"หยุดเดี๋ยวนี้!!!"
เสียงจากด้านหลังทำให้ลั่วหนิงฮวาและจางสงต้องหันไปมอง ก่อนจะพบกับชายฉกรรจ์ใบหน้าโหดเหี้ยมสองคนที่ก้าวเดินเข้ามาหานาง
"เอาตั๋วเงินคืนมา"
หนึ่งในชายฉกรรจ์สองคนนั้นยื่นมือมาทางลั่วหนิงฮวา พร้อมกับออกคำสั่ง น้ำเสียงของเขาฟังดูไร้ความเป็นมิตรและยังข่มขู่อีกด้วย
ลั่วหนิงฮวาจ้องมองชายผู้นั้นตอบอย่างไม่ลดละ
"เจ้านายเจ้าให้มาทวงคืนหรือ?"
"อย่าสู่รู้ ส่งตั๋วเงินมา"
"นี่เป็นตั๋วเงินของข้า"
"อย่าให้ข้าต้องใช้กำลัง หากไม่ยอมส่งมาให้ข้าแต่โดยดี ข้าจะใช้ไม้นี่ฟาดพวกเจ้าทั้งสองเสีย!!!"
"พวกเจ้านี่พูดไม่รู้ฟังจริงเชียว นี่มันเงินข้า!!!"
"เช่นนั้นขออภัยด้วยที่ข้าต้องล่วงเกินแม่นาง"
"ตามสบาย"
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเตรียมจะพุ่งเข้ามาหาลั่วหนิงฮวา แต่ทว่านางกลับหลบหลีกได้อย่างพลิ้วไหว มือสวยยื่นออกไปแย่งไม้ในมือของชายผู้นั้นได้อย่างรวดเร็ว พวกมันไม่ทันตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ กว่าจะรู้ตัวก็ถูกนางใช้ไม้นั้นฟาดใส่ไม่ยั้งเสียแล้ว
ผัวะ!!!
"อ๊าสสส!!!"
"จางสง ยืนบื้ออยู่ทำไม ฟาดมันสิ!!! ฟาดให้ตายไปเลย!!!"
"ขอรับลูกพี่!!!"
ชายฉกรรจ์สองคนส่งเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด พวกนั้นถูกลั่วหนิงฮวาฟาดไม้ใส่ไม่ยั้งจนล้มลงไปกองกับพื้น เพราะร่างนี้ยังบอบบางนักจึงใช้แรงได้ไม่ดีเท่าที่ควร เห็นทีนางคงต้องหาทางฝึกฝนตนเองเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว
"หยุดนะพวกเจ้า!!!"
ไม้ในมือของลั่วหนิงฮวาชะงักไปทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมอง
เป็นชายผู้นั้นที่โยนลูกเต๋ากับนาง!
เขาเป็นบุตรชายเจ้าของโรงพนันแห่งนั้น
เหตุใดนางจึงรู้น่ะหรือ ก็ผีสาวตนนั้นกระซิบบอกนางอย่างไรเล่า!
ชายผู้นั้นพุ่งเข้ามาหาลั่วหนิงฮวาทันที ก่อนจะหยุดยืนตรงหน้านางและจ้องมองนางอย่างไม่ลดละ
"เจ้าตีคนของข้า!!!"
"คนของเจ้ามาทวงเงินข้าก่อน นี่มันเงินข้า อ้อ เป็นเจ้าสินะที่ส่งคนพวกนี้มา"
"ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร"
"ไสหัวไป ข้าไม่อยากทะเลาะกับเจ้า"
"มันอยู่ตรงนั้น!!!"
ยังไม่ทันที่ลั่วหนิงฮวาจะได้จากไป ก็ปรากฏชายฉกรรจ์มาเพิ่มอีกสองคน พวกมันจ้องมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่กับนางด้วยแววตาที่เหี้ยมโหด
ลั่วหนิงฮวาที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มกริ่มในใจ
อ้อ ไอ้หมอนี่โดนคนไล่ฆ่ามา?
เมื่อคิดได้เช่นนั้นลั่วหนิงฮวาจึงรีบเอ่ยขึ้นมาทันที
"พี่ชายเขาอยู่นี่ มาจับตัวเขาไปเลย"
"นี่เจ้า!!!"
"ทำไมเล่า หรืออยากให้ข้าช่วย!!!"
"ใครขอร้องเจ้ากัน!"
"เช่นนั้นก็ดี ข้าไปก่อนละ"
"ช้าก่อน!!!"
"หืม"
"ช่วยข้าด้วย"
"ได้สิ ห้าพันตำลึง"
"หา?"
"ข้าช่วยเจ้า เจ้าจ่ายมา ตั๋วเงินห้าพันตำลึง"
"จะปล้นข้าหรือ!!!"
"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า"
"ก็ได้!!!"
ลั่วหนิงฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะมองไปยังชายฉกรรจ์สองคนนั้นที่เตรียมพุ่งเข้ามาหาพวกนาง
ลั่วหนิงฮวาเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างว่องไว นางฟาดไม้ใส่พวกมันอย่างเต็มแรง ทุกจุดที่ไม้ฟาดใส่ล้วนเป็นจุดสำคัญ พวกมันล้มลงบาดเจ็บร้องโอดครวญอย่างน่าเวทนา
ยะฮู้!!! ช่างสนุกยิ่งนัก
"ยืนบื้ออยู่ทำไม หนีสิ!!!"
ลั่วหนิงฮวากระชากคอเสื้อของชายผู้นั้นให้วิ่งตามนางไปทันที ทั้งสามคนวิ่งมาถึงแม่น้ำหน้าเรือนของลั่วหนิงฮวา ก่อนจะทรุดกายนั่งลงด้วยความเหน็ดเหนื่อย
"ไม่น่าจะตามมาทันแล้ว"
"ขอบใจเจ้ามาก"
"เอามา ตั๋วเงินห้าพันตำลึง"
ลั่วหนิงฮวายื่นมือไปตรงหน้าชายผู้นั้น เขาถลึงตาใส่นางเล็กน้อย
"เอามา!!! ข้าไม่รับผ่อน จ่ายสดเท่านั้น!!!"
"ชิ!"
เมื่อจนปัญญาเขาจึงนำตั๋วเงินส่งให้นางห้าพันตำลึง โชคดีที่เมื่อครู่เขานำเงินติดตัวมาด้วย หากมิใช่ว่าพบเจอคู่อริเก่า คงไม่ต้องถูกนางรีดไถเช่นนี้แน่
"ข้าชื่อหลัวเฟิง เจ้าล่ะ"
"เรียกข้าว่า หนิงเอ๋อร์ก็ได้"
"หึ ข้าไม่ขอบใจเจ้าหรอกนะ เพราะเจ้าน่ะเอาเงินข้าไปหมดแล้ว"
"เงินเพียงเท่านี้เจ้าย่อมหาใหม่ได้ ดีกว่าต้องตกตายไป หากเป็นเช่นนั้น คู่รักของเจ้าที่เป็นบุรุษรูปงามคงเสียใจแย่"
"นี่เจ้า!!!"
"ข้าเห็น ข้ารู้ โลกรู้ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ"
"ห้ามบอกผู้ใด!!!"
"เจ้ามีสิ่งใดมาอุดปากข้าหรือไม่?"
หลัวเฟิงเม้มริมฝีปากแน่น ในใจนึกสาปแช่งลั่วหนิงฮวาเป็นพันครั้ง
"ข้าจะส่งตั๋วเงินมาให้เจ้าอีก พอใจหรือไม่"
"ดีมากสหายรัก ฮ่า ๆ ๆ"
"ใครสหายเจ้ากัน หึ!!! คราวหน้าอย่าไปที่โรงพนันของข้าอีก ลูกค้าเช่นเจ้าไปบ่อยครั้งเห็นทีโรงพนันข้าคงล่มจมเป็นแน่!!!"
"ข้าชอบโรงพนันของเจ้า ไว้จะแวะไปอีก"
"นี่เจ้า ข้าบอกว่าไม่ให้ไป!!!"
"ข้าต้องฟังเจ้าหรือ ข้าเป็นผู้มีพระคุณของเจ้านะ"
"พระคุณอันใดกัน ข้าจ่ายเงินให้เจ้าไปแล้ว!!!"
"มันคนละส่วนกัน ตั๋วเงินห้าพันตำลึงนี่ถือเป็นค่าทำขวัญที่เจ้าส่งคนมาทำร้ายข้า ส่วนเรื่องที่ข้าช่วยเจ้าถือเป็นบุญคุณ เจ้าต้องตอบแทน"
"เจ้าเล่ห์นักนะ"
"ไม่ได้หรือ เช่นนั้นเห็นทีเรื่องราวของเจ้ากับ..."
"ก็ได้!!! เจ้าต้องการสิ่งใด!"
เมื่อไร้หนทางโต้เถียง หลัวเฟิงจึงต้องจำยอม เขาไม่มีทางยอมให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องอับอายขายหน้าเพราะเขาเป็นอันขาด เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงหันไปมองลั่วหนิงฮวาที่ยามนี้มีเพียงใบหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านสิ่งใดแม้แต่น้อย ยิ่งมองเขาก็ยิ่งเสียวสันหลังพิกล
ลั่วหนิงฮวายื่นหน้าเข้าไปหาเขา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
"เรามาทำการค้าขายร่วมกันเถอะ"
วังหลวงตำหนักบูรพา "ฮืออออ องค์รัชทายาท!!!"เสียงร่ำไห้คร่ำครวญของเหล่านางกำนัลและขันทีดังกึกก้องไปทั่วทั้งตำหนักบูรพา ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์รัชทายาท โจวอี้เฉิน ผู้เป็นพระโอรสองค์โตของฮ่องเต้โจวเหลียนไม่ไกลมากนัก ปรากฏร่างของสตรีวัยกลางคนนางหนึ่ง ผู้สวมชุดสีแดงงดงามน่าเกรงขาม ใบหน้าสวยหวานดูเย็นชาอำมหิต นางแสยะยิ้มจ้องมองร่างไร้วิญญาณของโจวอี้เฉินอย่างดูแคลน นางก็คือเซียวฮองเฮา มารดาเลี้ยงของโจวอี้เฉิน ทุกการกระทำและการแสดงออกบนใบหน้าของนาง อยู่ในสายตาของโจวอี้เฉินทั้งหมด ในยามนี้วิญญาณของเขาหลุดลอยออกจากร่าง กลายเป็นเพียงดวงจิตดวงหนึ่งเท่านั้น จึงทำให้เขาสามารถรับรู้ได้ในทันที ว่าที่ผ่านมาเขากลายเป็นเครื่องมือให้พวกคนชั่วหลอกใช้มานานหลายปี เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กอายุเพียงแปดขวบปี อดีตฮองเฮาผู้เป็นมารดาได้สิ้นพระชนม์ลงอย่างกะทันหัน เสด็จพ่อจึงแต่งตั้งเซียวกุ้ยเฟยขึ้นเป็นฮองเฮา คอยอบรมเลี้ยงดูเขา นางเลี้ยงดูเขาราวกับบุตรในอุทร จนเขาหลงเชื่อนางทุกคำ ยอมละทิ้งตระกูลฝั่งท่านแม่ มอบป้ายทางการทหารของเสด็จแม่ให้นางดูแลทั้งหมด เมื่อนางได้สมดั่งใจปรารถนา จึงวางยาพิษเขาอย่างเลือดเย็
"องค์หญิง กระหม่อมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ในขณะที่โจวอวี้หลันกำลังครุ่นคิดหาทางออกอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา นางหันไปมอง ก่อนจะพบกับ ลั่วจินหยาง รองแม่ทัพลั่วที่นางส่งคนให้เรียกตัวเขาเข้าวังหลวงก่อนหน้านี้ลั่วจินหยาง เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลลั่ว เขาคือพี่ชายร่วมมารดากับลั่วหนิงฮวา โจวอวี้หลันจ้องมองเขาอย่างพิจารณา ใบหน้าหล่อเหลา แต่ผิวออกจะคล้ำไปเสียหน่อย โดยรวมแล้วถือว่าเป็นบุรุษที่รูปงามผู้หนึ่ง "รองแม่ทัพลั่ว ข้าอยากขอความช่วยเหลือจากท่าน" "เชิญองค์หญิงรับสั่งมาได้พ่ะย่ะค่ะ เพื่อองค์หญิงแล้ว กระหม่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง" ลั่วจินหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม แต่ทว่าดวงตาคมกลับเหลือบมองหน้าอกหน้าใจของโจวอวี้หลันเป็นระยะ โอวว เหมือนจะใหญ่ขึ้นสินะ? ช้าก่อน! นี่มิใช่เวลา โจวอวี้หลันเองก็พอจะรับรู้ว่าถูกลั่วจินหยางจ้องมอง นางลอบสบถด่าทอเขาเป็นพันครั้ง ในใจนึกอยากกระโดดถีบคนบ้ากามผู้นี้ออกไปจากตำหนักบูรพาเสีย "ข้าจะทูลต่อเสด็จพ่อ ขอพระราชทานอนุญาตให้นำโจวอี้เฉินไปรักษากับท่านหมอเทวดาที่หมู่บ้านชนบทนอกเมืองหลวง การเดินทางในครั้งนี้ ข้าอยากให้ท่านคอยอารักขาตั
สามวันต่อมาโจวอวี้หลันและลั่วจินหยางก็นำโจวอี้เฉินออกจากวังหลวงมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านชนบทที่ด้านนอกวังหลวงทันที เส้นทางที่พวกเขาผ่านนั้น มีต้นไม้ล้อมรอบ ยามนี้อากาศอุ่นขึ้นบ้างแล้ว หิมะจึงดูบางเบาลงไปไม่หนาตามากเท่าใดนัก สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาในรถม้าเป็นระยะ โจวอวี้หลันยื่นมือไปเปิดผ้าม่านเพื่อดูบรรยากาศโดยรอบ นางเงยหน้าไปสบตากับลั่วจินหยางที่หันมามองนางเข้าพอดี เขาส่งยิ้มให้นางเล็กน้อย ใจของนางกระตุกไหววูบหนึ่ง ก่อนจะรีบหลบสายตาเขาและปล่อยม่านรถม้าลง และหันกลับมามองโจวอี้เฉินที่นอนหลับอยู่ภายในรถม้าแทนระยะทางค่อนข้างไกลไม่น้อย ระหว่างทางขบวนรถม้าหยุดพักอยู่หลายครา โจวอวี้หลันเกรงว่าการเดินทางจะล่าช้า จึงสั่งให้รถม้าออกเดินทางต่อทันที จวบจนเข้าสู่เขตป่าใหญ่ จู่ ๆ ก็มีเหล่านักฆ่าชุดดำพุ่งทะยานเข้ามาสังหารเหล่าทหารอย่างรวดเร็ว ลั่วจินหยางที่เห็นเช่นนั้นก็หรี่ตามองเหล่านักฆ่าคราหนึ่ง ก่อนจะรีบพุ่งทะยานเข้าไปต่อสู้กับพวกมันอย่างไม่รอช้า โจวอวี้หลันรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ จู่ ๆ รถม้าก็หยุดกะทันหันเช่นนี้ย่อมมิใช่เรื่องดีแน่เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงยื่นมือไปเปิดผ้าม่านออกเพื่อมองดูสถานก
ลั่วจินหยางรีบวิ่งเข้ามาหาลั่วหนิงฮวาด้วยความดีใจ เขาสำรวจดูน้องสาวของตนอย่างพิจารณา คล้าย ๆ กับว่านางจะผอมลงไปไม่น้อย เมื่อคิดได้เช่นนั้น ใจของลั่วจินหยางก็ให้เจ็บปวดยิ่งนัก แต่ไหนแต่ไรมาเขามิค่อยได้อยู่จวนเท่าใดนัก จึงอาจจะดูห่างเหินกับน้องสาวผู้นี้ไปไม่น้อย แต่ถึงแม้จะใช้ชีวิตอยู่นอกจวนเป็นส่วนมาก แต่เขาเองก็รู้เรื่องที่ลั่วหนิงฮวาถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง เขานึกเจ็บใจไม่น้อย หากเขาได้สืบทอดจวนต่อจากท่านพ่อเมื่อใด เขาจะต้องปกป้องลั่วหนิงฮวาให้จงได้ "พี่ใหญ่" "หนิงเอ๋อร์ พี่ผิดต่อเจ้ายิ่งนัก พี่ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้" ลั่วจินหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดอย่างจริงใจ ลั่วหนิงฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกไป นางสัมผัสได้ถึงความห่างเหินระหว่างพี่น้องคู่นี้ แต่จะไปว่าลั่วจินหยางอยู่ในสนามสงครามเสียส่วนใหญ่ เรื่องนี้นางเข้าใจดี เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อย อย่างไรเสียนางก็ยังมีพี่ชายร่วมมารดาหลงเหลืออยู่ เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันแล้วไปเถิด นางมิใช่สตรีที่เย่อหยิ่งจองหองอันใดเหล่านั้น "ช่างเถิด ว่าแต่พี่ใหญ่มาได้อย่างไรหรือเจ้าคะ" ลั่วจินหยางที่ได้ยินน้อ
ลั่วหนิงฮวาสั่งให้แม่นมหยางและซือลี่ไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเพื่อต้อนรับโจวอวี้หลันและลั่วจินหยาง นางทำอาหารง่าย ๆ ไม่กี่อย่างเพียงเท่านั้น โจวอวี้หลันเองไม่ใช่คนเรื่องมากอันใดนัก นางส่งยิ้มให้ลั่วหนิงฮวาและยังบอกให้นางไปร่วมมื้อค่ำด้วยกันอีกด้วย "ได้ยินว่าเจ้าป่วยหรือ ใบหน้าจึงเป็นอัมพาต" โจวอวี้หลันเอ่ยถามลั่วหนิงฮวาหลังจากที่รับสำรับมื้อค่ำด้วยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ออกมายืนที่ริมระเบียงด้านหน้าเรือน มองดูดวงจันทร์ที่สว่างไสวยามค่ำคืน "เพคะ เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย" "เห็นทีคงจะไม่เล็กน้อยกระมัง"โจวอวี้หลันหันไปเอ่ยถามลั่วหนิงฮวาด้วยน้ำเสียงที่หยอกเย้า ลั่วหนิงฮวายิ้มกริ่มอยู่ในใจ แต่ทว่าใบหน้ากลับยังคงนิ่งสงบ "องค์หญิงทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก เรื่องของสตรีในเรือนหลังองค์หญิงคงจะรู้มาไม่น้อย" "แน่นอน ได้ยินว่าแม่เลี้ยงเป็นคนเลี้ยงดูเจ้า เจ้ากับข้าก็คงไม่ต่างกัน" "นี่คงเป็นเหตุผลที่องค์หญิงเสด็จออกจากวังหลวงกระมัง" "เจ้าเองก็ฉลาดมิใช่น้อย" "ขอบพระทัยองค์หญิงที่ทรงกล่าวชมเพคะ" "ไม่เป็นไร ว่าแต่ชายเหล่านั้น เป็นลูกน้องของเจ้าจริง ๆ หรือ" โจวอวี้หลันเอ่ยถามลั่วหนิงฮวาพร้อมกั
เวลาล่วงเลยมาจนถึงยามเช้า ลั่วหนิงฮวาตื่นนอนแต่เช้าเพื่อมาฝึกฝนร่างกายในทุก ๆ วัน แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาบนใบหน้าสวยที่มีหยดเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดพราย ยิ่งขับให้ความงามของนางหวานล้ำจนโจวอี้เฉินละสายตาไม่ได้ เขานั่งมองนางอยู่เช่นนั้นเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ลั่วหนิงฮวาเองก็ไม่ใส่ใจเขาเท่าใดนัก เมื่อฝึกฝนร่างกายจนพอใจแล้ว นางก็ทิ้งกายนั่งลงตรงลำธารเบื้องหน้าก่อนจะใช้มือวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าของตน "ฝึกเสร็จแล้วหรือ ข้ายังอยากดูต่ออยู่เลย" โจวอี้เฉินเอ่ยกับลั่วหนิงฮวาด้วยน้ำเสียงที่กรุ้มกริ่ม แท้จริงแล้วเขามิได้อยากดูนางฝึกฝนวรยุทธ์ แต่เขาต้องการดูหน้าอกของนางต่างหาก ยามที่นางขยับกายขึ้นลง สองเต้าเต่งตึงของนางก็จะกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ เห็นแล้วเขาอยากจะกินนมยิ่งนัก! ลั่วหนิงฮวาหันไปถลึงตาใส่โจวอี้เฉินอย่างรู้ทัน ผีหน้าหม้อตนนี้ชักจะเอาใหญ่แล้ว!!!"ลูกพี่ สุราที่พวกเราบ่มเอาไว้ได้ที่แล้วขอรับ" จางสงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาลั่วหนิงฮวาด้วยความตื่นเต้น ลั่วหนิงฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยนั่นเป็นสุราสูตรพิเศษที่นางคิดค้นขึ้นมาเองกับมือ ใช้เวลาหมักเพียงไม่กี่วันรสชาติก็จะดีเยี่
เมื่อกลับมาถึงเรือนก็พบว่าลั่วจินหยางและโจวอวี้หลันกำลังยืนอยู่ที่ข้างรถม้า ลั่วหนิงฮวามองดูเหล่าทหารที่นำร่างของโจวอี้เฉินขึ้นไปบนรถม้าด้วยแววตาที่เรียบเฉย "ข้าจะไปแล้วนะ แล้วเราจะได้พบกันอีกหรือไม่?" โจวอี้เฉินโน้มใบหน้าลงมากระซิบที่ข้างใบหูของนาง ความเย็นยะเยือกสายหนึ่งพาดผ่านใบหน้าสวยจนนางรู้สึกขนลุกไปทั้งกายเดิมทียังไม่รู้ว่าจะหาวิธีใดทำให้เขากลับเข้าร่างได้ นางเองก็รับปากไปส่ง ๆ เพื่อให้จบเรื่องเพียงเท่านั้น ไม่คิดว่าเจ้าผีหน้าหม้อตนนี้จะเห็นเป็นจริงเป็นจังถึงเพียงนี้ ลั่วหนิงฮวาไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใด นางหันไปเอ่ยกับลั่วจินหยางและโจวอวี้หลันแทน"พี่ใหญ่จะไปแล้วหรือเจ้าคะ" "อืม หนิงเอ๋อร์ องค์หญิงทรงตรัสว่าชื่นชอบในตัวเจ้าไม่น้อย หากเจ้าไม่มีสิ่งใดต้องทำ พี่อยากจะชวนเจ้าเดินทางไปยังหมู่บ้านชนบทอีกฝั่งหนึ่งด้วยกัน เจ้าเห็นเป็นเช่นไร" ลั่วจินหยางเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน โจวอวี้หลันเองก็ส่งยิ้มให้นางเช่นกัน ลั่วหนิงฮวาหันไปมองหน้าโจวอี้เฉินที่ยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนจะถอนหายใจออกมา การได้ออกไปท่องเที่ยวบ้างก็คงจะดีไม่น้อย "ไปเถิด เจ้าสัญญาแล้วไม่ใช่หรือว่าจะหาทางช่วยข้าให้ก
ลั่วหนิงฮวาได้พักที่เรือนทางด้านปีกซ้าย ส่วนโจวอวี้หลันได้พักที่เรือนปีกขวา ด้านลั่วจินหยางพักที่เรือนใหญ่เพื่อคอยคุ้มกันร่างของโจวอี้เฉิน ลั่วหนิงฮวามองดูบรรยากาศโดยรอบอย่างพึงพอใจ ที่นี่รายล้อมไปด้วยต้นไผ่สีเขียวสด อีกทั้งยังมีสวนสมุนไพรมากมายที่ท่านหมอเทวดาปลูกเอาไว้ ให้ความร่มรื่นดูสบายตาไม่น้อย ก่อนจะกลับมาที่เรือนใหญ่ ท่านหมอเทวดาได้เอ่ยกับนางประโยคหนึ่ง ทุกอย่างล้วนเป็นวาสนา ขอแม่นางอย่าได้กังวลใจ ลั่วหนิงฮวาครุ่นคิดถึงคำพูดของท่านหมอเทวดาก็ให้นึกสงสัยในใจไม่น้อย เขาล่วงรู้เรื่องราวอันใดกันหรือ? "คุณหนูเจ้าคะ บ่าวจะไปจัดเตรียมสิ่งของให้นะเจ้าคะ" "อืม ไปเถิด" ลั่วหนิงฮวาหันไปเอ่ยกับแม่นมหยางและซือลี่คราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองโจวอี้เฉินที่ยามนี้กำลังนอนเอนกายอยู่บนเตียงของนางอย่างสบายอารมณ์ ผีตนนี้นี่มัน!!! "เหตุใดจึงไม่ไปอยู่ที่เรือนใหญ่ ร่างของท่านอยู่ที่นั่นมิใช่หรือ?""ข้าเหงานี่ อยู่กับเจ้าสนุกกว่าตั้งเยอะ" "อย่าคิดก้าวก่ายวุ่นวายชีวิตของข้า มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าท่านเสียอีกรอบ!" "โธ่แม่นาง ช่างใจร้ายใจดำยิ่งนัก ข้าเพียงแค่มานั่งมองเจ้าเพียงเท่านั้น มิได้รบกวนเจ้าเลยสัก
รัชศกอี้เฉินปีที่ 30 เข้าสู่ช่วงเหมันต์ฤดู อากาศค่อนข้างหนาวเย็นเป็นอย่างมาก ยามนี้ลั่วหนิงฮวากำลังนั่งสนทนาอยู่กับโจวอวี้หลันด้านในตำหนักเฟิ่งหวง พวกเขาทั้งสองอายุมากแล้ว แต่ทว่าความงดงามกลับไม่ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ยามว่างโจวอวี้หลันมักจะเข้าวังมาเยี่ยมนางอยู่เสมอ"พี่หญิง ท่านลองดื่มชาหลงจิ่งถ้วยนี้ดูเถิด รสชาติดียิ่งนัก" "อืม" โจวอวี้หลันยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม รสชาติหวานล้ำและกลิ่นหอมของใบชาทำให้นางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ "ได้ยินว่าสองวันก่อน องค์รัชทายาท องค์ชายรองและองค์หญิง ออกไปเที่ยวเล่นนอกวังหลวงมาหรือ" โจวอวี้หลันเอ่ยถามขึ้นมา ลั่วหนิงฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย นางมีพระโอรสสององค์ และองค์หญิงอีกหนึ่งองค์ ลูกทั้งสามมีอายุไม่ห่างกันมากเท่าใดนัก โจวเทียนสิงเป็นองค์รัชทายาท ปีนี้อายุสิบแปดปีเต็มแล้ว โจวเซิงหยวน องค์ชายรองปีนี้อายุสิบหกปีเต็ม และโจวหงอี้อายุสิบสี่ปีเต็ม บุตรทั้งสามของนางนั้นสร้างแต่เรื่องปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน "พี่หญิง พูดถึงพวกเขาแล้วข้าเหนื่อยใจยิ่งนัก" "เอาเถิด เด็ก ๆ ก็เป็นเช่นนี้ ดูลั่วเฟิงบุตรชายคนเดียวของข้าสิ เขาก็เที่ยวเล่นเช่นนี้ประจำ
"อะ อื้อออ!!!" เสียงครวญครางแผ่วต่ำสลับกับเสียงฝนที่โปรยปรายในยามค่ำคืน สร้างความร้อนรุ่มให้แก่โจวอี้เฉินเป็นอย่างยิ่ง"เด็กดี นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น" "อาเฉินร่างกายท่าน!!! ""มิต้องกังวลท่านหมอเทวดาบอกว่าข้าหายดีแล้ว""อื้ออออ!!!" ลั่วหนิงฮวารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อถูกโจวอี้เฉินมอบรสจูบที่แสนเร่าร้อนให้แก่นางเช่นนี้ เขาสอดลิ้นอุ่นร้อนเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นชื้นแฉะของนางอย่างเอาแต่ใจ ยามนี้อาภรณ์ที่แสนประณีตงดงามกลับถูกเขาดึงทึ้งลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว ร่างกายของนางเปลือยเปล่าอ่อนระทวยอยู่ภายใต้ร่างแกร่งของเขา มือหนาใหญ่ลูบไล้ไปทั่วเรือนกายขาวผ่องอย่างซุกซน ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนใบหน้ามาจูบไซ้ที่ซอกคอขาวเนียนของนาง และค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าลงมาที่สองเต้าอวบสวย โจวอี้เฉินครอบริมฝีปากกลืนกินยอดปทุมถันสีหวานของนางอย่างหื่นกระหาย มือหยาบกร้านบีบขยำดอกบัวงามจนเกิดเป็นรอยแดงทั้งสิบนิ้ว "อื้ออออ ข้าเสียว!!!" ลั่วหนิงฮวาแอ่นอกสวยให้เขาเชยชมอย่างไม่ขัดขืน โจวอี้เฉินแลบลิ้นเลียจุกบัวสีหวานของนางอย่างหยอกเย้า ตั้งแต่คลอดพระโอรสองค์แรก เขากับนางก็ห่างเหินเรื่องสัมพันธ์สวาทเช่นนี้มานา
นอกจากจะสังหารโจวเหวินกวงแล้ว หนึ่งเดือนต่อมา โจวอี้เฉินก็พบกับเบาะแสที่จวิ้นอ๋องหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อห้าปีก่อน จวิ้นอ๋องเป็นน้องชายของเสด็จพ่อและเป็นเสด็จอาอีกคนของเขา เมื่อสืบค้นตามคำบอกเล่าของวิญญาณจวิ้นอ๋อง จึงพบว่าเขาถูกโจวเหวินกวงสังหารและฝังร่างไว้ที่ท้ายจวนชินอ๋องอย่างเลือดเย็น เพียงเพราะเขาไปได้ยินว่าโจวเหวินกวงวางแผนจะลอบวางยาอดีตฮ่องเต้ แต่กลับทำไม่สำเร็จ เพราะเสด็จพ่อของเขาก็ทรงระวังพระองค์ไม่น้อยแท้จริงโจวเหวินกวงคิดเรื่องนี้มานานหลายปีแล้ว มิใช่เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ จวิ้นอ๋องก็ไม่ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยตามคำบอกเล่าของคนอื่น ๆ ที่บอกว่าเขาถูกฆ่าเพราะมัวเมาสตรีผิดลูกผิดเมียผู้อื่น แต่แท้จริงแล้ว เพราะไปรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้มาก่อนเพียงเท่านั้น จึงถูกสังหารจนตกตายร่างของจวิ้นอ๋องถูกนำกลับมาฝังในสุสานราชวงศ์อย่างสมเกียรติ "อาเฉินขอบใจเจ้ามาก" "เสด็จอาจวิ้นอ๋องมิต้องเกรงใจ""อาเฉิน เดิมทีข้าจะต้องไปเกิดแล้ว แต่เพราะความงามของลั่วฮองเฮา ข้าจึงอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อย" โจวอี้เฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันขวับไปมองจวิ้นอ๋องทันที "เสด็จอา ท่านอยากตายรอบสองหรือไม่พ่ะ
เมื่อได้รับราชโองการฉบับจริงกลับมาแล้ว โจวอี้เฉินจึงขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้หยางโจวพระองค์ใหม่อย่างถูกต้องตามพระราชประเพณี โจวเหวินกวงถูกจับขังเอาไว้ที่คุกหลวง โจวอี้เฉินสั่งให้คนจับตาดูเขาทุกฝีก้าวเพื่อมิให้เขาลักลอบฆ่าตัวตายได้สำเร็จ เพราะมีความตายที่เขารอจะมอบให้โจวเหวินกวงอยู่แล้ว หยางโจวรัชศกอี้เฉิน ปีที่หนึ่ง วันนี้เป็นฤกษ์มงคลที่โหราจารย์คัดสรรมาอย่างดี ท้องฟ้าและแสงแดดค่อนข้างปลอดโปร่งเป็นใจยิ่งนัก บนถนนซึ่งทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด มีขบวนเกียรติยศขบวนหนึ่ง ค่อย ๆ เคลื่อนไปอย่างช้า ๆ ท่ามกลางเสียงดนตรีบรรเลงเพลงขับขานชวนหลงใหล เกี้ยวมงคลสีเหลืองทอง ขนาดสิบหกคนหาม ม่านเกี้ยวปักดิ้นทองลายหงส์น่าเกรงขามโดดเด่นงดงามตระการตามิใช่น้อย เกี้ยวมงคลอันงดงามนี้เคลื่อนขบวนจากจวนตระกูลลั่วมุ่งหน้าสู่วังหลวง สตรีที่คู่ควรกับขบวนเกียรติยศงดงามโอ่อ่าหลังนี้มีเพียงฮองเฮาเท่านั้น ลั่วหนิงฮวาสวมชุดสีทองปักลายหงส์งามสง่า บนศีรษะประดับมงกุฎหงส์ ขับเน้นให้ใบหน้าสวยหวานดูงดงามน่าเกรงขามไม่น้อย ยามนี้นางกำลังนั่งอยู่ในเกี้ยวเพื่อมุ่งหน้าสู่พระราชวัง ขบวนเกียรติยศมาถึงวังหลวงอย่างสง่างาม ยามที่นาง
โจวเหวินกวงลนลานปล่อยมือออกจากร่างของลั่วหนิงฮวาก่อนจะทรุดกายลงไปกับพื้น แล้วจึงสั่งเหล่าทหารให้เตรียมต้านรับสุดกำลัง เมื่อหันมาอีกครากลับพบว่านางหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว วิญญาณจวิ้นอ๋องและอดีตฮองเฮาบดบังกายนางเอาไว้ อีกทั้งยังบอกนางว่าโจวเหวินกวงคนสารเลวได้สังหารท่านตาของโจวอี้เฉินไปก่อนหน้าแล้ว ลั่วหนิงฮวากำมือแน่น ความเกลียดชังที่มีต่อโจวเหวินกวงยิ่งทบทวีมากขึ้นไปอีกลั่วหนิงฮวามุ่งหน้ามายังตำหนักเย็นซึ่งเป็นที่ที่โจวอวี้หลันถูกจับกุมตัวเอาไว้ ระหว่างทางนางแอบหยิบดาบและธนูของทหารที่วางไว้ติดมือมาด้วย"พี่หญิง!!!" "หนิงเอ๋อร์ เจ้า!!!" "พี่หญิง ฮึก ท่านตาของท่านและท่านพ่อของข้า ถูกประหารสิ้นแล้ว!!!" โจวอวี้หลันที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ ลั่วหนิงฮวาที่ไร้เรี่ยวแรงไม่น้อยไปกว่ากัน ต้องเข้ามาช่วยประคองโจวอวี้หลันเอาไว้ "พี่หญิง หนีก่อนเถิด!!!" "หนีเช่นไร ยามนี้ข้าไม่มีอาวุธเลย!!!" "ไม่ต้องกังวล ระหว่างทางข้าแอบหยิบดาบของทหารและธนูติดมาด้วย โจวอี้เฉินมาถึงแล้ว เราย่อมหนีออกไปได้ รีบไปเถิด ยามนี้กองทัพของอาเฉินและพี่ใหญ่กำลังรอเราอยู่!!!" โจวอวี้หลันที่ได้ยินเช่
ลานประหาร โจวเหวินกวงสั่งให้ทหารนำแม่ทัพลั่วไปมัดขึงเอาไว้ที่กลางลานประหาร ก่อนจะลากตัวลั่วหนิงฮวามายืนอยู่กับเขา และใช้แขนล็อกคอของนางเอาไว้มิให้ขยับหนีไปได้ "หนิงฮวา เจ้าจงดูให้เต็มตาเสียเถิด เพราะต้องการปกป้องเจ้าและคิดขัดคำสั่งข้า พ่อของเจ้าต้องพบกับจุดจบเช่นใด" "ปล่อยข้า!!!""ปล่อยแน่นอน แต่หลังจากที่ข้าฆ่าพ่อของเจ้าเรียบร้อยแล้ว!!!" "เหวินกวง ไอ้คนต่ำช้า!!!" "มานี่!!!" โจวเหวินกวงฉุดกระชากลากถูลั่วหนิงฮวามายืนอยู่ไม่ไกลจากแม่ทัพลั่วมากนัก ลั่วหนิงฮวาจ้องมองผู้เป็นบิดาด้วยความเจ็บปวด ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ หยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินไม่ขาดสาย แม่ทัพลั่วส่งยิ้มให้บุตรสาวอีกคราหนึ่งด้วยความเหนื่อยล้า เขาตรากตรำอยู่ในสนามรบ ต่อสู้เพื่อแคว้นเพื่อราษฎรมานานหลายปี ไม่ตกตายในสนามรบ แต่กลับถูกสังหารเพราะคนชั่ว ช่างเถิด ชีวิตคนเราก็มีเพียงเท่านี้ จะเกรงกลัวความตายไปไยกัน"อย่ารับปากคนชั่ว นี่เป็นคำขอสุดท้ายของพ่อ พ่อหวังเพียงให้พวกเจ้าจดจำเรื่องราวในวันนี้ให้ดี แล้วจงเข้มแข็ง อยู่ต่ออย่างภาคภูมิ" "ท่านพ่อออออ!!!" "ถึงตายข้าก็ไม่เสียใจ ข้าเป็นทหาร มีเลือดนักรบไหลเวียนอยู่ในกาย ข้
คุกหลวง ลั่วหนิงฮวาจ้องมองอาหารตรงหน้าก่อนจะก่นด่าโจวเหวินกวงในใจ นี่เท่ากับบีบคั้นนางชัด ๆ แม่ทัพลั่วมองข้าวเปล่าถ้วยเล็ก ๆ ตรงหน้าและผัดผักหนึ่งอย่าง ก่อนจะเลื่อนอาหารตรงหน้ามาให้ลั่วหนิงฮวา "เจ้ากินเถิด" "ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าท่านหิว ท่านกินเถิด ข้าไม่หิวเจ้าค่ะ" บิดานางแก่ชรามากแล้ว ย่อมอยู่อย่างลำบากเช่นนี้ไม่ไหว อาหารเพียงเท่านี้ย่อมไม่เพียงพอที่จะกินกันถึงสองคน แม่ทัพลั่วสิ่งยิ้มให้ลั่วหนิงฮวาก่อนจะยื่นมือมาลูบศีรษะของนางด้วยความรักใคร่ "หนิงเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดที่ทำให้พ่อรู้สึกผิดมาโดยตลอด นั่นก็คือการละเลยเจ้า พ่อไม่ได้ปกป้องเจ้าให้ดี ทำให้เจ้าถูกคนชั่วรังแกมาโดยตลอด" "ท่านพ่อ ท่านอย่าพูดอีกเลยเจ้าค่ะ เรื่องราวมันผ่านไปนานแล้วนะเจ้าคะ ยามนั้นท่านเองก็ออกรบเพื่อบ้านเมือง ข้าเข้าใจท่านพ่อเจ้าค่ะ" "ฟังพ่อ เจ้ากินข้าวเสีย เจ้าจะต้องมีชีวิตรอดออกไป พวกเจ้าสองคนพี่น้องจะต้องมีชีวิตรอดต่อไป" "ท่านพ่อ ท่านหมายความเช่นไร!!!" "ต่อให้ฝ่าบาทจะบีบบังคับเจ้าด้วยวิธีใด จงอย่ายอมรับคำของเขาเด็ดขาด เจ้าสัญญากับพ่อสิ" "ไม่!!! ท่านพ่อ ท่านจะทำสิ่งใด!!!" "ลูกเอ๋ย พ่อแก่ชรามาก
ด้านโจวอี้เฉินและลั่วจินหยางนั้น พวกเขาเดินทางออกจากเมืองหลวงได้ไม่ถึงครึ่งทางเสียด้วยซ้ำ เพียงผ่านหมู่บ้านชนบทที่ลั่วหนิงฮวาเคยอยู่มาก่อน เบื้องหน้าก็ปรากฏภาพของเหล่าทหารราวแสนนายอยู่ตรงหน้า เมื่อมองให้ดีดีจึงได้พบว่า ผู้คุมกองทัพทหารเรือนแสนนั้นก็คือเยี่ยนอ๋อง ซึ่งโจวอี้เฉินเคยได้พบกับเยี่ยนอ๋องในสนามรบเมื่อคราก่อน โจวอี้เฉินละสายตาจากเยี่ยนอ๋องไปหยุดอยู่ที่คนผู้หนึ่งที่อยู่บนหลังม้าร่วมทัพกับเยี่ยนอ๋องก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น นั่นคือผู้ใด?"องค์รัชทายาท นั่นคือฉู่อ๋องพ่ะย่ะค่ะ" "ฉู่อ๋องหรือ?" "ท่านลุงรู้จักเขาหรือ?" "สมัยก่อน เมื่อครั้งที่อดีตฮองเฮายังมีพระชนม์ชีพ ยามที่ตระกูลกู้ยังเรืองอำนาจ กระหม่อมเคยตามท่านพ่อมาร่วมรบกับสองแคว้น กระหม่อมจำเขาได้พ่ะย่ะค่ะ" "เช่นนั้นพวกมัน?""เหตุใดพวกมันจึงล่วงล้ำเข้าสู่เขตดินแดนของหยางโจวได้!!!"กู้เฉวียน ผู้เป็นท่านลุงของโจวอี้เฉินรับรู้ได้ในทันทีว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่ปกติเสียแล้ว "องค์รัชทายาท กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว เหตุใดคนของแคว้นเยี่ยนและแคว้นฉู่จึงกล้ารุกรานผ่านประตูชายแดนเข้ามาในเขตหยางโจวได้ง่ายดายเช่นนี้!!!" ลั่วจินห
"พระโพธิสัตว์โปรดคุ้มครองข้าด้วย ขอให้ข้าเดินทางโดยปลอดภัยด้วยเถิด ขอให้ข้าได้พบกับเสด็จพี่ด้วยเถิด!!!" ท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมทั่วท้องนภา ปรากฏร่างของโจวหลิงหวางที่ควบม้าอย่างรวดเร็วโดยมิหยุดพักท่ามกลางแสงจันทร์ที่ให้แสงสว่างเลือนราง เป้าหมายของเขาคือชายแดนทางทิศใต้ ป้ายทางการทหารนี้จะต้องถึงมือของโจวอี้เฉินให้ได้เขาร้องไห้ไม่หยุดระหว่างเดินทาง ภาพที่เสด็จแม่วางยาพิษเสด็จพ่อยังคงติดตาของเขา เขาเสียใจทุกข์ใจยิ่งนัก ที่มิอาจช่วยเสด็จพ่อได้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งภาพที่เสด็จแม่ถูกเสด็จอาสังหารก็สร้างรอยแผลลึกในใจให้แก่เขา เขาเกลียดเสด็จอายิ่งนัก!!!ยิ่งนึกถึงเสด็จพ่อที่ถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรม ใจของเขาก็บีบรัดจนแน่น"เสด็จพ่อได้โปรดคุ้มครองลูกด้วย" โจวหลิงหวางใช้แส้ฟาดตีไปที่ท้องม้าเพื่อเร่งให้มันวิ่งให้เร็วขึ้น โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่า ด้านหลังของตนนั้นมีร่างของชายชราสวมชุดมังกรสีทองกำลังติดตามเขาออกเดินทางไปด้วยเช่นกันโปรดวางใจเถิดลูกพ่อ ตลอดเส้นทางจะไร้ซึ่งภัยร้ายมากล้ำกรายเจ้า ด้านลั่วหนิงฮวาและแม่ทัพลั่วในยามนี้นั้น ถูกควบคุมตัวมายังคุกหลวงใต้ดินพร้อมกัน ส่วนโจวอวี้หลันเอง