ท้ายที่สุดเหล่าบุรุษผู้เคราะห์ร้ายก็มิอาจต้านทานลั่ว หนิงฮวาได้ พวกเขานอนซมอยู่กับพื้นรู้สึกระบมไปทั่วทั้งกาย ในใจนึกหวาดกลัวสตรีน้อยนางนี้ยิ่งนัก
ลั่วหนิงฮวาหยิบไก่ย่างที่เหลือขึ้นมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย นี่นับเป็นความดีความชอบของโจรมือใหม่พวกนี้ที่นำอาหารมาให้นางถึงที่
เหล่าชายชุดดำลอบมองลั่วหนิงฮวาเป็นระยะ ในใจนึกสบถด่าทอนางเป็นพันครั้ง
หน้าด้านยิ่งนัก!!! ทุบตีผู้อื่นแล้วยังเอาไก่เขาไปกินอีก!!!
หัวหน้าชายชุดดำจ้องมองลั่วหนิงฮวาอย่างไม่ลดละ จู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นในหัวของเขา
สตรีเก่งกาจถึงเพียงนี้ หากพวกเขาได้ติดตามย่อมดีไม่น้อย บางคราอาจจะไม่ต้องอดตายเลยด้วยซ้ำ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ชายชุดดำจึงส่งยิ้มหวานเยิ้มไปให้ลั่ว หนิงฮวา ลั่วหนิงฮวารับรู้ได้ว่ามีคนจ้องมองนางอยู่ จึงหันกลับไปมองทันที ใบหน้าเย็นชาของนางทำให้หัวหน้าชายชุดดำถึงกับสะดุ้งโหยง
"มองข้าด้วยเหตุอันใดกัน?"
"เอ่อ..."
"รีบพูดมา ก่อนที่ข้าจะเอาไม้นี่ฟาดเจ้าอีกรอบ"
ไม่กล้าแล้ว!!! แม่นางโปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด!!!"
"ศิษย์?"
ลั่วหนิงฮวาหันไปจ้องมองหัวหน้าชายชุดดำด้วยสายตาที่เรียบเฉย ใบหน้าสวยเงียบสงบราวกับมิรับรู้สิ่งใด แต่ทว่าในใจกลับครุ่นคิด
เอาโจรมาเป็นศิษย์ ผู้ใดเขาทำกัน?
"ข้ามิได้เก่งกาจปานนั้น คงมิอาจรับเจ้าเป็นศิษย์ได้"
"แม่นาง เอ่อ ลูกพี่!!! พวกข้ายอมเป็นมือเป็นเท้าให้ท่าน ขอเพียงให้พวกเราได้กินอิ่มนอนหลับก็พอ!!!"
"แล้วสภาพข้าในตอนนี้เหมือนคนกินอิ่มหรือ?"
หัวหน้าชายชุดดำมีท่าทางเลิ่กลั่กขึ้นมาทันที ลูกน้องของพวกเขาต่างก็มองหน้ากันไปมาด้วยความงุนงง
"ลูกพี่ ด้วยความสามารถของลูกพี่ ข้าเชื่อว่าท่านทำได้ ข้าจะสนับสนุนลูกพี่เอง ถุย!!!"
หัวหน้าชายชุดดำไอออกมาคราหนึ่ง ก่อนที่ฟันหน้าของเขาจะกระเด็นหลุดมาอยู่ตรงหน้าของลั่วหนิงฮวา
"เอ่อ...ลูกพี่ มันโยกได้สักพักแล้ว พอโดนไม้หน้าสามของลูกพี่ มันเลยหลุดออกมาทั้งราก"
ลั่วหนิงฮวาจ้องมองหัวหน้าชายชุดดำด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย แต่ทว่าในใจกลับด่าทอไม่ยั้ง
สารเลว!!! ดีไม่กระเด็นมาโดนหน้าข้า
ฟาดให้หักหมดปากดีหรือไม่!!!
หน้าบัดซบนี่ก็ตึงยิ่งนัก!!! จะยิ้มก็ยิ้มไม่ได้
"ลูกพี่!!!"
"หยุด!!! ตกลง ข้ารับพวกเข้ามาเป็นลูกน้อง ว่าแต่พวกเจ้ามิใช่ว่าถูกทางการตามจับตัวอยู่หรอกนะ?"
"ไม่ ๆ ๆ ไม่แน่นอนลูกพี่ พวกข้าเพิ่งหัดปล้น"
ดียิ่งนัก บัดซบจริง ๆ สวรรค์ส่งอะไรมาให้ข้าวะเนี่ย!!!
"เช่นนั้นวันนี้พวกเจ้าไปจับปลา เยอะเท่าใดยิ่งดี ข้าจะนำไปขาย"
"ลูกพี่จะไปเองหรือ?"
"ใช่ ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร?"
"ข้าชื่อจางสงขอรับ ส่วนคนอื่น ๆ"
"ไม่ต้อง ข้าขี้เกียจจำ จำแค่ชื่อเจ้าคนเดียวก็พอ จางสงต่อไปนี้เจ้าต้องดูแลเรือนนี้ของข้าและทำตามที่ข้าสั่ง หากเจ้าเชื่อฟังข้า รับรองว่าเจ้าจะมีกิน ลูกเมียเจ้าจะไม่ลำบาก"
"ขอรับ"
จางสงยิ้มแย้มดีใจทันที แต่ทว่าลั่วหนิงฮวากลับคิดไม่ตก
รับคนมามากถึงเพียงนี้จะเอาที่ไหนกินกันนะ แต่ช่างเถิด!!! ขายฝันไปก่อน ให้พวกเขาช่วยจับปลาไปขาย แล้วค่อยคิดหาทางก็แล้วกัน
เมื่อพวกจางสงออกไปจับปลาแล้ว แม่นมหยางและซือลี่ก็รีบเข้ามาหาลั่วหนิงฮวาทันที
"คุณหนู!!! อย่ารับพวกนั้นเลยนะเจ้าคะ บ่าวกลัว!!!"
"บ่าวก็กลัวเจ้าค่ะ!!!"
"ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่"
"แต่คุณหนู!!!"
"แม่นมหยาง ท่านคิดว่าข้าอ่อนแอเฉกเช่นแต่ก่อนหรือ ท่านคิดใหม่เถิด"
ลั่วหนิงฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ นางเบื่อจะอธิบายเรื่องพวกนี้ที่สุด
ไม่ว่าลั่วหนิงฮวาคนเก่าจะอ่อนแอเพียงใดก็ตาม แต่ยามนี้ร่างนี้เป็นของนาง ไม่มีทางที่นางจะอ่อนแอยอมให้ผู้ใดมารังแกได้โดยเด็ดขาด
ไม่นานนักจางสงและพวกก็จับปลามาได้มากมาย ลั่ว หนิงฮวารู้สึกพึงพอใจไม่น้อย นางสั่งให้แม่นมหยางและซือลี่ช่วยกันทำปลาเหมือนคราวที่แล้ว ก่อนจะเดินทางไปที่ตลาดพร้อมกับจางสงเพียงสองคน แม่นมหยางพยายามห้ามปรามแต่ก็ไร้ผล
ตลาด
ลั่วหนิงฮวากวาดตามองไปโดยรอบด้วยความครุ่นคิด การได้มาเห็นตลาดชุมชนในสมัยโบราณเช่นนี้นับเป็นเรื่องที่เปิดหูเปิดตาไม่น้อย
แม่นมหยางบอกนางว่ามีเถ้าแก่ร้านหนึ่งรับซื้อปลาจากนาง ร้านของเขาตั้งอยู่ที่ตรอกถนนติดกับโรงพนันหลัวหยง จางสงดูจะชำนาญเส้นทางเป็นอย่างดี เขาพานางมาถึงร้านที่แม่นม หยางบอก เถ้าแก่ร้านดูจะตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นสตรีน้อยมาขายปลา แต่เมื่อสอบถามทราบว่าเป็นแม่นมหยางที่ส่งนางมา จึงรับซื้อโดยไม่ไต่ถามสิ่งใดอีก
ครานี้ขายได้ถึงสามตำลึงเงิน ค่อนข้างเยอะไม่น้อย ลั่ว หนิงฮวาหันไปมองโรงพนันหลัวหยงคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มในใจ
นานแล้วสินะที่ไม่ได้เล่นการพนัน?
ลั่วหนิงฮวารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่ใบหน้านี้เป็นอัมพาต มิเช่นนั้นคงได้เห็นรอยยิ้มงดงามเจิดจ้าของนางไปแล้ว
นางน่ะ ชื่นชอบการเล่นพนันยิ่งนัก!
จางสงที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยถามลั่วหนิงฮวาด้วยความสงสัย
"ลูกพี่ นี่ท่าน"
"ข้าจะเข้าไปเล่นในโรงพนันแห่งนั้น"
"จะดีหรือลูกพี่ หอพนันหลัวหยงขึ้นชื่อว่าโกงกินผู้คนไม่น้อย มีอย่างที่ไหนใครเล่นได้เยอะพวกเขากลับมิยอมให้ก้าวออกมาจากโรงพนัน!"
"หึ! ข้าอยากลองดูสักครา"
"ลูกพี่!"
"หากไม่อยากฟันร่วงอีกซี่ก็จงตามข้ามา"
ลั่วหนิงฮวาเดินเข้าไปในโรงพนัน ก่อนจะปรายตามองไปโดยรอบ คนเฝ้าประตูที่เห็นนางก็รีบเข้ามาขวางทันที "แม่นางน้อย นี่มิใช่สถานที่ที่เจ้าจะเข้ามาเที่ยวเล่นได้" "ข้าไม่ได้มาเที่ยวเล่น ข้าจะเล่นการพนันต่างหาก""เอ๋?" "ข้ามีเงิน" "หึ! เช่นนั้นก็เข้าไป"ชายผู้คุมประตูเหลือบมองใบหน้างดงามของลั่วหนิงฮวาคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มเยาะในใจ คอยดูเถิด พวกเขาพบเจอสตรีเช่นนี้มามากนัก ทำเป็นอวดเก่ง สุดท้ายก็ใช้ร่างกายมาขัดดอกแทน เรื่องราวเช่นนี้มีให้เห็นไม่เว้นวันลั่วหนิงฮวามิได้เอ่ยสิ่งใด นางก้าวเดินเข้ามาในโรงพนันหลัวหยงโดยไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นใดใดเลยแม้แต่น้อย ภายในประดับตกแต่งได้หรูหราไม่เบา ผู้คนด้านในก็มากมายจนหนาตาไปหมด จางสงที่เดินตามลั่วหนิงฮวาเข้ามาก็รีบเอ่ยถามทันที"ลูกพี่ ท่านจะเล่นจริง ๆ หรือ?" "จริงสิ เจ้าเห็นลูกเต๋านั่นหรือไม่""ลูกเต๋า? โยนลูกเต๋าน่ะหรือ?" "ใช่แล้ว ตามข้ามา" ลั่วหนิงฮวาเดินตรงไปยังโต๊ะที่ใช้สำหรับโยนลูกเต๋า เมื่อไปถึงก็พบกับชายผู้หนึ่ง ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าที่เจ้าเล่ห์ "เอาละ เอาละ พี่น้องทั้งหลาย วันนี้ข้าจะให้พวกเจ้าได้ร่วมสนุกสนาน การเล่นโยนลูกเต๋าจะมีเพียงส
"หยุดเดี๋ยวนี้!!!"เสียงจากด้านหลังทำให้ลั่วหนิงฮวาและจางสงต้องหันไปมอง ก่อนจะพบกับชายฉกรรจ์ใบหน้าโหดเหี้ยมสองคนที่ก้าวเดินเข้ามาหานาง "เอาตั๋วเงินคืนมา"หนึ่งในชายฉกรรจ์สองคนนั้นยื่นมือมาทางลั่วหนิงฮวา พร้อมกับออกคำสั่ง น้ำเสียงของเขาฟังดูไร้ความเป็นมิตรและยังข่มขู่อีกด้วย ลั่วหนิงฮวาจ้องมองชายผู้นั้นตอบอย่างไม่ลดละ "เจ้านายเจ้าให้มาทวงคืนหรือ?" "อย่าสู่รู้ ส่งตั๋วเงินมา" "นี่เป็นตั๋วเงินของข้า" "อย่าให้ข้าต้องใช้กำลัง หากไม่ยอมส่งมาให้ข้าแต่โดยดี ข้าจะใช้ไม้นี่ฟาดพวกเจ้าทั้งสองเสีย!!!""พวกเจ้านี่พูดไม่รู้ฟังจริงเชียว นี่มันเงินข้า!!!" "เช่นนั้นขออภัยด้วยที่ข้าต้องล่วงเกินแม่นาง""ตามสบาย"ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเตรียมจะพุ่งเข้ามาหาลั่วหนิงฮวา แต่ทว่านางกลับหลบหลีกได้อย่างพลิ้วไหว มือสวยยื่นออกไปแย่งไม้ในมือของชายผู้นั้นได้อย่างรวดเร็ว พวกมันไม่ทันตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ กว่าจะรู้ตัวก็ถูกนางใช้ไม้นั้นฟาดใส่ไม่ยั้งเสียแล้ว ผัวะ!!! "อ๊าสสส!!!""จางสง ยืนบื้ออยู่ทำไม ฟาดมันสิ!!! ฟาดให้ตายไปเลย!!!""ขอรับลูกพี่!!!"ชายฉกรรจ์สองคนส่งเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด พวกนั้นถูกลั่วหนิงฮวาฟาดไม้
วังหลวงตำหนักบูรพา "ฮืออออ องค์รัชทายาท!!!"เสียงร่ำไห้คร่ำครวญของเหล่านางกำนัลและขันทีดังกึกก้องไปทั่วทั้งตำหนักบูรพา ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์รัชทายาท โจวอี้เฉิน ผู้เป็นพระโอรสองค์โตของฮ่องเต้โจวเหลียนไม่ไกลมากนัก ปรากฏร่างของสตรีวัยกลางคนนางหนึ่ง ผู้สวมชุดสีแดงงดงามน่าเกรงขาม ใบหน้าสวยหวานดูเย็นชาอำมหิต นางแสยะยิ้มจ้องมองร่างไร้วิญญาณของโจวอี้เฉินอย่างดูแคลน นางก็คือเซียวฮองเฮา มารดาเลี้ยงของโจวอี้เฉิน ทุกการกระทำและการแสดงออกบนใบหน้าของนาง อยู่ในสายตาของโจวอี้เฉินทั้งหมด ในยามนี้วิญญาณของเขาหลุดลอยออกจากร่าง กลายเป็นเพียงดวงจิตดวงหนึ่งเท่านั้น จึงทำให้เขาสามารถรับรู้ได้ในทันที ว่าที่ผ่านมาเขากลายเป็นเครื่องมือให้พวกคนชั่วหลอกใช้มานานหลายปี เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กอายุเพียงแปดขวบปี อดีตฮองเฮาผู้เป็นมารดาได้สิ้นพระชนม์ลงอย่างกะทันหัน เสด็จพ่อจึงแต่งตั้งเซียวกุ้ยเฟยขึ้นเป็นฮองเฮา คอยอบรมเลี้ยงดูเขา นางเลี้ยงดูเขาราวกับบุตรในอุทร จนเขาหลงเชื่อนางทุกคำ ยอมละทิ้งตระกูลฝั่งท่านแม่ มอบป้ายทางการทหารของเสด็จแม่ให้นางดูแลทั้งหมด เมื่อนางได้สมดั่งใจปรารถนา จึงวางยาพิษเขาอย่างเลือดเย็
"องค์หญิง กระหม่อมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ในขณะที่โจวอวี้หลันกำลังครุ่นคิดหาทางออกอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา นางหันไปมอง ก่อนจะพบกับ ลั่วจินหยาง รองแม่ทัพลั่วที่นางส่งคนให้เรียกตัวเขาเข้าวังหลวงก่อนหน้านี้ลั่วจินหยาง เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลลั่ว เขาคือพี่ชายร่วมมารดากับลั่วหนิงฮวา โจวอวี้หลันจ้องมองเขาอย่างพิจารณา ใบหน้าหล่อเหลา แต่ผิวออกจะคล้ำไปเสียหน่อย โดยรวมแล้วถือว่าเป็นบุรุษที่รูปงามผู้หนึ่ง "รองแม่ทัพลั่ว ข้าอยากขอความช่วยเหลือจากท่าน" "เชิญองค์หญิงรับสั่งมาได้พ่ะย่ะค่ะ เพื่อองค์หญิงแล้ว กระหม่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง" ลั่วจินหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม แต่ทว่าดวงตาคมกลับเหลือบมองหน้าอกหน้าใจของโจวอวี้หลันเป็นระยะ โอวว เหมือนจะใหญ่ขึ้นสินะ? ช้าก่อน! นี่มิใช่เวลา โจวอวี้หลันเองก็พอจะรับรู้ว่าถูกลั่วจินหยางจ้องมอง นางลอบสบถด่าทอเขาเป็นพันครั้ง ในใจนึกอยากกระโดดถีบคนบ้ากามผู้นี้ออกไปจากตำหนักบูรพาเสีย "ข้าจะทูลต่อเสด็จพ่อ ขอพระราชทานอนุญาตให้นำโจวอี้เฉินไปรักษากับท่านหมอเทวดาที่หมู่บ้านชนบทนอกเมืองหลวง การเดินทางในครั้งนี้ ข้าอยากให้ท่านคอยอารักขาตั
สามวันต่อมาโจวอวี้หลันและลั่วจินหยางก็นำโจวอี้เฉินออกจากวังหลวงมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านชนบทที่ด้านนอกวังหลวงทันที เส้นทางที่พวกเขาผ่านนั้น มีต้นไม้ล้อมรอบ ยามนี้อากาศอุ่นขึ้นบ้างแล้ว หิมะจึงดูบางเบาลงไปไม่หนาตามากเท่าใดนัก สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาในรถม้าเป็นระยะ โจวอวี้หลันยื่นมือไปเปิดผ้าม่านเพื่อดูบรรยากาศโดยรอบ นางเงยหน้าไปสบตากับลั่วจินหยางที่หันมามองนางเข้าพอดี เขาส่งยิ้มให้นางเล็กน้อย ใจของนางกระตุกไหววูบหนึ่ง ก่อนจะรีบหลบสายตาเขาและปล่อยม่านรถม้าลง และหันกลับมามองโจวอี้เฉินที่นอนหลับอยู่ภายในรถม้าแทนระยะทางค่อนข้างไกลไม่น้อย ระหว่างทางขบวนรถม้าหยุดพักอยู่หลายครา โจวอวี้หลันเกรงว่าการเดินทางจะล่าช้า จึงสั่งให้รถม้าออกเดินทางต่อทันที จวบจนเข้าสู่เขตป่าใหญ่ จู่ ๆ ก็มีเหล่านักฆ่าชุดดำพุ่งทะยานเข้ามาสังหารเหล่าทหารอย่างรวดเร็ว ลั่วจินหยางที่เห็นเช่นนั้นก็หรี่ตามองเหล่านักฆ่าคราหนึ่ง ก่อนจะรีบพุ่งทะยานเข้าไปต่อสู้กับพวกมันอย่างไม่รอช้า โจวอวี้หลันรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ จู่ ๆ รถม้าก็หยุดกะทันหันเช่นนี้ย่อมมิใช่เรื่องดีแน่เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงยื่นมือไปเปิดผ้าม่านออกเพื่อมองดูสถานก
ลั่วจินหยางรีบวิ่งเข้ามาหาลั่วหนิงฮวาด้วยความดีใจ เขาสำรวจดูน้องสาวของตนอย่างพิจารณา คล้าย ๆ กับว่านางจะผอมลงไปไม่น้อย เมื่อคิดได้เช่นนั้น ใจของลั่วจินหยางก็ให้เจ็บปวดยิ่งนัก แต่ไหนแต่ไรมาเขามิค่อยได้อยู่จวนเท่าใดนัก จึงอาจจะดูห่างเหินกับน้องสาวผู้นี้ไปไม่น้อย แต่ถึงแม้จะใช้ชีวิตอยู่นอกจวนเป็นส่วนมาก แต่เขาเองก็รู้เรื่องที่ลั่วหนิงฮวาถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง เขานึกเจ็บใจไม่น้อย หากเขาได้สืบทอดจวนต่อจากท่านพ่อเมื่อใด เขาจะต้องปกป้องลั่วหนิงฮวาให้จงได้ "พี่ใหญ่" "หนิงเอ๋อร์ พี่ผิดต่อเจ้ายิ่งนัก พี่ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้" ลั่วจินหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดอย่างจริงใจ ลั่วหนิงฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกไป นางสัมผัสได้ถึงความห่างเหินระหว่างพี่น้องคู่นี้ แต่จะไปว่าลั่วจินหยางอยู่ในสนามสงครามเสียส่วนใหญ่ เรื่องนี้นางเข้าใจดี เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อย อย่างไรเสียนางก็ยังมีพี่ชายร่วมมารดาหลงเหลืออยู่ เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันแล้วไปเถิด นางมิใช่สตรีที่เย่อหยิ่งจองหองอันใดเหล่านั้น "ช่างเถิด ว่าแต่พี่ใหญ่มาได้อย่างไรหรือเจ้าคะ" ลั่วจินหยางที่ได้ยินน้อ
ลั่วหนิงฮวาสั่งให้แม่นมหยางและซือลี่ไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเพื่อต้อนรับโจวอวี้หลันและลั่วจินหยาง นางทำอาหารง่าย ๆ ไม่กี่อย่างเพียงเท่านั้น โจวอวี้หลันเองไม่ใช่คนเรื่องมากอันใดนัก นางส่งยิ้มให้ลั่วหนิงฮวาและยังบอกให้นางไปร่วมมื้อค่ำด้วยกันอีกด้วย "ได้ยินว่าเจ้าป่วยหรือ ใบหน้าจึงเป็นอัมพาต" โจวอวี้หลันเอ่ยถามลั่วหนิงฮวาหลังจากที่รับสำรับมื้อค่ำด้วยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ออกมายืนที่ริมระเบียงด้านหน้าเรือน มองดูดวงจันทร์ที่สว่างไสวยามค่ำคืน "เพคะ เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย" "เห็นทีคงจะไม่เล็กน้อยกระมัง"โจวอวี้หลันหันไปเอ่ยถามลั่วหนิงฮวาด้วยน้ำเสียงที่หยอกเย้า ลั่วหนิงฮวายิ้มกริ่มอยู่ในใจ แต่ทว่าใบหน้ากลับยังคงนิ่งสงบ "องค์หญิงทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก เรื่องของสตรีในเรือนหลังองค์หญิงคงจะรู้มาไม่น้อย" "แน่นอน ได้ยินว่าแม่เลี้ยงเป็นคนเลี้ยงดูเจ้า เจ้ากับข้าก็คงไม่ต่างกัน" "นี่คงเป็นเหตุผลที่องค์หญิงเสด็จออกจากวังหลวงกระมัง" "เจ้าเองก็ฉลาดมิใช่น้อย" "ขอบพระทัยองค์หญิงที่ทรงกล่าวชมเพคะ" "ไม่เป็นไร ว่าแต่ชายเหล่านั้น เป็นลูกน้องของเจ้าจริง ๆ หรือ" โจวอวี้หลันเอ่ยถามลั่วหนิงฮวาพร้อมกั
เวลาล่วงเลยมาจนถึงยามเช้า ลั่วหนิงฮวาตื่นนอนแต่เช้าเพื่อมาฝึกฝนร่างกายในทุก ๆ วัน แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาบนใบหน้าสวยที่มีหยดเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดพราย ยิ่งขับให้ความงามของนางหวานล้ำจนโจวอี้เฉินละสายตาไม่ได้ เขานั่งมองนางอยู่เช่นนั้นเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ลั่วหนิงฮวาเองก็ไม่ใส่ใจเขาเท่าใดนัก เมื่อฝึกฝนร่างกายจนพอใจแล้ว นางก็ทิ้งกายนั่งลงตรงลำธารเบื้องหน้าก่อนจะใช้มือวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าของตน "ฝึกเสร็จแล้วหรือ ข้ายังอยากดูต่ออยู่เลย" โจวอี้เฉินเอ่ยกับลั่วหนิงฮวาด้วยน้ำเสียงที่กรุ้มกริ่ม แท้จริงแล้วเขามิได้อยากดูนางฝึกฝนวรยุทธ์ แต่เขาต้องการดูหน้าอกของนางต่างหาก ยามที่นางขยับกายขึ้นลง สองเต้าเต่งตึงของนางก็จะกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ เห็นแล้วเขาอยากจะกินนมยิ่งนัก! ลั่วหนิงฮวาหันไปถลึงตาใส่โจวอี้เฉินอย่างรู้ทัน ผีหน้าหม้อตนนี้ชักจะเอาใหญ่แล้ว!!!"ลูกพี่ สุราที่พวกเราบ่มเอาไว้ได้ที่แล้วขอรับ" จางสงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาลั่วหนิงฮวาด้วยความตื่นเต้น ลั่วหนิงฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยนั่นเป็นสุราสูตรพิเศษที่นางคิดค้นขึ้นมาเองกับมือ ใช้เวลาหมักเพียงไม่กี่วันรสชาติก็จะดีเยี่
รัชศกอี้เฉินปีที่ 30 เข้าสู่ช่วงเหมันต์ฤดู อากาศค่อนข้างหนาวเย็นเป็นอย่างมาก ยามนี้ลั่วหนิงฮวากำลังนั่งสนทนาอยู่กับโจวอวี้หลันด้านในตำหนักเฟิ่งหวง พวกเขาทั้งสองอายุมากแล้ว แต่ทว่าความงดงามกลับไม่ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ยามว่างโจวอวี้หลันมักจะเข้าวังมาเยี่ยมนางอยู่เสมอ"พี่หญิง ท่านลองดื่มชาหลงจิ่งถ้วยนี้ดูเถิด รสชาติดียิ่งนัก" "อืม" โจวอวี้หลันยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม รสชาติหวานล้ำและกลิ่นหอมของใบชาทำให้นางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ "ได้ยินว่าสองวันก่อน องค์รัชทายาท องค์ชายรองและองค์หญิง ออกไปเที่ยวเล่นนอกวังหลวงมาหรือ" โจวอวี้หลันเอ่ยถามขึ้นมา ลั่วหนิงฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย นางมีพระโอรสสององค์ และองค์หญิงอีกหนึ่งองค์ ลูกทั้งสามมีอายุไม่ห่างกันมากเท่าใดนัก โจวเทียนสิงเป็นองค์รัชทายาท ปีนี้อายุสิบแปดปีเต็มแล้ว โจวเซิงหยวน องค์ชายรองปีนี้อายุสิบหกปีเต็ม และโจวหงอี้อายุสิบสี่ปีเต็ม บุตรทั้งสามของนางนั้นสร้างแต่เรื่องปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน "พี่หญิง พูดถึงพวกเขาแล้วข้าเหนื่อยใจยิ่งนัก" "เอาเถิด เด็ก ๆ ก็เป็นเช่นนี้ ดูลั่วเฟิงบุตรชายคนเดียวของข้าสิ เขาก็เที่ยวเล่นเช่นนี้ประจำ
"อะ อื้อออ!!!" เสียงครวญครางแผ่วต่ำสลับกับเสียงฝนที่โปรยปรายในยามค่ำคืน สร้างความร้อนรุ่มให้แก่โจวอี้เฉินเป็นอย่างยิ่ง"เด็กดี นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น" "อาเฉินร่างกายท่าน!!! ""มิต้องกังวลท่านหมอเทวดาบอกว่าข้าหายดีแล้ว""อื้ออออ!!!" ลั่วหนิงฮวารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อถูกโจวอี้เฉินมอบรสจูบที่แสนเร่าร้อนให้แก่นางเช่นนี้ เขาสอดลิ้นอุ่นร้อนเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นชื้นแฉะของนางอย่างเอาแต่ใจ ยามนี้อาภรณ์ที่แสนประณีตงดงามกลับถูกเขาดึงทึ้งลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว ร่างกายของนางเปลือยเปล่าอ่อนระทวยอยู่ภายใต้ร่างแกร่งของเขา มือหนาใหญ่ลูบไล้ไปทั่วเรือนกายขาวผ่องอย่างซุกซน ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนใบหน้ามาจูบไซ้ที่ซอกคอขาวเนียนของนาง และค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าลงมาที่สองเต้าอวบสวย โจวอี้เฉินครอบริมฝีปากกลืนกินยอดปทุมถันสีหวานของนางอย่างหื่นกระหาย มือหยาบกร้านบีบขยำดอกบัวงามจนเกิดเป็นรอยแดงทั้งสิบนิ้ว "อื้ออออ ข้าเสียว!!!" ลั่วหนิงฮวาแอ่นอกสวยให้เขาเชยชมอย่างไม่ขัดขืน โจวอี้เฉินแลบลิ้นเลียจุกบัวสีหวานของนางอย่างหยอกเย้า ตั้งแต่คลอดพระโอรสองค์แรก เขากับนางก็ห่างเหินเรื่องสัมพันธ์สวาทเช่นนี้มานา
นอกจากจะสังหารโจวเหวินกวงแล้ว หนึ่งเดือนต่อมา โจวอี้เฉินก็พบกับเบาะแสที่จวิ้นอ๋องหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อห้าปีก่อน จวิ้นอ๋องเป็นน้องชายของเสด็จพ่อและเป็นเสด็จอาอีกคนของเขา เมื่อสืบค้นตามคำบอกเล่าของวิญญาณจวิ้นอ๋อง จึงพบว่าเขาถูกโจวเหวินกวงสังหารและฝังร่างไว้ที่ท้ายจวนชินอ๋องอย่างเลือดเย็น เพียงเพราะเขาไปได้ยินว่าโจวเหวินกวงวางแผนจะลอบวางยาอดีตฮ่องเต้ แต่กลับทำไม่สำเร็จ เพราะเสด็จพ่อของเขาก็ทรงระวังพระองค์ไม่น้อยแท้จริงโจวเหวินกวงคิดเรื่องนี้มานานหลายปีแล้ว มิใช่เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ จวิ้นอ๋องก็ไม่ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยตามคำบอกเล่าของคนอื่น ๆ ที่บอกว่าเขาถูกฆ่าเพราะมัวเมาสตรีผิดลูกผิดเมียผู้อื่น แต่แท้จริงแล้ว เพราะไปรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้มาก่อนเพียงเท่านั้น จึงถูกสังหารจนตกตายร่างของจวิ้นอ๋องถูกนำกลับมาฝังในสุสานราชวงศ์อย่างสมเกียรติ "อาเฉินขอบใจเจ้ามาก" "เสด็จอาจวิ้นอ๋องมิต้องเกรงใจ""อาเฉิน เดิมทีข้าจะต้องไปเกิดแล้ว แต่เพราะความงามของลั่วฮองเฮา ข้าจึงอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อย" โจวอี้เฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันขวับไปมองจวิ้นอ๋องทันที "เสด็จอา ท่านอยากตายรอบสองหรือไม่พ่ะ
เมื่อได้รับราชโองการฉบับจริงกลับมาแล้ว โจวอี้เฉินจึงขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้หยางโจวพระองค์ใหม่อย่างถูกต้องตามพระราชประเพณี โจวเหวินกวงถูกจับขังเอาไว้ที่คุกหลวง โจวอี้เฉินสั่งให้คนจับตาดูเขาทุกฝีก้าวเพื่อมิให้เขาลักลอบฆ่าตัวตายได้สำเร็จ เพราะมีความตายที่เขารอจะมอบให้โจวเหวินกวงอยู่แล้ว หยางโจวรัชศกอี้เฉิน ปีที่หนึ่ง วันนี้เป็นฤกษ์มงคลที่โหราจารย์คัดสรรมาอย่างดี ท้องฟ้าและแสงแดดค่อนข้างปลอดโปร่งเป็นใจยิ่งนัก บนถนนซึ่งทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด มีขบวนเกียรติยศขบวนหนึ่ง ค่อย ๆ เคลื่อนไปอย่างช้า ๆ ท่ามกลางเสียงดนตรีบรรเลงเพลงขับขานชวนหลงใหล เกี้ยวมงคลสีเหลืองทอง ขนาดสิบหกคนหาม ม่านเกี้ยวปักดิ้นทองลายหงส์น่าเกรงขามโดดเด่นงดงามตระการตามิใช่น้อย เกี้ยวมงคลอันงดงามนี้เคลื่อนขบวนจากจวนตระกูลลั่วมุ่งหน้าสู่วังหลวง สตรีที่คู่ควรกับขบวนเกียรติยศงดงามโอ่อ่าหลังนี้มีเพียงฮองเฮาเท่านั้น ลั่วหนิงฮวาสวมชุดสีทองปักลายหงส์งามสง่า บนศีรษะประดับมงกุฎหงส์ ขับเน้นให้ใบหน้าสวยหวานดูงดงามน่าเกรงขามไม่น้อย ยามนี้นางกำลังนั่งอยู่ในเกี้ยวเพื่อมุ่งหน้าสู่พระราชวัง ขบวนเกียรติยศมาถึงวังหลวงอย่างสง่างาม ยามที่นาง
โจวเหวินกวงลนลานปล่อยมือออกจากร่างของลั่วหนิงฮวาก่อนจะทรุดกายลงไปกับพื้น แล้วจึงสั่งเหล่าทหารให้เตรียมต้านรับสุดกำลัง เมื่อหันมาอีกครากลับพบว่านางหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว วิญญาณจวิ้นอ๋องและอดีตฮองเฮาบดบังกายนางเอาไว้ อีกทั้งยังบอกนางว่าโจวเหวินกวงคนสารเลวได้สังหารท่านตาของโจวอี้เฉินไปก่อนหน้าแล้ว ลั่วหนิงฮวากำมือแน่น ความเกลียดชังที่มีต่อโจวเหวินกวงยิ่งทบทวีมากขึ้นไปอีกลั่วหนิงฮวามุ่งหน้ามายังตำหนักเย็นซึ่งเป็นที่ที่โจวอวี้หลันถูกจับกุมตัวเอาไว้ ระหว่างทางนางแอบหยิบดาบและธนูของทหารที่วางไว้ติดมือมาด้วย"พี่หญิง!!!" "หนิงเอ๋อร์ เจ้า!!!" "พี่หญิง ฮึก ท่านตาของท่านและท่านพ่อของข้า ถูกประหารสิ้นแล้ว!!!" โจวอวี้หลันที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ ลั่วหนิงฮวาที่ไร้เรี่ยวแรงไม่น้อยไปกว่ากัน ต้องเข้ามาช่วยประคองโจวอวี้หลันเอาไว้ "พี่หญิง หนีก่อนเถิด!!!" "หนีเช่นไร ยามนี้ข้าไม่มีอาวุธเลย!!!" "ไม่ต้องกังวล ระหว่างทางข้าแอบหยิบดาบของทหารและธนูติดมาด้วย โจวอี้เฉินมาถึงแล้ว เราย่อมหนีออกไปได้ รีบไปเถิด ยามนี้กองทัพของอาเฉินและพี่ใหญ่กำลังรอเราอยู่!!!" โจวอวี้หลันที่ได้ยินเช่
ลานประหาร โจวเหวินกวงสั่งให้ทหารนำแม่ทัพลั่วไปมัดขึงเอาไว้ที่กลางลานประหาร ก่อนจะลากตัวลั่วหนิงฮวามายืนอยู่กับเขา และใช้แขนล็อกคอของนางเอาไว้มิให้ขยับหนีไปได้ "หนิงฮวา เจ้าจงดูให้เต็มตาเสียเถิด เพราะต้องการปกป้องเจ้าและคิดขัดคำสั่งข้า พ่อของเจ้าต้องพบกับจุดจบเช่นใด" "ปล่อยข้า!!!""ปล่อยแน่นอน แต่หลังจากที่ข้าฆ่าพ่อของเจ้าเรียบร้อยแล้ว!!!" "เหวินกวง ไอ้คนต่ำช้า!!!" "มานี่!!!" โจวเหวินกวงฉุดกระชากลากถูลั่วหนิงฮวามายืนอยู่ไม่ไกลจากแม่ทัพลั่วมากนัก ลั่วหนิงฮวาจ้องมองผู้เป็นบิดาด้วยความเจ็บปวด ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ หยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินไม่ขาดสาย แม่ทัพลั่วส่งยิ้มให้บุตรสาวอีกคราหนึ่งด้วยความเหนื่อยล้า เขาตรากตรำอยู่ในสนามรบ ต่อสู้เพื่อแคว้นเพื่อราษฎรมานานหลายปี ไม่ตกตายในสนามรบ แต่กลับถูกสังหารเพราะคนชั่ว ช่างเถิด ชีวิตคนเราก็มีเพียงเท่านี้ จะเกรงกลัวความตายไปไยกัน"อย่ารับปากคนชั่ว นี่เป็นคำขอสุดท้ายของพ่อ พ่อหวังเพียงให้พวกเจ้าจดจำเรื่องราวในวันนี้ให้ดี แล้วจงเข้มแข็ง อยู่ต่ออย่างภาคภูมิ" "ท่านพ่อออออ!!!" "ถึงตายข้าก็ไม่เสียใจ ข้าเป็นทหาร มีเลือดนักรบไหลเวียนอยู่ในกาย ข้
คุกหลวง ลั่วหนิงฮวาจ้องมองอาหารตรงหน้าก่อนจะก่นด่าโจวเหวินกวงในใจ นี่เท่ากับบีบคั้นนางชัด ๆ แม่ทัพลั่วมองข้าวเปล่าถ้วยเล็ก ๆ ตรงหน้าและผัดผักหนึ่งอย่าง ก่อนจะเลื่อนอาหารตรงหน้ามาให้ลั่วหนิงฮวา "เจ้ากินเถิด" "ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าท่านหิว ท่านกินเถิด ข้าไม่หิวเจ้าค่ะ" บิดานางแก่ชรามากแล้ว ย่อมอยู่อย่างลำบากเช่นนี้ไม่ไหว อาหารเพียงเท่านี้ย่อมไม่เพียงพอที่จะกินกันถึงสองคน แม่ทัพลั่วสิ่งยิ้มให้ลั่วหนิงฮวาก่อนจะยื่นมือมาลูบศีรษะของนางด้วยความรักใคร่ "หนิงเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดที่ทำให้พ่อรู้สึกผิดมาโดยตลอด นั่นก็คือการละเลยเจ้า พ่อไม่ได้ปกป้องเจ้าให้ดี ทำให้เจ้าถูกคนชั่วรังแกมาโดยตลอด" "ท่านพ่อ ท่านอย่าพูดอีกเลยเจ้าค่ะ เรื่องราวมันผ่านไปนานแล้วนะเจ้าคะ ยามนั้นท่านเองก็ออกรบเพื่อบ้านเมือง ข้าเข้าใจท่านพ่อเจ้าค่ะ" "ฟังพ่อ เจ้ากินข้าวเสีย เจ้าจะต้องมีชีวิตรอดออกไป พวกเจ้าสองคนพี่น้องจะต้องมีชีวิตรอดต่อไป" "ท่านพ่อ ท่านหมายความเช่นไร!!!" "ต่อให้ฝ่าบาทจะบีบบังคับเจ้าด้วยวิธีใด จงอย่ายอมรับคำของเขาเด็ดขาด เจ้าสัญญากับพ่อสิ" "ไม่!!! ท่านพ่อ ท่านจะทำสิ่งใด!!!" "ลูกเอ๋ย พ่อแก่ชรามาก
ด้านโจวอี้เฉินและลั่วจินหยางนั้น พวกเขาเดินทางออกจากเมืองหลวงได้ไม่ถึงครึ่งทางเสียด้วยซ้ำ เพียงผ่านหมู่บ้านชนบทที่ลั่วหนิงฮวาเคยอยู่มาก่อน เบื้องหน้าก็ปรากฏภาพของเหล่าทหารราวแสนนายอยู่ตรงหน้า เมื่อมองให้ดีดีจึงได้พบว่า ผู้คุมกองทัพทหารเรือนแสนนั้นก็คือเยี่ยนอ๋อง ซึ่งโจวอี้เฉินเคยได้พบกับเยี่ยนอ๋องในสนามรบเมื่อคราก่อน โจวอี้เฉินละสายตาจากเยี่ยนอ๋องไปหยุดอยู่ที่คนผู้หนึ่งที่อยู่บนหลังม้าร่วมทัพกับเยี่ยนอ๋องก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น นั่นคือผู้ใด?"องค์รัชทายาท นั่นคือฉู่อ๋องพ่ะย่ะค่ะ" "ฉู่อ๋องหรือ?" "ท่านลุงรู้จักเขาหรือ?" "สมัยก่อน เมื่อครั้งที่อดีตฮองเฮายังมีพระชนม์ชีพ ยามที่ตระกูลกู้ยังเรืองอำนาจ กระหม่อมเคยตามท่านพ่อมาร่วมรบกับสองแคว้น กระหม่อมจำเขาได้พ่ะย่ะค่ะ" "เช่นนั้นพวกมัน?""เหตุใดพวกมันจึงล่วงล้ำเข้าสู่เขตดินแดนของหยางโจวได้!!!"กู้เฉวียน ผู้เป็นท่านลุงของโจวอี้เฉินรับรู้ได้ในทันทีว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่ปกติเสียแล้ว "องค์รัชทายาท กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว เหตุใดคนของแคว้นเยี่ยนและแคว้นฉู่จึงกล้ารุกรานผ่านประตูชายแดนเข้ามาในเขตหยางโจวได้ง่ายดายเช่นนี้!!!" ลั่วจินห
"พระโพธิสัตว์โปรดคุ้มครองข้าด้วย ขอให้ข้าเดินทางโดยปลอดภัยด้วยเถิด ขอให้ข้าได้พบกับเสด็จพี่ด้วยเถิด!!!" ท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมทั่วท้องนภา ปรากฏร่างของโจวหลิงหวางที่ควบม้าอย่างรวดเร็วโดยมิหยุดพักท่ามกลางแสงจันทร์ที่ให้แสงสว่างเลือนราง เป้าหมายของเขาคือชายแดนทางทิศใต้ ป้ายทางการทหารนี้จะต้องถึงมือของโจวอี้เฉินให้ได้เขาร้องไห้ไม่หยุดระหว่างเดินทาง ภาพที่เสด็จแม่วางยาพิษเสด็จพ่อยังคงติดตาของเขา เขาเสียใจทุกข์ใจยิ่งนัก ที่มิอาจช่วยเสด็จพ่อได้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งภาพที่เสด็จแม่ถูกเสด็จอาสังหารก็สร้างรอยแผลลึกในใจให้แก่เขา เขาเกลียดเสด็จอายิ่งนัก!!!ยิ่งนึกถึงเสด็จพ่อที่ถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรม ใจของเขาก็บีบรัดจนแน่น"เสด็จพ่อได้โปรดคุ้มครองลูกด้วย" โจวหลิงหวางใช้แส้ฟาดตีไปที่ท้องม้าเพื่อเร่งให้มันวิ่งให้เร็วขึ้น โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่า ด้านหลังของตนนั้นมีร่างของชายชราสวมชุดมังกรสีทองกำลังติดตามเขาออกเดินทางไปด้วยเช่นกันโปรดวางใจเถิดลูกพ่อ ตลอดเส้นทางจะไร้ซึ่งภัยร้ายมากล้ำกรายเจ้า ด้านลั่วหนิงฮวาและแม่ทัพลั่วในยามนี้นั้น ถูกควบคุมตัวมายังคุกหลวงใต้ดินพร้อมกัน ส่วนโจวอวี้หลันเอง