"องค์หญิง กระหม่อมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
ในขณะที่โจวอวี้หลันกำลังครุ่นคิดหาทางออกอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา นางหันไปมอง ก่อนจะพบกับ ลั่วจินหยาง รองแม่ทัพลั่วที่นางส่งคนให้เรียกตัวเขาเข้าวังหลวงก่อนหน้านี้
ลั่วจินหยาง เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลลั่ว เขาคือพี่ชายร่วมมารดากับลั่วหนิงฮวา
โจวอวี้หลันจ้องมองเขาอย่างพิจารณา ใบหน้าหล่อเหลา แต่ผิวออกจะคล้ำไปเสียหน่อย โดยรวมแล้วถือว่าเป็นบุรุษที่รูปงามผู้หนึ่ง
"รองแม่ทัพลั่ว ข้าอยากขอความช่วยเหลือจากท่าน"
"เชิญองค์หญิงรับสั่งมาได้พ่ะย่ะค่ะ เพื่อองค์หญิงแล้ว กระหม่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง"
ลั่วจินหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม แต่ทว่าดวงตาคมกลับเหลือบมองหน้าอกหน้าใจของโจวอวี้หลันเป็นระยะ
โอวว เหมือนจะใหญ่ขึ้นสินะ?
ช้าก่อน! นี่มิใช่เวลา
โจวอวี้หลันเองก็พอจะรับรู้ว่าถูกลั่วจินหยางจ้องมอง นางลอบสบถด่าทอเขาเป็นพันครั้ง ในใจนึกอยากกระโดดถีบคนบ้ากามผู้นี้ออกไปจากตำหนักบูรพาเสีย
"ข้าจะทูลต่อเสด็จพ่อ ขอพระราชทานอนุญาตให้นำโจวอี้เฉินไปรักษากับท่านหมอเทวดาที่หมู่บ้านชนบทนอกเมืองหลวง การเดินทางในครั้งนี้ ข้าอยากให้ท่านคอยอารักขาตัวข้าและโจวอี้เฉินให้ปลอดภัย"
ลั่วจินหยางที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองไปยังร่างของโจวอี้เฉินที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
เขากับโจวอี้เฉินเป็นสหายสนิทกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ เรื่องราวของสหายผู้นี้แน่นอนว่าเขาย่อมรับรู้ทั้งหมด
การที่โจวอี้เฉินล้มป่วยลงเช่นนี้มิใช่เรื่องปกติ
"องค์หญิงจะทรงออกเดินทางเมื่อใดหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"อีกสามวันข้างหน้า"
"หนทางลำบากยิ่งนัก เกรงว่าจะไม่สะดวกเท่าที่ควร มิสู้ให้หมอหลวงในวังถวายการรักษาไปก่อนดีหรือไม่?"
"เดิมทีข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ยามนี้ข้ามิไว้ใจผู้ใดทั้งสิ้น ท่านหมอเทวดาเป็นอาจารย์ที่ข้านับถือ เขาย่อมมีหนทางรักษาอาเฉินเป็นแน่ ลั่วจินหยางเจ้าดูเอาเถิด อาเฉินในยามนี้ราวกับคนตาย แต่ทว่าเขากลับยังหายใจอยู่ เนื้อตัวก็อุ่นไม่เย็นเฉียบเหมือนคนที่ตายไปแล้ว ข้าว่าเรื่องนี้มันไม่ปกติ เช่นนั้นข้าจึงมิอาจไว้วางใจผู้ใดในวังหลวงแห่งนี้ได้"
ลั่วจินหยางที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย เขามองดูโจวอี้เฉินอย่างพิจารณา เห็นเพียงริมฝีปากที่เป็นสีม่วงคล้ำของโจวอี้เฉิน และใบหน้าที่ซีดเผือดเพียงเท่านั้น แต่ทว่าลมหายใจยังคงสม่ำเสมอแต่แผ่วเบา
เป็นไปได้หรือไม่ว่าโจวอี้เฉินจะถูกวางยาพิษ
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงรับปากโจวอวี้หลันทันทีแล้วจึงขอตัวไปจัดแจงเหล่าทหารให้เตรียมเฝ้าเวรยามตำหนักบูรพาอย่างเคร่งครัด ก่อนจะเดินออกไป เขาได้หันมาเอ่ยถามนางอีกหนึ่งประโยค
"หากผ่านเรื่องราวในครานี้ไปได้ กระหม่อมขอเป็นสามีองค์หญิงได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
โจวอวี้หลันที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่งนางทั้งเขินอายทั้งโกรธเคืองไม่น้อย ลั่วจินหยางยื่นมือเข้ามาหวังจะแตะตัวนางแต่ทว่า
ผลัวะ!!!
"โอ๊ะ!!! องค์หญิง!"
"ขออภัยรองแม่ทัพลั่ว ข้าเป็นโรคมือชักน่ะ หากบุรุษเข้าใกล้มากเกินไป ข้าจะต้องยื่นมือไปตบศีรษะหรือไม่ก็ใบหน้าของเขา มันห้ามไม่ได้จริง ๆ"
"อ้อ พ่ะย่ะค่ะ!"
ลั่วจินหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดูก็รู้ว่านางจงใจตบเขาจนหน้าสั่น
เอาเถิด!!! เขาจะหาทางเอาคืนนางให้จงได้ เขาจะทำให้นางร้องครวญครางจนแทบขอชีวิต
จะทำเช่นไรได้ เขาหลงรักในตัวนางมาหลายปี และหลงรักหน้าอกของนางด้วย!!!
โจวอี้เฉินมองดูเหตุการณ์ทั้งหมด ก่อนจะถลึงตาใส่ลั่วจินหยาง แต่ลั่วจินหยางกลับไม่เห็นเขา
สหายชั่วผู้นี้คิดจะจับพี่หญิงของเขาเป็นภรรยาหรือ!!!
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว โจวอวี้หลันจึงมุ่งหน้าไปพบเสด็จพ่อของตนทันที เพื่อปรึกษาเรื่องของโจวอี้เฉิน
ฮ่องเต้โจวเหลียนจ้องมองพระธิดาของตนด้วยสายตาที่รักใคร่เอ็นดูไม่น้อย
"เรื่องของโจวอี้เฉินข้าเข้าใจแล้ว"
"เช่นนั้นอีกสามวันลูกจะออกเดินทางนะเพคะ การเดินทางครั้งนี้ รองแม่ทัพลั่วจะเป็นผู้อารักขาด้วยตนเอง เขาเป็นสหายของอาเฉินย่อมไว้ใจได้มากกว่าผู้อื่นเพคะ"
"เช่นนั้นก็ดี หากโจวอี้เฉินฟื้นขึ้นมาเมื่อใด เจ้าเป็นพี่สาวของเขา จะต้องอบรมสั่งสอนน้องชายผู้นี้ให้ดี มิให้เขาเอาแต่เที่ยวเล่นทำตัวเสเพลอีก หากยังแก้นิสัยเช่นนี้ไม่หาย เห็นทีข้าคงต้องปลดเขาออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท และหาผู้ที่เหมาะสมกว่าขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้แทนเขาเอง"
"เพคะ ขอบพระทัยเสด็จพ่อ"
"เจ้าไปเตรียมการให้พร้อมเถิด ขาดเหลือสิ่งใดก็แจ้งราชเลขาได้ทุกเมื่อ"
"เพคะ"
โจวอวี้หลันอยู่พูดจากับเสด็จพ่อของตนต่ออีกครู่หนึ่งก่อนจะกลับตำหนักของตนไป
เซียวฮองเฮาเมื่อได้ทราบเรื่องที่โจวอวี้หลันจะพาโจวอี้เฉินไปรักษาที่นอกเมืองหลวง ก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
หึ! มิต้องรอให้โจวอี้เฉินได้รับการรักษาจนฟื้นขึ้นมาหรอก นางจะส่งคนไปสังหารพวกมันระหว่างทางเอง!!!
รัชศกอี้เฉินปีที่ 30 เข้าสู่ช่วงเหมันต์ฤดู อากาศค่อนข้างหนาวเย็นเป็นอย่างมาก ยามนี้ลั่วหนิงฮวากำลังนั่งสนทนาอยู่กับโจวอวี้หลันด้านในตำหนักเฟิ่งหวง พวกเขาทั้งสองอายุมากแล้ว แต่ทว่าความงดงามกลับไม่ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ยามว่างโจวอวี้หลันมักจะเข้าวังมาเยี่ยมนางอยู่เสมอ"พี่หญิง ท่านลองดื่มชาหลงจิ่งถ้วยนี้ดูเถิด รสชาติดียิ่งนัก" "อืม" โจวอวี้หลันยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม รสชาติหวานล้ำและกลิ่นหอมของใบชาทำให้นางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ "ได้ยินว่าสองวันก่อน องค์รัชทายาท องค์ชายรองและองค์หญิง ออกไปเที่ยวเล่นนอกวังหลวงมาหรือ" โจวอวี้หลันเอ่ยถามขึ้นมา ลั่วหนิงฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย นางมีพระโอรสสององค์ และองค์หญิงอีกหนึ่งองค์ ลูกทั้งสามมีอายุไม่ห่างกันมากเท่าใดนัก โจวเทียนสิงเป็นองค์รัชทายาท ปีนี้อายุสิบแปดปีเต็มแล้ว โจวเซิงหยวน องค์ชายรองปีนี้อายุสิบหกปีเต็ม และโจวหงอี้อายุสิบสี่ปีเต็ม บุตรทั้งสามของนางนั้นสร้างแต่เรื่องปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน "พี่หญิง พูดถึงพวกเขาแล้วข้าเหนื่อยใจยิ่งนัก" "เอาเถิด เด็ก ๆ ก็เป็นเช่นนี้ ดูลั่วเฟิงบุตรชายคนเดียวของข้าสิ เขาก็เที่ยวเล่นเช่นนี้ประจำ
"อะ อื้อออ!!!" เสียงครวญครางแผ่วต่ำสลับกับเสียงฝนที่โปรยปรายในยามค่ำคืน สร้างความร้อนรุ่มให้แก่โจวอี้เฉินเป็นอย่างยิ่ง"เด็กดี นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น" "อาเฉินร่างกายท่าน!!! ""มิต้องกังวลท่านหมอเทวดาบอกว่าข้าหายดีแล้ว""อื้ออออ!!!" ลั่วหนิงฮวารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อถูกโจวอี้เฉินมอบรสจูบที่แสนเร่าร้อนให้แก่นางเช่นนี้ เขาสอดลิ้นอุ่นร้อนเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นชื้นแฉะของนางอย่างเอาแต่ใจ ยามนี้อาภรณ์ที่แสนประณีตงดงามกลับถูกเขาดึงทึ้งลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว ร่างกายของนางเปลือยเปล่าอ่อนระทวยอยู่ภายใต้ร่างแกร่งของเขา มือหนาใหญ่ลูบไล้ไปทั่วเรือนกายขาวผ่องอย่างซุกซน ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนใบหน้ามาจูบไซ้ที่ซอกคอขาวเนียนของนาง และค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าลงมาที่สองเต้าอวบสวย โจวอี้เฉินครอบริมฝีปากกลืนกินยอดปทุมถันสีหวานของนางอย่างหื่นกระหาย มือหยาบกร้านบีบขยำดอกบัวงามจนเกิดเป็นรอยแดงทั้งสิบนิ้ว "อื้ออออ ข้าเสียว!!!" ลั่วหนิงฮวาแอ่นอกสวยให้เขาเชยชมอย่างไม่ขัดขืน โจวอี้เฉินแลบลิ้นเลียจุกบัวสีหวานของนางอย่างหยอกเย้า ตั้งแต่คลอดพระโอรสองค์แรก เขากับนางก็ห่างเหินเรื่องสัมพันธ์สวาทเช่นนี้มานา
นอกจากจะสังหารโจวเหวินกวงแล้ว หนึ่งเดือนต่อมา โจวอี้เฉินก็พบกับเบาะแสที่จวิ้นอ๋องหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อห้าปีก่อน จวิ้นอ๋องเป็นน้องชายของเสด็จพ่อและเป็นเสด็จอาอีกคนของเขา เมื่อสืบค้นตามคำบอกเล่าของวิญญาณจวิ้นอ๋อง จึงพบว่าเขาถูกโจวเหวินกวงสังหารและฝังร่างไว้ที่ท้ายจวนชินอ๋องอย่างเลือดเย็น เพียงเพราะเขาไปได้ยินว่าโจวเหวินกวงวางแผนจะลอบวางยาอดีตฮ่องเต้ แต่กลับทำไม่สำเร็จ เพราะเสด็จพ่อของเขาก็ทรงระวังพระองค์ไม่น้อยแท้จริงโจวเหวินกวงคิดเรื่องนี้มานานหลายปีแล้ว มิใช่เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ จวิ้นอ๋องก็ไม่ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยตามคำบอกเล่าของคนอื่น ๆ ที่บอกว่าเขาถูกฆ่าเพราะมัวเมาสตรีผิดลูกผิดเมียผู้อื่น แต่แท้จริงแล้ว เพราะไปรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้มาก่อนเพียงเท่านั้น จึงถูกสังหารจนตกตายร่างของจวิ้นอ๋องถูกนำกลับมาฝังในสุสานราชวงศ์อย่างสมเกียรติ "อาเฉินขอบใจเจ้ามาก" "เสด็จอาจวิ้นอ๋องมิต้องเกรงใจ""อาเฉิน เดิมทีข้าจะต้องไปเกิดแล้ว แต่เพราะความงามของลั่วฮองเฮา ข้าจึงอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อย" โจวอี้เฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันขวับไปมองจวิ้นอ๋องทันที "เสด็จอา ท่านอยากตายรอบสองหรือไม่พ่ะ
เมื่อได้รับราชโองการฉบับจริงกลับมาแล้ว โจวอี้เฉินจึงขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้หยางโจวพระองค์ใหม่อย่างถูกต้องตามพระราชประเพณี โจวเหวินกวงถูกจับขังเอาไว้ที่คุกหลวง โจวอี้เฉินสั่งให้คนจับตาดูเขาทุกฝีก้าวเพื่อมิให้เขาลักลอบฆ่าตัวตายได้สำเร็จ เพราะมีความตายที่เขารอจะมอบให้โจวเหวินกวงอยู่แล้ว หยางโจวรัชศกอี้เฉิน ปีที่หนึ่ง วันนี้เป็นฤกษ์มงคลที่โหราจารย์คัดสรรมาอย่างดี ท้องฟ้าและแสงแดดค่อนข้างปลอดโปร่งเป็นใจยิ่งนัก บนถนนซึ่งทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด มีขบวนเกียรติยศขบวนหนึ่ง ค่อย ๆ เคลื่อนไปอย่างช้า ๆ ท่ามกลางเสียงดนตรีบรรเลงเพลงขับขานชวนหลงใหล เกี้ยวมงคลสีเหลืองทอง ขนาดสิบหกคนหาม ม่านเกี้ยวปักดิ้นทองลายหงส์น่าเกรงขามโดดเด่นงดงามตระการตามิใช่น้อย เกี้ยวมงคลอันงดงามนี้เคลื่อนขบวนจากจวนตระกูลลั่วมุ่งหน้าสู่วังหลวง สตรีที่คู่ควรกับขบวนเกียรติยศงดงามโอ่อ่าหลังนี้มีเพียงฮองเฮาเท่านั้น ลั่วหนิงฮวาสวมชุดสีทองปักลายหงส์งามสง่า บนศีรษะประดับมงกุฎหงส์ ขับเน้นให้ใบหน้าสวยหวานดูงดงามน่าเกรงขามไม่น้อย ยามนี้นางกำลังนั่งอยู่ในเกี้ยวเพื่อมุ่งหน้าสู่พระราชวัง ขบวนเกียรติยศมาถึงวังหลวงอย่างสง่างาม ยามที่นาง
โจวเหวินกวงลนลานปล่อยมือออกจากร่างของลั่วหนิงฮวาก่อนจะทรุดกายลงไปกับพื้น แล้วจึงสั่งเหล่าทหารให้เตรียมต้านรับสุดกำลัง เมื่อหันมาอีกครากลับพบว่านางหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว วิญญาณจวิ้นอ๋องและอดีตฮองเฮาบดบังกายนางเอาไว้ อีกทั้งยังบอกนางว่าโจวเหวินกวงคนสารเลวได้สังหารท่านตาของโจวอี้เฉินไปก่อนหน้าแล้ว ลั่วหนิงฮวากำมือแน่น ความเกลียดชังที่มีต่อโจวเหวินกวงยิ่งทบทวีมากขึ้นไปอีกลั่วหนิงฮวามุ่งหน้ามายังตำหนักเย็นซึ่งเป็นที่ที่โจวอวี้หลันถูกจับกุมตัวเอาไว้ ระหว่างทางนางแอบหยิบดาบและธนูของทหารที่วางไว้ติดมือมาด้วย"พี่หญิง!!!" "หนิงเอ๋อร์ เจ้า!!!" "พี่หญิง ฮึก ท่านตาของท่านและท่านพ่อของข้า ถูกประหารสิ้นแล้ว!!!" โจวอวี้หลันที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ ลั่วหนิงฮวาที่ไร้เรี่ยวแรงไม่น้อยไปกว่ากัน ต้องเข้ามาช่วยประคองโจวอวี้หลันเอาไว้ "พี่หญิง หนีก่อนเถิด!!!" "หนีเช่นไร ยามนี้ข้าไม่มีอาวุธเลย!!!" "ไม่ต้องกังวล ระหว่างทางข้าแอบหยิบดาบของทหารและธนูติดมาด้วย โจวอี้เฉินมาถึงแล้ว เราย่อมหนีออกไปได้ รีบไปเถิด ยามนี้กองทัพของอาเฉินและพี่ใหญ่กำลังรอเราอยู่!!!" โจวอวี้หลันที่ได้ยินเช่
ลานประหาร โจวเหวินกวงสั่งให้ทหารนำแม่ทัพลั่วไปมัดขึงเอาไว้ที่กลางลานประหาร ก่อนจะลากตัวลั่วหนิงฮวามายืนอยู่กับเขา และใช้แขนล็อกคอของนางเอาไว้มิให้ขยับหนีไปได้ "หนิงฮวา เจ้าจงดูให้เต็มตาเสียเถิด เพราะต้องการปกป้องเจ้าและคิดขัดคำสั่งข้า พ่อของเจ้าต้องพบกับจุดจบเช่นใด" "ปล่อยข้า!!!""ปล่อยแน่นอน แต่หลังจากที่ข้าฆ่าพ่อของเจ้าเรียบร้อยแล้ว!!!" "เหวินกวง ไอ้คนต่ำช้า!!!" "มานี่!!!" โจวเหวินกวงฉุดกระชากลากถูลั่วหนิงฮวามายืนอยู่ไม่ไกลจากแม่ทัพลั่วมากนัก ลั่วหนิงฮวาจ้องมองผู้เป็นบิดาด้วยความเจ็บปวด ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ หยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินไม่ขาดสาย แม่ทัพลั่วส่งยิ้มให้บุตรสาวอีกคราหนึ่งด้วยความเหนื่อยล้า เขาตรากตรำอยู่ในสนามรบ ต่อสู้เพื่อแคว้นเพื่อราษฎรมานานหลายปี ไม่ตกตายในสนามรบ แต่กลับถูกสังหารเพราะคนชั่ว ช่างเถิด ชีวิตคนเราก็มีเพียงเท่านี้ จะเกรงกลัวความตายไปไยกัน"อย่ารับปากคนชั่ว นี่เป็นคำขอสุดท้ายของพ่อ พ่อหวังเพียงให้พวกเจ้าจดจำเรื่องราวในวันนี้ให้ดี แล้วจงเข้มแข็ง อยู่ต่ออย่างภาคภูมิ" "ท่านพ่อออออ!!!" "ถึงตายข้าก็ไม่เสียใจ ข้าเป็นทหาร มีเลือดนักรบไหลเวียนอยู่ในกาย ข้