เมื่อจัดการปลาที่จับมาได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลั่วหนิง ฮวาจึงให้แม่นมหยางและซือลี่นำไปขายที่ตลาด แม่นมหยางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมไปแต่โดยดี ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม แม่นมหยางและซือลี่ก็กลับมาที่เรือนด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้นดีใจ
"คุณหนู!!! ปลาพวกนั้นขายได้ตั้งหนึ่งตำลึงเงินน่ะเจ้าค่ะ!!!"
แม่นมหยางยื่นตำลึงเงินก้อนนั้นให้แก่ลั่วหนิงฮวา นางรับมันมาพิจารณาเพียงเล็กน้อย แต่ก่อนนางเห็นเงินมากมายมหาศาลมานับไม่ถ้วน เงินเพียงเท่านี้นับว่าน้อยนิดยิ่งนัก แต่ทว่าเมื่อเห็นแม่นมหยางและซือลี่ดีใจถึงเพียงนั้น นางจึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
บางคราเงินเพียงน้อยนิดอาจมีค่าสำหรับคนบางคน อย่างเช่นนางในตอนนี้
"คุณหนู พรุ่งนี้ยามเช้า บ่าวจะไปซื้อของกินดีดีมาให้คุณหนูนะเจ้าคะ เมื่อครู่มัวแต่ดีใจ บ่าวจึงลืมไปเสียเลย"
"ช่างเถิด ข้าอยากกินน้ำแกงปลา แม่นมหยางทำมาให้ข้ากินที"
"เจ้าค่ะ เอ่อ คุณหนู ยาที่ใช้รักษาใบหน้าของคุณหนูไม่มีแล้วนะเจ้าคะ"
แม่นมหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมอง เพราะความลำบากทำให้คุณหนูไม่ได้รับการรักษาที่ดี ใบหน้าของคุณหนูจึงเป็นเช่นนี้
"เอาเถิด วันพรุ่งข้าจะจับปลามาเพิ่มอีก หากขายได้เงินมากกว่าวันนี้ แม่นมก็นำมันไปซื้อยาให้ข้าก็แล้วกัน"
"เจ้าค่ะคุณหนู"
"ใส่ฮวาเจียวมากหน่อย ข้าชอบกินเผ็ด"
"เอ๋ ยามปกติคุณหนูมิกินเผ็ดนะเจ้าคะ"
"เช่นนั้นหรือ แต่ยามนี้ข้าอยากเปลี่ยนรสชาติดูบ้าง"
"ได้เจ้าค่ะ"
ลั่วหนิงฮวาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะกลับเข้าไปรอในห้อง ดวงตาคู่สวยทอดมองไปยังหิมะด้านนอกที่เริ่มเบาบางลงบ้างแล้ว ไม่นานนักแม่นมหยางก็นำน้ำแกงปลามาให้นาง ลั่วหนิงฮวายกถ้วยน้ำแกงปลาขึ้นซดอย่างเอร็ดอร่อย มื้อนี้ช่างพิเศษยิ่งนัก เป็นมื้อที่อิ่มที่สุดตั้งแต่นางข้ามภพมาอยู่ในร่างนี้
กลางดึกในคืนนั้น ขณะที่ลั่วหนิงฮวากำลังนอนหลับอย่างสบายใจ แต่นางกลับต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงบางอย่างที่นอกเรือน
ลั่วหนิงฮวาค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะกวาดสายตามองฝ่าความมืด นางยังคงเห็นแม่นมหยางและซือลี่นอนหลับสนิทอยู่ที่พื้นด้านล่างเตียง
ปัง!!!
ยังไม่ทันที่ลั่วหนิงฮวาจะได้สงสัยสิ่งใด เสียงประตูไม้ด้านนอกก็ดังขึ้นเสียก่อน คล้ายกับว่ามีคนตั้งใจถีบมันจนพังโครมลงมาเสียอย่างนั้น แสงไฟในเรือนสว่างไสวขึ้นในชั่วพริบตา แม่นมหยางและซือลี่ดีดตัวลุกขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ
"คุณหนูเกิดสิ่งใดขึ้นเจ้าคะ!!!"
แม่นมหยางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก ลั่วหนิง ฮวาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน แต่เพราะใบหน้าเป็นอัมพาตนางจึงมิอาจแสดงสีหน้าใดใดออกมาได้
"โอ้ววว มีสาวน้อยด้วย!!!"
เบื้องหน้าของลั่วหนิงฮวาในยามนี้ ปรากฏร่างของบุรุษสี่ถึงห้าคนที่สวมชุดสีดำ ใบหน้าดูโหดเหี้ยม ในมือของพวกมันถือไม้เอาไว้ พวกมันจ้องมองมาที่ลั่วหนิงฮวาด้วยดวงตาเป็นประกาย แม่นมหยางและซือลี่ตื่นตระหนกเสียจนทำสิ่งใดไม่ถูก
ลั่วหนิงฮวาจ้องมองบุรุษตรงหน้าก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่รีบไม่ร้อน
"พวกเจ้าบุกเข้ามาในเรือนข้ายามวิกาลเช่นนี้ต้องการสิ่งใด"
"แม่นาง ส่งเงินของเจ้ามาให้หมด ข้าติดตามยายแก่นี่มา เห็นมันขายปลาได้ตำลึงมากมาย เอามาให้พวกข้าให้หมด!!!"
หนึ่งในชายชุดดำตะคอกใส่ลั่วหนิงฮวาอย่างโหดเหี้ยม แต่ทว่าลั่วหนิงฮวากลับไม่มีท่าทีสะทกสะท้านให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
"จะปล้นหรือ?"
"เอ่อ..."
"เช่นนั้นก่อนจะปล้นก็มานั่งกินข้าวด้วยกันสักมื้อเถิด อิ่มแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะปล้นดีหรือไม่?"
เหล่าชายชุดดำมองหน้ากันไปมาด้วยความตกใจ ตั้งแต่เป็นโจรมาเขาเพิ่งจะเคยเห็นเรื่องราวเช่นนี้
ชวนโจรกินข้าว?
"แม่นางอย่ามาเล่นลิ้น!!!"
"พี่ชายทั้งหลาย พวกท่านใจเย็นก่อนเถิด ข้าเองมิใช่ว่าไม่ยินยอม แต่พวกท่านมากันเหนื่อย ๆ คงหิวมิใช่น้อย ดูสิ แต่ละคนผอมโซถึงเพียงนี้ ช่างน่าเวทนายิ่งนัก"
ลั่วหนิงฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน บุรุษเหล่านั้นเมื่อได้เห็นท่าทางบอบบางน่าทะนุถนอมของนางก็พลันใจอ่อนยวบ
"มิใช่ว่าเจ้าคิดวางยาพวกข้าหรือ?"
"เฮ้อ ไม่แน่นอนเจ้าค่ะ แม่นมหยาง ซือลี่ ไปนำอาหารมา"
"แต่คุณหนู"
"ไปเอามาเถิด"
แม่นมหยางและซือลี่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบลุกขึ้นเดินไปที่โรงครัวทันที โดยมีบุรุษชุดดำผู้หนึ่งติดตามไปด้วย
ผ่านไปไม่นานนัก แม่นมหยางและซือลี่ก็นำสำรับเข้ามาวางบนโต๊ะ สำรับตรงหน้าทำให้บุรุษเหล่านั้นถึงกับเลิ่กลั่ก
ข้าวต้มเกลือ?
บัดซบเถอะ!!! พวกเขายังได้กินดีกว่านางเสียอีก!!!
"พี่ชายท่านเห็นหรือไม่ ข้าจะมีสิ่งใดให้พวกท่านปล้นกัน ข้าน่ะหาปลาประทังชีวิต ยามนี้ก็ล้มป่วยเจ็บหนัก เงินที่หามาได้ก็ต้องเอามารักษาใบหน้าตน ท่านเห็นหรือไม่ใบหน้าข้าเป็นอัมพาตมิอาจรักษาได้ ฮึก ซ้ำร้าย ข้ายังถูกคนในตระกูลนำมาทิ้งที่นี่อีก ฮือ" เหล่าบุรุษเมื่อได้ยินเรื่องราวเช่นนี้ก็ให้เศร้าหมองยิ่งนัก แท้จริงพวกเขามิใช่โจรโดยสันดาน แต่เป็นชาวบ้านที่ตกอับ ไร้หนทางทำมาหากินจึงต้องทำเช่นนี้ น่าเวทนายิ่งนัก! หนึ่งในบุรุษชุดดำถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าให้สหายตน นำไก่ย่างที่ขโมยมาได้มอบให้แก่ลั่วหนิง ฮวา ลั่วหนิงฮวายิ้มกริ่มอยู่ในใจ เรื่องโน้มน้าวขอความเห็นใจจากคนอื่นน่ะนางถนัดยิ่งนัก "ขอบคุณพี่ชาย" "แม่นาง หากไร้ที่พึ่ง ข้าจะรับเจ้ามาเป็นภรรยา หากเจ้ายินยอม ข้าสัญญาจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี""พี่ชาย!!!"ลั่วหนิงฮวาแสร้งทำเป็นเขินอาย แม่นมหยางและซือลี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ใจหายวาบ นึกอยากห้ามปรามคุณหนูของตน แต่ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าโหดเหี้ยมของชายผู้นั้นก็มิกล้าปริปากเอ่ยสิ่งใดออกไปชายชุดดำผู้เป็นหัวหน้า เมื่อเห็นว่าลั่วหนิงฮวามีท่าทีเขินอายก็ยกยิ้มด้วยความพึงพอใจไม่น้อย สตรีงามถึงเพ
ท้ายที่สุดเหล่าบุรุษผู้เคราะห์ร้ายก็มิอาจต้านทานลั่ว หนิงฮวาได้ พวกเขานอนซมอยู่กับพื้นรู้สึกระบมไปทั่วทั้งกาย ในใจนึกหวาดกลัวสตรีน้อยนางนี้ยิ่งนัก ลั่วหนิงฮวาหยิบไก่ย่างที่เหลือขึ้นมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย นี่นับเป็นความดีความชอบของโจรมือใหม่พวกนี้ที่นำอาหารมาให้นางถึงที่ เหล่าชายชุดดำลอบมองลั่วหนิงฮวาเป็นระยะ ในใจนึกสบถด่าทอนางเป็นพันครั้ง หน้าด้านยิ่งนัก!!! ทุบตีผู้อื่นแล้วยังเอาไก่เขาไปกินอีก!!! หัวหน้าชายชุดดำจ้องมองลั่วหนิงฮวาอย่างไม่ลดละ จู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นในหัวของเขา สตรีเก่งกาจถึงเพียงนี้ หากพวกเขาได้ติดตามย่อมดีไม่น้อย บางคราอาจจะไม่ต้องอดตายเลยด้วยซ้ำ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ชายชุดดำจึงส่งยิ้มหวานเยิ้มไปให้ลั่ว หนิงฮวา ลั่วหนิงฮวารับรู้ได้ว่ามีคนจ้องมองนางอยู่ จึงหันกลับไปมองทันที ใบหน้าเย็นชาของนางทำให้หัวหน้าชายชุดดำถึงกับสะดุ้งโหยง "มองข้าด้วยเหตุอันใดกัน?" "เอ่อ..." "รีบพูดมา ก่อนที่ข้าจะเอาไม้นี่ฟาดเจ้าอีกรอบ" ไม่กล้าแล้ว!!! แม่นางโปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด!!!" "ศิษย์?" ลั่วหนิงฮวาหันไปจ้องมองหัวหน้าชายชุดดำด้วยสายตาที่เรียบเฉย ใบหน้าสวยเงียบสงบราว
ลั่วหนิงฮวาเดินเข้าไปในโรงพนัน ก่อนจะปรายตามองไปโดยรอบ คนเฝ้าประตูที่เห็นนางก็รีบเข้ามาขวางทันที "แม่นางน้อย นี่มิใช่สถานที่ที่เจ้าจะเข้ามาเที่ยวเล่นได้" "ข้าไม่ได้มาเที่ยวเล่น ข้าจะเล่นการพนันต่างหาก""เอ๋?" "ข้ามีเงิน" "หึ! เช่นนั้นก็เข้าไป"ชายผู้คุมประตูเหลือบมองใบหน้างดงามของลั่วหนิงฮวาคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มเยาะในใจ คอยดูเถิด พวกเขาพบเจอสตรีเช่นนี้มามากนัก ทำเป็นอวดเก่ง สุดท้ายก็ใช้ร่างกายมาขัดดอกแทน เรื่องราวเช่นนี้มีให้เห็นไม่เว้นวันลั่วหนิงฮวามิได้เอ่ยสิ่งใด นางก้าวเดินเข้ามาในโรงพนันหลัวหยงโดยไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นใดใดเลยแม้แต่น้อย ภายในประดับตกแต่งได้หรูหราไม่เบา ผู้คนด้านในก็มากมายจนหนาตาไปหมด จางสงที่เดินตามลั่วหนิงฮวาเข้ามาก็รีบเอ่ยถามทันที"ลูกพี่ ท่านจะเล่นจริง ๆ หรือ?" "จริงสิ เจ้าเห็นลูกเต๋านั่นหรือไม่""ลูกเต๋า? โยนลูกเต๋าน่ะหรือ?" "ใช่แล้ว ตามข้ามา" ลั่วหนิงฮวาเดินตรงไปยังโต๊ะที่ใช้สำหรับโยนลูกเต๋า เมื่อไปถึงก็พบกับชายผู้หนึ่ง ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าที่เจ้าเล่ห์ "เอาละ เอาละ พี่น้องทั้งหลาย วันนี้ข้าจะให้พวกเจ้าได้ร่วมสนุกสนาน การเล่นโยนลูกเต๋าจะมีเพียงส
"หยุดเดี๋ยวนี้!!!"เสียงจากด้านหลังทำให้ลั่วหนิงฮวาและจางสงต้องหันไปมอง ก่อนจะพบกับชายฉกรรจ์ใบหน้าโหดเหี้ยมสองคนที่ก้าวเดินเข้ามาหานาง "เอาตั๋วเงินคืนมา"หนึ่งในชายฉกรรจ์สองคนนั้นยื่นมือมาทางลั่วหนิงฮวา พร้อมกับออกคำสั่ง น้ำเสียงของเขาฟังดูไร้ความเป็นมิตรและยังข่มขู่อีกด้วย ลั่วหนิงฮวาจ้องมองชายผู้นั้นตอบอย่างไม่ลดละ "เจ้านายเจ้าให้มาทวงคืนหรือ?" "อย่าสู่รู้ ส่งตั๋วเงินมา" "นี่เป็นตั๋วเงินของข้า" "อย่าให้ข้าต้องใช้กำลัง หากไม่ยอมส่งมาให้ข้าแต่โดยดี ข้าจะใช้ไม้นี่ฟาดพวกเจ้าทั้งสองเสีย!!!""พวกเจ้านี่พูดไม่รู้ฟังจริงเชียว นี่มันเงินข้า!!!" "เช่นนั้นขออภัยด้วยที่ข้าต้องล่วงเกินแม่นาง""ตามสบาย"ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเตรียมจะพุ่งเข้ามาหาลั่วหนิงฮวา แต่ทว่านางกลับหลบหลีกได้อย่างพลิ้วไหว มือสวยยื่นออกไปแย่งไม้ในมือของชายผู้นั้นได้อย่างรวดเร็ว พวกมันไม่ทันตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ กว่าจะรู้ตัวก็ถูกนางใช้ไม้นั้นฟาดใส่ไม่ยั้งเสียแล้ว ผัวะ!!! "อ๊าสสส!!!""จางสง ยืนบื้ออยู่ทำไม ฟาดมันสิ!!! ฟาดให้ตายไปเลย!!!""ขอรับลูกพี่!!!"ชายฉกรรจ์สองคนส่งเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด พวกนั้นถูกลั่วหนิงฮวาฟาดไม้
วังหลวงตำหนักบูรพา "ฮืออออ องค์รัชทายาท!!!"เสียงร่ำไห้คร่ำครวญของเหล่านางกำนัลและขันทีดังกึกก้องไปทั่วทั้งตำหนักบูรพา ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์รัชทายาท โจวอี้เฉิน ผู้เป็นพระโอรสองค์โตของฮ่องเต้โจวเหลียนไม่ไกลมากนัก ปรากฏร่างของสตรีวัยกลางคนนางหนึ่ง ผู้สวมชุดสีแดงงดงามน่าเกรงขาม ใบหน้าสวยหวานดูเย็นชาอำมหิต นางแสยะยิ้มจ้องมองร่างไร้วิญญาณของโจวอี้เฉินอย่างดูแคลน นางก็คือเซียวฮองเฮา มารดาเลี้ยงของโจวอี้เฉิน ทุกการกระทำและการแสดงออกบนใบหน้าของนาง อยู่ในสายตาของโจวอี้เฉินทั้งหมด ในยามนี้วิญญาณของเขาหลุดลอยออกจากร่าง กลายเป็นเพียงดวงจิตดวงหนึ่งเท่านั้น จึงทำให้เขาสามารถรับรู้ได้ในทันที ว่าที่ผ่านมาเขากลายเป็นเครื่องมือให้พวกคนชั่วหลอกใช้มานานหลายปี เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กอายุเพียงแปดขวบปี อดีตฮองเฮาผู้เป็นมารดาได้สิ้นพระชนม์ลงอย่างกะทันหัน เสด็จพ่อจึงแต่งตั้งเซียวกุ้ยเฟยขึ้นเป็นฮองเฮา คอยอบรมเลี้ยงดูเขา นางเลี้ยงดูเขาราวกับบุตรในอุทร จนเขาหลงเชื่อนางทุกคำ ยอมละทิ้งตระกูลฝั่งท่านแม่ มอบป้ายทางการทหารของเสด็จแม่ให้นางดูแลทั้งหมด เมื่อนางได้สมดั่งใจปรารถนา จึงวางยาพิษเขาอย่างเลือดเย็
"องค์หญิง กระหม่อมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ในขณะที่โจวอวี้หลันกำลังครุ่นคิดหาทางออกอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา นางหันไปมอง ก่อนจะพบกับ ลั่วจินหยาง รองแม่ทัพลั่วที่นางส่งคนให้เรียกตัวเขาเข้าวังหลวงก่อนหน้านี้ลั่วจินหยาง เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลลั่ว เขาคือพี่ชายร่วมมารดากับลั่วหนิงฮวา โจวอวี้หลันจ้องมองเขาอย่างพิจารณา ใบหน้าหล่อเหลา แต่ผิวออกจะคล้ำไปเสียหน่อย โดยรวมแล้วถือว่าเป็นบุรุษที่รูปงามผู้หนึ่ง "รองแม่ทัพลั่ว ข้าอยากขอความช่วยเหลือจากท่าน" "เชิญองค์หญิงรับสั่งมาได้พ่ะย่ะค่ะ เพื่อองค์หญิงแล้ว กระหม่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง" ลั่วจินหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม แต่ทว่าดวงตาคมกลับเหลือบมองหน้าอกหน้าใจของโจวอวี้หลันเป็นระยะ โอวว เหมือนจะใหญ่ขึ้นสินะ? ช้าก่อน! นี่มิใช่เวลา โจวอวี้หลันเองก็พอจะรับรู้ว่าถูกลั่วจินหยางจ้องมอง นางลอบสบถด่าทอเขาเป็นพันครั้ง ในใจนึกอยากกระโดดถีบคนบ้ากามผู้นี้ออกไปจากตำหนักบูรพาเสีย "ข้าจะทูลต่อเสด็จพ่อ ขอพระราชทานอนุญาตให้นำโจวอี้เฉินไปรักษากับท่านหมอเทวดาที่หมู่บ้านชนบทนอกเมืองหลวง การเดินทางในครั้งนี้ ข้าอยากให้ท่านคอยอารักขาตั
สามวันต่อมาโจวอวี้หลันและลั่วจินหยางก็นำโจวอี้เฉินออกจากวังหลวงมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านชนบทที่ด้านนอกวังหลวงทันที เส้นทางที่พวกเขาผ่านนั้น มีต้นไม้ล้อมรอบ ยามนี้อากาศอุ่นขึ้นบ้างแล้ว หิมะจึงดูบางเบาลงไปไม่หนาตามากเท่าใดนัก สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาในรถม้าเป็นระยะ โจวอวี้หลันยื่นมือไปเปิดผ้าม่านเพื่อดูบรรยากาศโดยรอบ นางเงยหน้าไปสบตากับลั่วจินหยางที่หันมามองนางเข้าพอดี เขาส่งยิ้มให้นางเล็กน้อย ใจของนางกระตุกไหววูบหนึ่ง ก่อนจะรีบหลบสายตาเขาและปล่อยม่านรถม้าลง และหันกลับมามองโจวอี้เฉินที่นอนหลับอยู่ภายในรถม้าแทนระยะทางค่อนข้างไกลไม่น้อย ระหว่างทางขบวนรถม้าหยุดพักอยู่หลายครา โจวอวี้หลันเกรงว่าการเดินทางจะล่าช้า จึงสั่งให้รถม้าออกเดินทางต่อทันที จวบจนเข้าสู่เขตป่าใหญ่ จู่ ๆ ก็มีเหล่านักฆ่าชุดดำพุ่งทะยานเข้ามาสังหารเหล่าทหารอย่างรวดเร็ว ลั่วจินหยางที่เห็นเช่นนั้นก็หรี่ตามองเหล่านักฆ่าคราหนึ่ง ก่อนจะรีบพุ่งทะยานเข้าไปต่อสู้กับพวกมันอย่างไม่รอช้า โจวอวี้หลันรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ จู่ ๆ รถม้าก็หยุดกะทันหันเช่นนี้ย่อมมิใช่เรื่องดีแน่เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงยื่นมือไปเปิดผ้าม่านออกเพื่อมองดูสถานก
ลั่วจินหยางรีบวิ่งเข้ามาหาลั่วหนิงฮวาด้วยความดีใจ เขาสำรวจดูน้องสาวของตนอย่างพิจารณา คล้าย ๆ กับว่านางจะผอมลงไปไม่น้อย เมื่อคิดได้เช่นนั้น ใจของลั่วจินหยางก็ให้เจ็บปวดยิ่งนัก แต่ไหนแต่ไรมาเขามิค่อยได้อยู่จวนเท่าใดนัก จึงอาจจะดูห่างเหินกับน้องสาวผู้นี้ไปไม่น้อย แต่ถึงแม้จะใช้ชีวิตอยู่นอกจวนเป็นส่วนมาก แต่เขาเองก็รู้เรื่องที่ลั่วหนิงฮวาถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง เขานึกเจ็บใจไม่น้อย หากเขาได้สืบทอดจวนต่อจากท่านพ่อเมื่อใด เขาจะต้องปกป้องลั่วหนิงฮวาให้จงได้ "พี่ใหญ่" "หนิงเอ๋อร์ พี่ผิดต่อเจ้ายิ่งนัก พี่ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้" ลั่วจินหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดอย่างจริงใจ ลั่วหนิงฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกไป นางสัมผัสได้ถึงความห่างเหินระหว่างพี่น้องคู่นี้ แต่จะไปว่าลั่วจินหยางอยู่ในสนามสงครามเสียส่วนใหญ่ เรื่องนี้นางเข้าใจดี เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อย อย่างไรเสียนางก็ยังมีพี่ชายร่วมมารดาหลงเหลืออยู่ เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันแล้วไปเถิด นางมิใช่สตรีที่เย่อหยิ่งจองหองอันใดเหล่านั้น "ช่างเถิด ว่าแต่พี่ใหญ่มาได้อย่างไรหรือเจ้าคะ" ลั่วจินหยางที่ได้ยินน้อ
รัชศกอี้เฉินปีที่ 30 เข้าสู่ช่วงเหมันต์ฤดู อากาศค่อนข้างหนาวเย็นเป็นอย่างมาก ยามนี้ลั่วหนิงฮวากำลังนั่งสนทนาอยู่กับโจวอวี้หลันด้านในตำหนักเฟิ่งหวง พวกเขาทั้งสองอายุมากแล้ว แต่ทว่าความงดงามกลับไม่ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ยามว่างโจวอวี้หลันมักจะเข้าวังมาเยี่ยมนางอยู่เสมอ"พี่หญิง ท่านลองดื่มชาหลงจิ่งถ้วยนี้ดูเถิด รสชาติดียิ่งนัก" "อืม" โจวอวี้หลันยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม รสชาติหวานล้ำและกลิ่นหอมของใบชาทำให้นางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ "ได้ยินว่าสองวันก่อน องค์รัชทายาท องค์ชายรองและองค์หญิง ออกไปเที่ยวเล่นนอกวังหลวงมาหรือ" โจวอวี้หลันเอ่ยถามขึ้นมา ลั่วหนิงฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย นางมีพระโอรสสององค์ และองค์หญิงอีกหนึ่งองค์ ลูกทั้งสามมีอายุไม่ห่างกันมากเท่าใดนัก โจวเทียนสิงเป็นองค์รัชทายาท ปีนี้อายุสิบแปดปีเต็มแล้ว โจวเซิงหยวน องค์ชายรองปีนี้อายุสิบหกปีเต็ม และโจวหงอี้อายุสิบสี่ปีเต็ม บุตรทั้งสามของนางนั้นสร้างแต่เรื่องปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน "พี่หญิง พูดถึงพวกเขาแล้วข้าเหนื่อยใจยิ่งนัก" "เอาเถิด เด็ก ๆ ก็เป็นเช่นนี้ ดูลั่วเฟิงบุตรชายคนเดียวของข้าสิ เขาก็เที่ยวเล่นเช่นนี้ประจำ
"อะ อื้อออ!!!" เสียงครวญครางแผ่วต่ำสลับกับเสียงฝนที่โปรยปรายในยามค่ำคืน สร้างความร้อนรุ่มให้แก่โจวอี้เฉินเป็นอย่างยิ่ง"เด็กดี นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น" "อาเฉินร่างกายท่าน!!! ""มิต้องกังวลท่านหมอเทวดาบอกว่าข้าหายดีแล้ว""อื้ออออ!!!" ลั่วหนิงฮวารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อถูกโจวอี้เฉินมอบรสจูบที่แสนเร่าร้อนให้แก่นางเช่นนี้ เขาสอดลิ้นอุ่นร้อนเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นชื้นแฉะของนางอย่างเอาแต่ใจ ยามนี้อาภรณ์ที่แสนประณีตงดงามกลับถูกเขาดึงทึ้งลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว ร่างกายของนางเปลือยเปล่าอ่อนระทวยอยู่ภายใต้ร่างแกร่งของเขา มือหนาใหญ่ลูบไล้ไปทั่วเรือนกายขาวผ่องอย่างซุกซน ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนใบหน้ามาจูบไซ้ที่ซอกคอขาวเนียนของนาง และค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าลงมาที่สองเต้าอวบสวย โจวอี้เฉินครอบริมฝีปากกลืนกินยอดปทุมถันสีหวานของนางอย่างหื่นกระหาย มือหยาบกร้านบีบขยำดอกบัวงามจนเกิดเป็นรอยแดงทั้งสิบนิ้ว "อื้ออออ ข้าเสียว!!!" ลั่วหนิงฮวาแอ่นอกสวยให้เขาเชยชมอย่างไม่ขัดขืน โจวอี้เฉินแลบลิ้นเลียจุกบัวสีหวานของนางอย่างหยอกเย้า ตั้งแต่คลอดพระโอรสองค์แรก เขากับนางก็ห่างเหินเรื่องสัมพันธ์สวาทเช่นนี้มานา
นอกจากจะสังหารโจวเหวินกวงแล้ว หนึ่งเดือนต่อมา โจวอี้เฉินก็พบกับเบาะแสที่จวิ้นอ๋องหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อห้าปีก่อน จวิ้นอ๋องเป็นน้องชายของเสด็จพ่อและเป็นเสด็จอาอีกคนของเขา เมื่อสืบค้นตามคำบอกเล่าของวิญญาณจวิ้นอ๋อง จึงพบว่าเขาถูกโจวเหวินกวงสังหารและฝังร่างไว้ที่ท้ายจวนชินอ๋องอย่างเลือดเย็น เพียงเพราะเขาไปได้ยินว่าโจวเหวินกวงวางแผนจะลอบวางยาอดีตฮ่องเต้ แต่กลับทำไม่สำเร็จ เพราะเสด็จพ่อของเขาก็ทรงระวังพระองค์ไม่น้อยแท้จริงโจวเหวินกวงคิดเรื่องนี้มานานหลายปีแล้ว มิใช่เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ จวิ้นอ๋องก็ไม่ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยตามคำบอกเล่าของคนอื่น ๆ ที่บอกว่าเขาถูกฆ่าเพราะมัวเมาสตรีผิดลูกผิดเมียผู้อื่น แต่แท้จริงแล้ว เพราะไปรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้มาก่อนเพียงเท่านั้น จึงถูกสังหารจนตกตายร่างของจวิ้นอ๋องถูกนำกลับมาฝังในสุสานราชวงศ์อย่างสมเกียรติ "อาเฉินขอบใจเจ้ามาก" "เสด็จอาจวิ้นอ๋องมิต้องเกรงใจ""อาเฉิน เดิมทีข้าจะต้องไปเกิดแล้ว แต่เพราะความงามของลั่วฮองเฮา ข้าจึงอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อย" โจวอี้เฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันขวับไปมองจวิ้นอ๋องทันที "เสด็จอา ท่านอยากตายรอบสองหรือไม่พ่ะ
เมื่อได้รับราชโองการฉบับจริงกลับมาแล้ว โจวอี้เฉินจึงขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้หยางโจวพระองค์ใหม่อย่างถูกต้องตามพระราชประเพณี โจวเหวินกวงถูกจับขังเอาไว้ที่คุกหลวง โจวอี้เฉินสั่งให้คนจับตาดูเขาทุกฝีก้าวเพื่อมิให้เขาลักลอบฆ่าตัวตายได้สำเร็จ เพราะมีความตายที่เขารอจะมอบให้โจวเหวินกวงอยู่แล้ว หยางโจวรัชศกอี้เฉิน ปีที่หนึ่ง วันนี้เป็นฤกษ์มงคลที่โหราจารย์คัดสรรมาอย่างดี ท้องฟ้าและแสงแดดค่อนข้างปลอดโปร่งเป็นใจยิ่งนัก บนถนนซึ่งทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด มีขบวนเกียรติยศขบวนหนึ่ง ค่อย ๆ เคลื่อนไปอย่างช้า ๆ ท่ามกลางเสียงดนตรีบรรเลงเพลงขับขานชวนหลงใหล เกี้ยวมงคลสีเหลืองทอง ขนาดสิบหกคนหาม ม่านเกี้ยวปักดิ้นทองลายหงส์น่าเกรงขามโดดเด่นงดงามตระการตามิใช่น้อย เกี้ยวมงคลอันงดงามนี้เคลื่อนขบวนจากจวนตระกูลลั่วมุ่งหน้าสู่วังหลวง สตรีที่คู่ควรกับขบวนเกียรติยศงดงามโอ่อ่าหลังนี้มีเพียงฮองเฮาเท่านั้น ลั่วหนิงฮวาสวมชุดสีทองปักลายหงส์งามสง่า บนศีรษะประดับมงกุฎหงส์ ขับเน้นให้ใบหน้าสวยหวานดูงดงามน่าเกรงขามไม่น้อย ยามนี้นางกำลังนั่งอยู่ในเกี้ยวเพื่อมุ่งหน้าสู่พระราชวัง ขบวนเกียรติยศมาถึงวังหลวงอย่างสง่างาม ยามที่นาง
โจวเหวินกวงลนลานปล่อยมือออกจากร่างของลั่วหนิงฮวาก่อนจะทรุดกายลงไปกับพื้น แล้วจึงสั่งเหล่าทหารให้เตรียมต้านรับสุดกำลัง เมื่อหันมาอีกครากลับพบว่านางหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว วิญญาณจวิ้นอ๋องและอดีตฮองเฮาบดบังกายนางเอาไว้ อีกทั้งยังบอกนางว่าโจวเหวินกวงคนสารเลวได้สังหารท่านตาของโจวอี้เฉินไปก่อนหน้าแล้ว ลั่วหนิงฮวากำมือแน่น ความเกลียดชังที่มีต่อโจวเหวินกวงยิ่งทบทวีมากขึ้นไปอีกลั่วหนิงฮวามุ่งหน้ามายังตำหนักเย็นซึ่งเป็นที่ที่โจวอวี้หลันถูกจับกุมตัวเอาไว้ ระหว่างทางนางแอบหยิบดาบและธนูของทหารที่วางไว้ติดมือมาด้วย"พี่หญิง!!!" "หนิงเอ๋อร์ เจ้า!!!" "พี่หญิง ฮึก ท่านตาของท่านและท่านพ่อของข้า ถูกประหารสิ้นแล้ว!!!" โจวอวี้หลันที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ ลั่วหนิงฮวาที่ไร้เรี่ยวแรงไม่น้อยไปกว่ากัน ต้องเข้ามาช่วยประคองโจวอวี้หลันเอาไว้ "พี่หญิง หนีก่อนเถิด!!!" "หนีเช่นไร ยามนี้ข้าไม่มีอาวุธเลย!!!" "ไม่ต้องกังวล ระหว่างทางข้าแอบหยิบดาบของทหารและธนูติดมาด้วย โจวอี้เฉินมาถึงแล้ว เราย่อมหนีออกไปได้ รีบไปเถิด ยามนี้กองทัพของอาเฉินและพี่ใหญ่กำลังรอเราอยู่!!!" โจวอวี้หลันที่ได้ยินเช่
ลานประหาร โจวเหวินกวงสั่งให้ทหารนำแม่ทัพลั่วไปมัดขึงเอาไว้ที่กลางลานประหาร ก่อนจะลากตัวลั่วหนิงฮวามายืนอยู่กับเขา และใช้แขนล็อกคอของนางเอาไว้มิให้ขยับหนีไปได้ "หนิงฮวา เจ้าจงดูให้เต็มตาเสียเถิด เพราะต้องการปกป้องเจ้าและคิดขัดคำสั่งข้า พ่อของเจ้าต้องพบกับจุดจบเช่นใด" "ปล่อยข้า!!!""ปล่อยแน่นอน แต่หลังจากที่ข้าฆ่าพ่อของเจ้าเรียบร้อยแล้ว!!!" "เหวินกวง ไอ้คนต่ำช้า!!!" "มานี่!!!" โจวเหวินกวงฉุดกระชากลากถูลั่วหนิงฮวามายืนอยู่ไม่ไกลจากแม่ทัพลั่วมากนัก ลั่วหนิงฮวาจ้องมองผู้เป็นบิดาด้วยความเจ็บปวด ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ หยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินไม่ขาดสาย แม่ทัพลั่วส่งยิ้มให้บุตรสาวอีกคราหนึ่งด้วยความเหนื่อยล้า เขาตรากตรำอยู่ในสนามรบ ต่อสู้เพื่อแคว้นเพื่อราษฎรมานานหลายปี ไม่ตกตายในสนามรบ แต่กลับถูกสังหารเพราะคนชั่ว ช่างเถิด ชีวิตคนเราก็มีเพียงเท่านี้ จะเกรงกลัวความตายไปไยกัน"อย่ารับปากคนชั่ว นี่เป็นคำขอสุดท้ายของพ่อ พ่อหวังเพียงให้พวกเจ้าจดจำเรื่องราวในวันนี้ให้ดี แล้วจงเข้มแข็ง อยู่ต่ออย่างภาคภูมิ" "ท่านพ่อออออ!!!" "ถึงตายข้าก็ไม่เสียใจ ข้าเป็นทหาร มีเลือดนักรบไหลเวียนอยู่ในกาย ข้
คุกหลวง ลั่วหนิงฮวาจ้องมองอาหารตรงหน้าก่อนจะก่นด่าโจวเหวินกวงในใจ นี่เท่ากับบีบคั้นนางชัด ๆ แม่ทัพลั่วมองข้าวเปล่าถ้วยเล็ก ๆ ตรงหน้าและผัดผักหนึ่งอย่าง ก่อนจะเลื่อนอาหารตรงหน้ามาให้ลั่วหนิงฮวา "เจ้ากินเถิด" "ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าท่านหิว ท่านกินเถิด ข้าไม่หิวเจ้าค่ะ" บิดานางแก่ชรามากแล้ว ย่อมอยู่อย่างลำบากเช่นนี้ไม่ไหว อาหารเพียงเท่านี้ย่อมไม่เพียงพอที่จะกินกันถึงสองคน แม่ทัพลั่วสิ่งยิ้มให้ลั่วหนิงฮวาก่อนจะยื่นมือมาลูบศีรษะของนางด้วยความรักใคร่ "หนิงเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดที่ทำให้พ่อรู้สึกผิดมาโดยตลอด นั่นก็คือการละเลยเจ้า พ่อไม่ได้ปกป้องเจ้าให้ดี ทำให้เจ้าถูกคนชั่วรังแกมาโดยตลอด" "ท่านพ่อ ท่านอย่าพูดอีกเลยเจ้าค่ะ เรื่องราวมันผ่านไปนานแล้วนะเจ้าคะ ยามนั้นท่านเองก็ออกรบเพื่อบ้านเมือง ข้าเข้าใจท่านพ่อเจ้าค่ะ" "ฟังพ่อ เจ้ากินข้าวเสีย เจ้าจะต้องมีชีวิตรอดออกไป พวกเจ้าสองคนพี่น้องจะต้องมีชีวิตรอดต่อไป" "ท่านพ่อ ท่านหมายความเช่นไร!!!" "ต่อให้ฝ่าบาทจะบีบบังคับเจ้าด้วยวิธีใด จงอย่ายอมรับคำของเขาเด็ดขาด เจ้าสัญญากับพ่อสิ" "ไม่!!! ท่านพ่อ ท่านจะทำสิ่งใด!!!" "ลูกเอ๋ย พ่อแก่ชรามาก
ด้านโจวอี้เฉินและลั่วจินหยางนั้น พวกเขาเดินทางออกจากเมืองหลวงได้ไม่ถึงครึ่งทางเสียด้วยซ้ำ เพียงผ่านหมู่บ้านชนบทที่ลั่วหนิงฮวาเคยอยู่มาก่อน เบื้องหน้าก็ปรากฏภาพของเหล่าทหารราวแสนนายอยู่ตรงหน้า เมื่อมองให้ดีดีจึงได้พบว่า ผู้คุมกองทัพทหารเรือนแสนนั้นก็คือเยี่ยนอ๋อง ซึ่งโจวอี้เฉินเคยได้พบกับเยี่ยนอ๋องในสนามรบเมื่อคราก่อน โจวอี้เฉินละสายตาจากเยี่ยนอ๋องไปหยุดอยู่ที่คนผู้หนึ่งที่อยู่บนหลังม้าร่วมทัพกับเยี่ยนอ๋องก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น นั่นคือผู้ใด?"องค์รัชทายาท นั่นคือฉู่อ๋องพ่ะย่ะค่ะ" "ฉู่อ๋องหรือ?" "ท่านลุงรู้จักเขาหรือ?" "สมัยก่อน เมื่อครั้งที่อดีตฮองเฮายังมีพระชนม์ชีพ ยามที่ตระกูลกู้ยังเรืองอำนาจ กระหม่อมเคยตามท่านพ่อมาร่วมรบกับสองแคว้น กระหม่อมจำเขาได้พ่ะย่ะค่ะ" "เช่นนั้นพวกมัน?""เหตุใดพวกมันจึงล่วงล้ำเข้าสู่เขตดินแดนของหยางโจวได้!!!"กู้เฉวียน ผู้เป็นท่านลุงของโจวอี้เฉินรับรู้ได้ในทันทีว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่ปกติเสียแล้ว "องค์รัชทายาท กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว เหตุใดคนของแคว้นเยี่ยนและแคว้นฉู่จึงกล้ารุกรานผ่านประตูชายแดนเข้ามาในเขตหยางโจวได้ง่ายดายเช่นนี้!!!" ลั่วจินห
"พระโพธิสัตว์โปรดคุ้มครองข้าด้วย ขอให้ข้าเดินทางโดยปลอดภัยด้วยเถิด ขอให้ข้าได้พบกับเสด็จพี่ด้วยเถิด!!!" ท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมทั่วท้องนภา ปรากฏร่างของโจวหลิงหวางที่ควบม้าอย่างรวดเร็วโดยมิหยุดพักท่ามกลางแสงจันทร์ที่ให้แสงสว่างเลือนราง เป้าหมายของเขาคือชายแดนทางทิศใต้ ป้ายทางการทหารนี้จะต้องถึงมือของโจวอี้เฉินให้ได้เขาร้องไห้ไม่หยุดระหว่างเดินทาง ภาพที่เสด็จแม่วางยาพิษเสด็จพ่อยังคงติดตาของเขา เขาเสียใจทุกข์ใจยิ่งนัก ที่มิอาจช่วยเสด็จพ่อได้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งภาพที่เสด็จแม่ถูกเสด็จอาสังหารก็สร้างรอยแผลลึกในใจให้แก่เขา เขาเกลียดเสด็จอายิ่งนัก!!!ยิ่งนึกถึงเสด็จพ่อที่ถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรม ใจของเขาก็บีบรัดจนแน่น"เสด็จพ่อได้โปรดคุ้มครองลูกด้วย" โจวหลิงหวางใช้แส้ฟาดตีไปที่ท้องม้าเพื่อเร่งให้มันวิ่งให้เร็วขึ้น โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่า ด้านหลังของตนนั้นมีร่างของชายชราสวมชุดมังกรสีทองกำลังติดตามเขาออกเดินทางไปด้วยเช่นกันโปรดวางใจเถิดลูกพ่อ ตลอดเส้นทางจะไร้ซึ่งภัยร้ายมากล้ำกรายเจ้า ด้านลั่วหนิงฮวาและแม่ทัพลั่วในยามนี้นั้น ถูกควบคุมตัวมายังคุกหลวงใต้ดินพร้อมกัน ส่วนโจวอวี้หลันเอง