่งจากมา

ในชาติที่สามนั้น.. นางลืมตาขึ้นมาในมุมหนึ่งของตรอกแคบ ๆ ซึ่งแทบจะหลบเร้นไปจากสายตาผู้คน 

ภายใต้แสงจันทร์นวลตา เงาร่างเล็ก ๆ ร่างหนึ่งนอนนิ่งอยู่กลางตรอก นางเป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยที่ซุกกายอยู่ข้างกองขยะอับชื้น สวมใส่เสื้อผ้าที่ขาดวิ่น

 นางก้มมองเงาสะท้อนของตนในแอ่งน้ำขัง เผยให้เห็นใบหน้าของเด็กหญิงคนหนึ่งที่เนื้อตัวมอมแมม เส้นผมยุ่งเหยิงจับกันเป็นกระจุก 

ครั้งนี้นางไม่รู้เลยว่า ตนเองได้มาสวมร่างของใคร และที่แห่งนี้คือที่ไหน นางไม่มีความทรงจำใด ๆ ของเจ้าของร่างนี้เลยแม้แต่น้อย

สิ่งที่นางสัมผัสได้ในตอนนี้ มีเพียงความหิวโหยราวกับจะฉีกกระเพาะของนางออกเป็นชิ้น ๆ 

กลิ่นหอมหวนของอาหารที่ลอยมาตามสายลมยิ่งเป็นการซ้ำเติมเด็กน้อยให้ท้องไส้ปั่นป่วนจนรู้สึกปวดแสบ ดวงตาสีม่วงคู่สวยฉายประกายมุ่งมั่นขึ้นมา มือเรียวเล็กกำแน่น เธอไม่ยอมหิวตายอยู่ตรงนี้แน่

เธอต้องเอาชีวิตรอดให้ได้!

หลังจากข่มความเหน็ดเหนื่อย เด็กสาวค่อย ๆ ยันกายขึ้นยืน แม้จะรู้สึกหมดเรี่ยวแรงเพราะความหิวโหย นางเม้มริมฝีปากพลางมองไปยังต้นทางของกลิ่นหอมนั้น มันลอยมาจากด้านในตึกที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความมืด 

ตรงประตูทางเข้า มีป้ายไม้แขวนอยู่ สลักอักษรตัวโตว่า “กิลด์ทหารรับจ้างไฮด์การ์เดียน” เด็กสาวค่อย ๆ ก้าวเดินไปตามแสงไฟสีอุ่นของโคมตะเกียงที่แขวนอยู่บนผนังอิฐ 

ลมค่ำคืนพัดไล่ผ่านไปทั่วตรอกแคบ สัมผัสเย็นยะเยือกของอากาศหนาวทำให้ร่างกายของเด็กน้อยสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ เธอยืนใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจผลักประตูและเดินตรงเข้าไปด้านในอาคาร

เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งจากหน้าประตู เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็เดินออกมาจากทางด้านใน ไม่นานนักร่างท้วมของสตรีวัยกลางคนในผ้ากันเปื้อนสีซีดก็ปรากฏตัวขึ้น นางมีใบหน้าคมเข้ม เส้นผมสีดำหยักศก แววตาดูดุและเคร่งขรึมราวกับเป็นคนเข้มงวด แต่ก็ยังมีเค้าความเมตตาซ่อนอยู่

"เจ้ามีธุระอะไรหรือเปล่า ยัยหนู?" น้ำเสียงแหบห้าวแฝงไปด้วยความสงสัยเอ่ยขึ้น

เด็กสาวที่ตอนนี้เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหนาว แต่ยังพยายามรวบรวมความกล้าสบตา

 "สวัสดีค่ะคุณป้า" เธอค้อมศีรษะทำความเคารพตามความเคยชิน

หญิงวัยกลางคนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ประหลาดใจที่เด็กหญิงตัวน้อยแต่กลับมีมารยาทงดงามอย่างกับลูกขุนนางชั้นสูง นางกอดอกมองเด็กที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาพินิจ

"หนูอยากขอทำงานที่นี่ค่ะ หนูไม่ต้องการอะไรมาก ขอแค่อาหารกับที่นอน"

คำขอที่แสนจะใสซื่อนั้น ทำให้สตรีวัยกลางคนชะงักไปชั่วขณะ สายตาที่เคยแฝงความระแวงสะท้อนแววเวทนาออกมาโดยไม่รู้ตัว

เธอกับสามีอยู่ที่กิลด์นี้มานาน เห็นเด็กลักเล็กขโมยน้อยมาก็เยอะ แต่ไม่เคยมีใครตรงเข้ามาขอทำงานเช่นนี้มาก่อน

หญิงร่างท้วมเจ้าของร้านอาหารภายในกิลด์หันมามองเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ตรงหน้าด้วยสายตาครุ่นคิด นางมีเนื้อตัวผอมบาง ดูอิดโรยจากความหิวโหย แต่สิ่งที่สะดุดตาพวกเขาที่สุดคือดวงตาสีม่วงคู่นั้นที่เปล่งประกายราวอัญมณี ไม่เหมือนเด็กกำพร้าทั่วไปที่พวกเขาเคยพบเจอ

"เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการทำงานจริงๆ?" หญิงวัยกลางคนถามพลางมองเด็กน้อยอย่างพินิจพิเคราะห์

"แน่ใจค่ะ หนูไม่กลัวเหนื่อย หนูทำอะไรก็ได้ ขอแค่มีอาหารและที่พักให้ก็พอค่ะ"

คำพูดของนางหนักแน่นเกินกว่าที่เด็กวัยไม่ถึงสิบขวบควรจะเป็น ในที่สุดหญิงวัยกลางคนก็ตัดสินใจรับเด็กหญิงตัวน้อยเข้ามา และตั้งชื่อให้นางว่าไวโอเล็ตตามสีดวงตาของนาง

นับตั้งแต่วันนั้น ไวโอเล็ตก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของร้านเหล้าในกิลด์ทหารรับจ้าง 

งานของนางมีตั้งแต่เสิร์ฟอาหาร ล้างจาน ไปจนถึงช่วยทำความสะอาดร้าน แม้นางจะยังเด็ก แต่ความขยันขันแข็งและความอดทนของนาง ก็ทำให้เหล่าทหารรับจ้างในกิลด์ทุกคนต่างเอ็นดู 

ในช่วงสามปีที่ผ่านมา นอกจากการทำงาน ไวโอเล็ตยังได้เรียนรู้อะไรมากมายจากเหล่าทหารรับจ้าง นางเรียนรู้เกี่ยวกับเส้นทางเดินเรือ ภูมิศาสตร์ของแผ่นดิน การค้าขายและข่าวสารต่าง ๆ ที่เหล่าทหารรับจ้างนำมาเล่าให้ฟัง 

แต่สิ่งที่นางสนใจมากที่สุดนั่นคือการต่อสู้

ในตอนแรกคุณลุงเจ้าของกิลด์ทหารรับจ้างลังเลที่จะสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เช่นนาง เขาเกรงว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะไม่สามารถรับภาระหนักจากการฝึกฝนได้ ทว่าไวโอเล็ตกลับรบเร้าไม่หยุด

"ข้าไม่อยากเป็นภาระให้ใคร ข้าอยากดูแลตัวเองได้!" นางกล่าวอย่างหนักแน่น

คุณลุงมองดวงตาสีม่วงที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นของเด็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจยอมแพ้

"เอาเถอะ.. ข้าจะสอนให้เจ้าเอง แต่เจ้าต้องตั้งใจฝึกฝนล่ะ เข้าใจหรือไม่?"

"เข้าใจเจ้าค่ะ!!"

หลังจากวันนั้นเขาก็เลือกที่จะสอนวิชาการใช้แด็กเกอร์ [1] ให้กับนาง เนื่องจากมันเป็นมีด จึงคล่องตัวและเหมาะกับผู้ที่มีร่างกายเล็ก

 ไวโอเล็ตเริ่มฝึกตั้งแต่การจับมีด การควงมีดเพื่อป้องกันตัว จนกระทั่งไปถึงการใช้มีดโจมตีจุดสำคัญของศัตรู และน่าประหลาดที่ดูเหมือนไวโอเล็ตจะมีพรสวรรค์ด้านนี้โดยธรรมชาติ 

นางสามารถซึมซับเทคนิคต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ต่อมาก็พัฒนาเป็นการใช้มีดคู่ ทำให้อาจารย์ผู้สอนนางถึงกับเอ่ยปากชมว่าไวโอเล็ตมีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม 

ทว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้.. ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางได้จับอาวุธ

แม้ว่านางจะเคยเรียนรู้การใช้ศาสตราวุธมากมายมาจากชาติที่สอง แต่ในบรรดาอาวุธทั้งหมดที่เคยได้สัมผัส ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้นางรู้สึกชื่นชอบไปมากกว่าวิชามีดคู่ และเหตุผลที่นางชื่นชอบการใช้มีดคู่ที่สุดในบรรดาอาวุธมากมาย นั่นเป็นเพราะอาจารย์ผู้สอนนางนั้น ตั้งใจสอนวิชานี้ให้นาง ด้วยใจที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและหวังดี หวังให้เด็กตัวน้อย ๆ ใช้วิชาเหล่านี้เพื่อปกป้องตนเอง

เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาเหล่านั้น รอยยิ้มบาง ๆ ก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากของอวี้หลิงหรงโดยไม่รู้ตัว ทว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ปนความขมขื่นและเศร้าหมอง นางยังจำได้ดีถึงกลิ่นหอมอบอวลของอาหารที่ลอยกรุ่นออกมาจากห้องครัวทุกเช้า

เสียงหัวเราะของคุณป้าที่ดังขึ้นทุกครั้งที่นางเผลอทำช้อนตกลงพื้น และสัมผัสอบอุ่นจากมือของคุณลุงที่คอยตบบ่ากำชับให้ทำงานดี ๆ 

ทุกค่ำคืนหลังจากเสร็จสิ้นงานในร้าน นางจะได้นั่งล้อมวงกับพวกพี่ ๆ ทหารรับจ้างและฟังเรื่องราวการเดินทางของพวกเขา 

แต่ละคนมาจากแดนไกล บ้างก็ผ่านสมรภูมิรบอันโหดร้าย บางคนผ่านประสบการณ์เฉียดตายมานับไม่ถ้วน มีทั้งนักล่าอสูร พ่อค้าอิสระ นักล่าสมบัติ และแม้กระทั่งคนที่เคยเป็นทหารหลวงแต่ผันตัวมารับงานอย่างอิสระ ต่างนำเรื่องราวของตนมาเล่าสู่กันฟัง 

บางครั้งก็เป็นเรื่องราวการผจญภัยที่ชวนตื่นเต้น บางครั้งก็เป็นเรื่องเศร้าสะเทือนใจเกี่ยวกับพวกพ้องที่สูญเสียไปจากภารกิจหนึ่ง.. สู่อีกภารกิจหนึ่ง แต่ท่ามกลางความโหดร้ายนั้นก็ยังมีเสียงหัวเราะแฝงอยู่เสมอ

เชิงอรรถ

^Dagger(กริช) เป็นอาวุธระยะประชิดประเภทมีดสั้น มีใบมีดสองคมที่ออกแบบมาเพื่อแทงเป็นหลัก

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่64 นับอนันต์ (จบบริบูรณ์)

    หลังเหตุการณ์กบฏสิ้นสุดลง ชะตาชีวิตของหลายคนก็พลิกผัน แต่ชื่อของเว่ยลี่หลินกลับไม่ปรากฏอยู่ในบัญชีโทษของผู้ใด ด้วยเพราะนางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องราวทั้งสิ้น นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ถูกดึงเข้าสู่กระดานหมากใหญ่แห่งราชสำนัก โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือเลือกหนทางให้ตนเองราชโองการให้หย่าขาดจากอดีตองค์รัชทายาทฉินจื่อหยวนผู้ล่วงลับ ถูกประกาศออกมาในวันที่ฟ้าครึ้มฝน แม้นางจะรู้ว่าเรื่องนี้คงถูกนำไปนินทาอย่างสนุกปากจากบรรดาบุตรสาวขุนนาง แต่ถึงกระนั้น นางก็ยอมรับมันโดยสงบ แม้จะต้องทิ้งนามพระชายาที่เคยเป็นทั้งเกียรติและพันธนาการ แต่ก็แลกมาด้วยอิสรภาพที่นางโหยหามานานเว่ยลี่หลินกลับไปใช้สกุลเดิม “เว่ย” ตามเดิม บรรดาผู้คนในวังต่างนินทาว่านางคงตกต่ำลงแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางรู้สึกเบาใจขึ้นเพียงใด เมื่อไม่ต้องฝืนยิ้ม ไม่ต้องสวมหน้ากากให้ใครมองอีกต่อไปหลังจากนั้นไม่นาน นางก็เลือกที่จะหันหลังให้กับเมืองหลวงและออกเดินทางไปทั่วแว่นแคว้น โดยไม่มีรถม้าหรูหรา มีเพียงบ่าวรับใช้เก่าแก่สองคนและหีบเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ ที่บรรจุของใช้เท่าที่จำเป็นผู้คนถามว่าสตรีผู้เคยเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท จะไปที่ใด

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่63 บุคคลที่คู่ควรกับความรัก

    หลังจากเหตุการณ์อันเลวร้ายและความสูญเสียผ่านพ้นไป ฤดูร้อนก็เวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมสายลมอบอุ่นและแสงแดดอ่อนที่ราวกับช่วยลบล้างความขมขื่นในหัวใจอวี้หลิงหรงในวัยครรภ์แก่ใกล้คลอดเต็มที ค่อย ๆ ก้าวลงจากรถม้าโดยมีมือของฉินเฉินอวี้คอยประคอง ดวงตานางทอดมองวังหลวงที่คุ้นเคยอย่างเงียบงัน ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนบางให้พระสวามีของตนวันนี้เป็นวันมงคลของแผ่นดิน..วันแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นมารดาแห่งแผ่นดินก็คือพระสนมสวี่ซิงเหยียน พระมารดาขององค์ชายหกภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูง องค์ชาย องค์หญิง และเหล่าผู้มีบรรดาศักดิ์ต่างร่วมงานด้วยสีหน้าปีติยินดี เสียงพิณบรรเลงแผ่วเบาประกอบท่วงท่าแห่งพิธีอันสง่างามเมื่อพิธีเสร็จสิ้นลง องค์ฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนและฮองเฮาสวี่ซิงเหยียนจึงทรงเรียกองค์ชายหกและพระชายาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว“อวี้เอ๋อร์... ข้ากับมารดาของเจ้าต่างเห็นพ้องกัน ว่าเจ้าคือผู้เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งองค์รัชทายาท” เสียงของฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนดังขึ้นอย่างราบเรียบ ทว่าหนักแน่นและเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นฉินเฉินอวี้นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค้อมกายลงด้วยความเคารพ แล

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่62 บทสรุป

    เมื่อฉินจื่อหยวนตระหนักได้ว่าการดวลกับนางต่อไปมีแต่จะเสียเปรียบ เขาจึงหันสายตาไปยัง ฉินเฉินอวี้ที่ตอนนี้กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ในจังหวะที่กระบี่ของอวี้หลิงหรงฟาดสวนมาทางเขาอีกครั้ง ฉินจื่อหยวนก็เบี่ยงตัวหลบ แล้วเปลี่ยนทิศทางของดาบในมือ พุ่งออกไปทางฉินเฉินอวี้ แต่ก่อนที่ดาบนั้นจะเข้าถึงตัวของชายผู้ที่บาดเจ็บจนแทบยืนไม่ไหว สตรีในชุดดำก็รีบเร่งฝีเท้าพุ่งตัวเข้ามาขวางทางอย่างไม่ลังเล"ไม่!!!" อวี้หลิงหรงกรีดร้องสุดเสียง นางพุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าโดยไม่คิดชีวิต เพื่อที่จะสกัดกั้นคมดาบนั้นให้ได้ นางรู้ดีว่าตนไม่มีทางปัดป้องได้ทันเวลา และในครรภ์ของนางก็ยังมีชีวิตน้อย ๆ อยู่อีกหนึ่งคน ในชั่วพริบตาแห่งการตัดสินใจ นางปล่อยกระบี่ในมือลงกับพื้น ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับคมดาบด้วยตัวเอง!เสียงฉีกขาดของเนื้อดัง ฉัวะ! โลหิตสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นท่วมสองฝ่ามือ“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องของอวี้หลิงหรงดังก้องสะท้อนทั่วลาน ฉินเฉินอวี้เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก สิ่งที่เห็นมีเพียงแผ่นหลังบาง ๆ ของนางที่ยืนขวางเขาเอาไว้ชั่วขณะนั้น..เวลาราวกับหยุดหมุนดวงตาคู่งามสั่นไหวด้วยความปวดร้าว มือทั้งสองที่เปื้

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่61 การก่อกบฏ

    ค่ำคืนมืดครึ้มในวังหลวง ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆทมิฬ เสียงสายลมหวีดหวิวกรีดผ่านยอดหลังคาตำหนักฟังแล้วชวนขนหัวลุก หิมะยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องขณะที่แสงโคมไฟในวังริบหรี่ลงทุกขณะณ ตำหนักเฉียนชิงอันเป็นที่พำนักขององค์ฮ่องเต้ประตูไม้สลักลายมังกรปิดสนิท แผ่นหิมะเกาะขอบหลังคาเงียบงัน ใต้ผ้าห่มแพรแดงลายมังกรบนเตียงไม้แกะสลัก มีสองร่างนอนแนบชิดกันอย่างสงบนิ่ง ราวกับไม่รับรู้ถึงภัยเงาร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกขณะเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแทรกผ่านเสียงลม เงาร่างชุดดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตามเงาเสา เงียบเชียบราวกับเป็นเพียงเงาจันทร์สาดทาบพื้น พวกมันลอบเข้ามาจากทางระเบียงด้านข้าง ดาบในมือแต่ละเล่มยังเปื้อนเลือดสดจากทหารยามเฝ้าเวรหนึ่งในนั้นยกดาบขึ้นสูงเหนือร่างบนเตียง ก่อนจะแทงลงกลางอกด้วยแรงทั้งหมดโดยไร้ซึ่งความลังเลทว่าร่างที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นกับนิ่งเงียบไม่ไหวติง มือสังหารรีบกระชากผ้าห่มผืนใหญ่ออกอย่างรุนแรงภายใต้ผ้าห่ม ไม่ใช่ร่างของฮ่องเต้หรือพระสนมสวี่ แต่เป็นเพียงหมอนข้างที่ซ้อนกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มเท่านั้น“กับดัก..?” เสียงพร่าของมือสังหารเพิ่งหลุดออกจากริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะได้หันไป

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่60 การตัดสินใจ

    หลังจากการประชุมวานนี้ องค์ฮองเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักอวี้ฮวา ตามพระราชโองการของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าต้องรอการพิสูจน์ความบริสุทธิ์นาง ในขณะเดียวกัน นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮากลับถูกลากตัวไปยังคุกหลวง ถูกทรมานเพื่อหาความจริง นางกรีดร้องปานวิญญาณหลุดจากร่าง เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในห้องขังแคบ ๆ ส่วนทางด้านพระสนมสวี่ แม้นางจะเป็นสตรีที่ฮ่องเต้รักยิ่ง แต่ในยามนี้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิกลับเย็นชาดุจน้ำแข็งหลายวันมาแล้วที่พระสนมสวี่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจของนางเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ ยามคิดถึงบิดาที่กำลังถูกจองจำในคุกหลวง ด้วยใจระทมทุกข์ นางจึงรวบรวมความกล้าขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลขอพระราชทานอนุญาตให้ตนเข้าเยี่ยมบิดาแต่องค์จักรพรรดิก็หาได้เหลียวแลไม่ “ขอฝ่าบาทเมตตา..” พระนางคุกเข่าท่ามกลางลมหนาว หยดน้ำตาของพระสนมคล้ายหยาดพิรุณตกต้องใจใครบางคน แต่ก็ไม่อาจทะลุม่านเย็นชาของผู้เป็นกษัตริย์ได้หิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมา ท่ามกลางความเงียบงันของลานหน้าพระตำหนักเฉียนชิง สตรีผู้สูงศักดิ์ในชุดแพรบางสีครามยังคุกเข่าอยู่กับพื้น หยดน้ำตาไหลเงียบ ๆ ลงบนแก้มซีดเซียว“ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าน้อยมาทูลว่า

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่59 การประชุมที่ท้องพระโรง

    ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า บรรยากาศตึงเครียดจนแทบสัมผัสได้ เสนาบดีเจียงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ สีหน้าเคร่งขรึมแฝงไปด้วยความมั่นใจ เขากำลังกล่าวถ้อยคำฟังดูหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย“กระหม่อมเห็นว่า...การมีโรงกษาปณ์เถื่อนตั้งอยู่ในหมู่บ้านชิงหลินซึ่งอยู่ในเขตปกครองของสกุลสวี่ ย่อมบ่งชี้ถึงความพยายามในการสะสมกำลังและท้าทายราชอำนาจ เรื่องนี้ไม่อาจมองข้าม หากไม่สอบสวนให้ถึงที่สุด เกรงว่าความมั่นคงของแผ่นดินจะสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางหลายคนพากันพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่บางส่วนก็เหลือบมองกันไปมา ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างอำนาจของตระกูลสวี่และความแข็งแกร่งของกลุ่มเจียงระหว่างที่คำกล่าวหายังไม่สิ้นสุด เสียงฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งของขันทีคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น ฝ่าฝืนความเงียบที่กดดันเขาเข้าไปกระซิบอย่างเร่งร้อนกับกงกงคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมากระซิบรายงานเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นตัว“ฝ่าบาท..พระชายาขององค์ชายหก เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับหมู่บ้านชิงหลิน ที่ต้องทูลต่อหน้าพระพักตร์และเหล่าขุนนางทั้งหลาย”องค์ฮ่องเต้ชะงักเพียงเล็กน้อ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status