พระชายานิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ปล่อยให้ความเจ็บปวดในน้ำเสียงขององค์รัชทายาทล่องลอยอยู่ในความเงียบงันของห้องหอ ก่อนที่สุรเสียงอันราบเรียบของนางจะดังขึ้นทำลายทุกสิ่ง
“หม่อมฉันได้ปิ่นนี้มา... จากคุณชายผู้หนึ่งเพคะ”
องค์รัชทายาทขมวดพระขนงกับคำตอบที่ไม่คาดคิด
“คุณชาย?”
“เพคะ” นางตอบรับ “เมื่อหลายปีก่อน หม่อมฉันในวัยเยาว์รู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตที่ถูกตีกรอบอยู่ในจวนอ๋อง หม่อมฉันปรารถนาจะได้เห็นโลกภายนอก อยากสัมผัสชีวิตของชาวบ้านที่แท้จริง จึงได้ขออนุญาตบิดาปลอมตัวเป็นหญิงสาวสามัญชน ออกไปใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ชายป่า พร้อมกับองครักษ์และนางข้าหลวงคนสนิทเพียงสองคน สวมบทเล่นเป็นพ่อแม่ลูก”
หัวใจขององค์รัชทายาทกระตุกวูบ... เรื่องราวของนางช่างคล้ายคลึงกับของพระองค์เหลือเกิน
“มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของหม่อมฉัน” นางเล่าต่อ น้ำเสียงเจือความฝันหวาน “หม่อมฉันได้เรียนรู้วิธีเก็บสมุนไพร แยกแยะเห็ดมีพิษ ได้หัวเราะอย่างเต็มเสียงโดยไม่ต้องกังวลถึงยศศักดิ์ และที่นั่นเอง... หม่อมฉันได้พบกับคุณชายรูปงามผู้หนึ่งที่หนีความวุ่นวายมาพักผ่อนหย่อนใจเช่นกัน เราตกหลุมรักกันอย่างรวดเร็ว”
องค์รัชทายาทแทบหยุดหายใจ
“เขามอบปิ่นหยกนี้ให้หม่อมฉัน... เป็นสัญญาใจว่าจะกลับมารับหม่อมฉันไปอยู่ด้วย” นางเว้นจังหวะ พร้อมกับหัวเราะเบาๆ “แต่โชคชะตาก็เล่นตลก... ไม่กี่วันหลังจากนั้น บิดาก็มีราชการด่วน เรียกตัวหม่อมฉันกลับจวนอ๋องอย่างกะทันหัน ทำให้เราต้องคลาดจากกันไปนับแต่นั้น”
เรื่องราวที่เหมือนกันราวกับแกะทำให้องค์รัชทายาทรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า ความหวังที่เคยริบหรี่ดับวูบลง ถูกแทนที่ด้วยความโกรธระลอกใหม่
“อย่ามาล้อเล่นกับข้า!” พระองค์ตวาด “เจ้าได้ยินเรื่องของข้าแล้วจึงมาแต่งเรื่องเลียนแบบรึ! คิดว่าข้าโง่เขลาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ!”
“หม่อมฉันไม่ได้แต่งเรื่องเพคะ” นางตอบกลับอย่างสงบ “เพราะมีอยู่ประโยคหนึ่ง... ที่พระองค์ไม่ได้เล่าออกมา”
“ประโยคอะไร?”
พระชายาหันหน้ามาทางพระองค์เต็มตัว แม้จะอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้า แต่พระองค์ก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องตรงมา
“ในวันที่พระองค์ชายผู้นั้นมอบปิ่นนี้ให้หม่อมฉัน... พระองค์บอกว่า... ‘รอยยิ้มของเจ้าสดใสกว่าตะวัน ข้าจะปกป้องมันเอง ไม่ใช่ด้วยอำนาจ แต่ด้วยหัวใจของข้า ได้โปรดมาอยู่กับข้าเถอะ’ ประโยคนี้ พระองค์ไม่ได้เล่าเมื่อครู่ใช่หรือไม่เพคะ?”
องค์รัชทายาทตัวแข็งทื่อราวกับถูกฟ้าผ่า เป็นความจริง... นั่นคือคำพูดที่พระองค์กระซิบกับนางในวันนั้น เป็นคำพูดส่วนตัวที่พระองค์ไม่ได้เอ่ยออกมาเมื่อครู่!
“พระองค์เรียกหม่อมฉันแต่พระชายาหลี่ ท่านหญิงหลี่ อาจเป็นเพราะถูกคลุมถุงชน แล้วพระองค์ทรงทราบนามจริงของหม่อมฉันบ้างไหมเพคะ?”
ก่อนที่พระองค์จะได้ตรัสสิ่งใด พระชายาก็ยกมือขึ้นช้าๆ ปลดผ้าคลุมหน้าสีแดงโปร่งบางนั้นออก เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามหมดจดภายใต้เครื่องประทินโฉมของเจ้าสาว ดวงตาคู่ใสซื่อที่เคยหลอกหลอนพระองค์ในความฝันมาตลอดหลายปีกำลังจ้องมองมา…
จากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืน ปลดขอเกี่ยวฉลองพระองค์เจ้าสาวลายหงส์ที่หนักอึ้งออกอย่างไม่ไยดี ปล่อยให้แพรพรรณสีแดงสดกองลงบนพื้น เผยให้เห็นอาภรณ์ผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีมอซอที่นางสวมไว้ข้างใน... ชุดของหญิงสาวชาวบ้านที่พระองค์คุ้นเคยเป็นอย่างดี
นางหยิบผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำบนโต๊ะขึ้นมา บรรจงเช็ดเครื่องสำอางหนาเตอะบนใบหน้าออกทีละน้อย จนปรากฏใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเด็กสาวในความทรงจำ... เด็กสาวที่มีรอยยิ้มสดใสกว่าตะวันยามเช้าที่พระองค์คุ้นตา...
“ซิงจวน...” สุรเสียงขององค์รัชทายาทสั่นพร่า เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
นางแย้มยิ้ม... เป็นรอยยิ้มที่พระองค์โหยหามาตลอด
“หม่อมฉันรอคอยวันนี้มาตลอดเพคะองค์รัชทายาท... พระองค์ไม่ได้ผิดสัญญาเลย”
วินาทีนั้น กำแพงแห่งความโกรธแค้นและความสิ้นหวังขององค์รัชทายาทก็พังทลายลงจนหมดสิ้น พระองค์โผเข้าไปกอดร่างนั้นไว้แน่นราวกับกลัวว่านางจะหายไปอีกครั้ง กลิ่นดินและกลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ ที่เคยเป็นดั่งความทรงจำอันห่างไกล บัดนี้หวนกลับมาอยู่กับความเป็นจริงในอ้อมแขนของพระองค์
“ซิงจวน... เป็นเจ้าจริงๆ... ข้าคิดว่าข้าจะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้วในชีวิตนี้” พระองค์พร่ำบอกด้วยสุรเสียงอู้อี้อยู่ที่ซอกคอนาง
“หม่อมฉันก็เช่นกันเพคะ” นางตอบ กอดพระองค์กลับแน่น “วันที่ต้องจากมาโดยไม่ได้ร่ำลา หัวใจของหม่อมฉันแทบสลาย แต่เมื่อกลับถึงจวน หม่อมฉันก็ตั้งปณิธานไว้... ว่าจะต้องหาทางกลับไปอยู่เคียงข้างพระองค์ให้ได้ หม่อมฉันจึงรบเร้าพระบิดา... ให้อภิเษกสมรสนี้เกิดขึ้นเพคะ”
องค์รัชทายาทคลายอ้อมกอดออก มองหน้านางด้วยความรู้สึกผิดท่วมท้น
“ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษซิงจวน ข้าไม่เคยรู้เลยว่าสตรีที่บิดาเลือกให้คือเจ้า... ที่ข้าออกเดินทางผจญภัยไปไกลแสนไกล ก็เพื่อหนีการแต่งงานที่ข้าคิดว่าไร้ซึ่งความรัก... เพื่อหนีจากสตรีที่ไม่รู้จัก... แต่แท้จริงแล้วคือคนที่ข้าโหยหามาตลอด...”
ความดีใจที่ได้พบรักแรกกลับคืนมาทำให้พระองค์ลืมสิ้นถึงความขุ่นข้องก่อนหน้า แต่แล้วสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นกองสิ่งของอีกสี่ชิ้นที่ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ... หวีไม้จันทน์... กำไลข้อเท้าเงิน... ตลับเงิน... และสมุดบันทึก
“แต่... ซิงจวน” พระองค์เอ่ยถามด้วยความสับสน “ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง แต่... แล้วของชิ้นอื่นเล่า... เจ้าได้มันมาอย่างไรกัน?”
ซิงจวนมองสบตาองค์รัชทายาท แววตาของนางอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นความรวดร้าวใจของพระองค์"เรื่องราวของพระองค์กับไลลา... โดยเฉพาะค่ำคืนนั้น... หม่อมฉันเข้าใจและให้อภัยเพคะ" นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่หนักแน่น "หม่อมฉันดีใจที่นางได้มอบความอบอุ่นให้พระองค์ในยามที่ท่านอ้างว้างอย่างแท้จริง"องค์รัชทายาทเงยพระพักตร์ขึ้นมองนางด้วยความตื้นตันระคนละอายพระทัย "ซิงจวน... เจ้า...""แต่หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะทูลถามองค์รัชทายาทสักเรื่องหนึ่งได้หรือไม่เพคะ" ซิงจวนกล่าวต่อ สายตาของนางจริงจังขึ้น องค์รัชทายาทพยักหน้าช้าๆ"หากเรื่องราวกลับกัน... หากสตรีที่ท่านต้องเข้าพิธีอภิเษกด้วยนั้น... ไม่ใช่สตรีบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างที่สังคมคาดหวัง หากนางเคยมีอดีต... เคยมีสัมพันธ์ทางกายกับบุรุษอื่นมาก่อน... พระองค์จะยังทรงอภัยและยอมรับนางเป็นชายาได้หรือไม่เพคะ?"คำถามนั้นราวกับค้อนที่ทุบลงกลางใจขององค์รัชทายาท พระองค์นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ตระหนักถึงความเท่าเทียมที่นางกำลังเรียกร้อง... นางให้อภัยพระองค์ได้อย่างง่ายดาย แล้วพระองค์เล่า? หลังจากครุ่นคิดอยู่เพียงเสี้ยววินาที พระองค์ก็สบตานางอย่างแน่วแน่"ข้า..
“คืนหนึ่งท่ามกลางแหล่งน้ำกลางทะเลทรายใต้แสงจันทร์นวลตา... ข้ามองลึกลงไปในดวงตาของไลลา และไม่เห็นใครอื่นอีกต่อไป… แม้นางจะคล้ายเจ้า และทำให้ระลึกถึงเจ้าอยู่บ่อยๆ แต่นางก็ไม่ใช่เจ้า… ในตอนนั้นข้าเห็นเพียงนาง... สตรีผู้แข็งแกร่งและงดงามในแบบของนางเอง สตรีที่ข้าตกหลุมรักเป็นคนที่สองต่อจากเจ้า”“ข้าโน้มตัวลงไปจุมพิตนาง... และนางก็ไม่ได้ขัดขืน... ซิงจวน... มันไม่ใช่ราคะที่เร่าร้อน แต่เป็นการปลอบประโลมจิตใจที่อ้างว้างของคนสองคนที่ค้นพบความอบอุ่นในอ้อมกอดของกันและกัน ในอ้อมกอดของนาง ข้าพบความอบอุ่นที่ช่วยเยียวยาความเจ็บปวดจากการสูญเสียเจ้าชั่วขณะ และในอ้อมกอดของข้า นางคงพบความปลอดภัยที่นางโหยหามาตลอดชีวิต เราต่างเป็นที่พักพิงให้แก่กันในดินแดนที่ไม่มีใครเข้าใจเรา แล้วเราก็ตกเป็นของกันและกัน…”องค์รัชทายาทหยุดเล่าชั่วขณะ สุรเสียงของพระองค์แผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน พระองค์ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เพื่อสบตากับซิงจวน พระทัยเต้นระรัวด้วยความรู้สึกผิดที่กัดกิน... นางนั่งนิ่งราวกับรูปสลัก แววตาทอประกายบางอย่างที่พระองค์อ่านไม่ออกในที่สุด นางก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ น้ำเสียงยังคงราบเรียบแต่แฝงความหนักแน่น "เมื
ซิงจวนมองลึกลงไปในดวงเนตรขององค์รัชทายาทที่เต็มไปด้วยความสับสนระคนยินดี นางเข้าใจดีถึงคำถามมากมายที่อัดแน่นอยู่ในใจของพระองค์ นางคลายอ้อมกอดอย่างแช่มช้อย กิริยาสง่างามสมฐานะธิดาอ๋อง แต่แววตายังคงเป็นของซิงจวนคนเดิม“เรื่องราวยังไม่จบเพคะ” นางกล่าวเบาๆ “ข้อตกลงของเรายังคงอยู่”นางเดินกลับไปยังโต๊ะ หยิบหวีไม้จันทน์หอมสลักลายเมฆขึ้นมาอย่างนุ่มนวล กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเนื้อไม้ลอยฟุ้งขึ้นมาในอากาศ "หม่อมฉันคิดว่า... ถึงเวลาของของชิ้นที่สองแล้ว"องค์รัชทายาททอดพระเนตรหวีในมือนาง ความทรงจำอีกระลอกซัดถาโถมเข้ามาในพระทัย เป็นความทรงจำที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งความสับสนและหลีกหนี พระองค์ทรุดกายนั่งลงอีกครั้ง เริ่มต้นเล่าเรื่องราวบทที่สองแห่งการเดินทาง“หลังจากที่ข้าสูญเสียเจ้าไป... หัวใจของข้าก็ว่างเปล่า” พระองค์เริ่มต้น “ข้าพยายามตามหาเจ้าอยู่แรมปีแต่ก็ไร้วี่แวว ในขณะเดียวกัน ราชโองการเรื่องการอภิเษกสมรสก็ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง ข้ายังไม่พร้อมที่จะผูกมัดชีวิตกับสตรีที่ไม่รู้จัก จึงทูลขอพระบิดาออกเดินทางไปยังดินแดนตะวันตก อ้างว่าเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและศึกษาเส้นทางการค้า... แต่เหตุผลที่
พระชายานิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ปล่อยให้ความเจ็บปวดในน้ำเสียงขององค์รัชทายาทล่องลอยอยู่ในความเงียบงันของห้องหอ ก่อนที่สุรเสียงอันราบเรียบของนางจะดังขึ้นทำลายทุกสิ่ง“หม่อมฉันได้ปิ่นนี้มา... จากคุณชายผู้หนึ่งเพคะ”องค์รัชทายาทขมวดพระขนงกับคำตอบที่ไม่คาดคิด “คุณชาย?”“เพคะ” นางตอบรับ “เมื่อหลายปีก่อน หม่อมฉันในวัยเยาว์รู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตที่ถูกตีกรอบอยู่ในจวนอ๋อง หม่อมฉันปรารถนาจะได้เห็นโลกภายนอก อยากสัมผัสชีวิตของชาวบ้านที่แท้จริง จึงได้ขออนุญาตบิดาปลอมตัวเป็นหญิงสาวสามัญชน ออกไปใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ชายป่า พร้อมกับองครักษ์และนางข้าหลวงคนสนิทเพียงสองคน สวมบทเล่นเป็นพ่อแม่ลูก”หัวใจขององค์รัชทายาทกระตุกวูบ... เรื่องราวของนางช่างคล้ายคลึงกับของพระองค์เหลือเกิน“มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของหม่อมฉัน” นางเล่าต่อ น้ำเสียงเจือความฝันหวาน “หม่อมฉันได้เรียนรู้วิธีเก็บสมุนไพร แยกแยะเห็ดมีพิษ ได้หัวเราะอย่างเต็มเสียงโดยไม่ต้องกังวลถึงยศศักดิ์ และที่นั่นเอง... หม่อมฉันได้พบกับคุณชายรูปงามผู้หนึ่งที่หนีความวุ่นวายมาพักผ่อนหย่อนใจเช่นกัน เราตกหลุมรักกันอย่างรวดเร็ว”องค์รัชทายาทแทบ
ความตกตะลึงแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นเฉียบที่แล่นจับขั้วหัวใจอย่างรวดเร็ว ในเสี้ยววินาทีนั้น ภาพสตรีผู้เป็นที่รักในความทรงจำทั้งห้าซ้อนทับกันราวกับภาพวาดที่ซีดจาง เด็กสาวชาวบ้าน ทาสสาว นางระบำ สาวใช้ และนักบวชหญิง ก่อนจะถูกฉีกกระชากด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นภายใต้ผ้าคลุมหน้าของพระชายา สมมติฐานที่เลวร้ายที่สุดผุดขึ้นในพระทัย เครือข่ายอำนาจของบิดานาง ส่งคนไปจัดการพวกนางงั้นหรือ!?“อำมหิต!” องค์รัชทายาทตวาดลั่น สุรเสียงที่เคยแหบพร่าด้วยความอาลัย บัดนี้สั่นเทาด้วยโทสะที่พลุ่งพล่าน พระองค์ผุดพระวรกายลุกขึ้น ฉลองพระองค์มงคลสีแดงสดสะบัดไหวรุนแรงราวกับเปลวเพลิง ปลายนิ้วของพระองค์ชี้ไปยังกองสิ่งของบนโต๊ะราวกับจะแผดเผามันให้เป็นเถ้าถ่าน “เจ้าทำอะไรพวกนาง!? ข้าไม่มีอารมณ์ร่วมหอกับเจ้าแล้ว!”พระทัยของพระองค์ร้อนรุ่มดั่งไฟเผา ไม่รอคำตอบใดๆ องค์รัชทายาทหมุนพระวรกาย หมายจะพุ่งไปยังบานประตูสูงใหญ่ที่สลักเสลาอย่างวิจิตร เพื่อหนีจากกรงทองที่น่าอึดอัดและสตรีผู้มีรอยยิ้มราวกับปีศาจ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวที่สาม น้ำเสียงเรียบนิ่งของนางก็หยุดพระองค์ไว้ราวกับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น“หากองค์รัชทายาททรงก้าวออกจากห้องหอในค
งานมงคลสมรสอันยิ่งใหญ่จบลงแล้ว เสียงดนตรีและการเฉลิมฉลองที่ดังกึกก้องตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน บัดนี้ได้ถูกแทนที่ด้วยความเงียบงัน เหลือเพียงความอ่อนล้าที่ฉาบอยู่บนใบหน้าของทุกคน เว้นเสียแต่องค์รัชทายาทผู้เป็นศูนย์กลางของงานในวันนี้ฉลองพระองค์มงคลลายมังกรห้าเล็บสีแดงสดขับให้พระพักตร์ของพระองค์ซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงเนตรคมที่เคยเป็นประกายด้วยความมุ่งมั่น บัดนี้กลับฉายแววหม่นหมองและว่างเปล่า นี่คือการสมรสกับธิดาอ๋อง ที่เกิดขึ้นจากราชโองการของพระบิดา จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อค้ำจุนราชบัลลังก์และถ่วงดุลอำนาจกับแคว้นที่บิดาของนางกุมอำนาจทางทหารไว้ทั้งหมดขบวนส่งตัวเคลื่อนไปตามระเบียงยาวที่ประดับด้วยโคมไฟสีแดงสลัว องค์รัชทายาทก้าวพระบาทไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า หัวใจของพระองค์หนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยโซ่ตรวนแห่งความทรงจำ พระองค์ไม่ได้ทอดพระเนตร พระชายา ผู้เป็นธิดาของอ๋องนักรบผู้เกรียงไกรที่เดินอยู่เคียงข้างเลยแม้แต่น้อย ในห้วงคำนึงมีแต่ภาพของสตรีอื่น…รอยยิ้มและแววตาใสซื่อของเด็กสาวชาวบ้านในวัยเยาว์…แววตาที่ไม่ยอมแพ้โชคชะตาของทาสหญิง...ท่าร่ายรำอ่อนช้อยที่แฝงไปด้วยความยั่วยวนของนางระบำในด