ความตกตะลึงแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นเฉียบที่แล่นจับขั้วหัวใจอย่างรวดเร็ว ในเสี้ยววินาทีนั้น ภาพสตรีผู้เป็นที่รักในความทรงจำทั้งห้าซ้อนทับกันราวกับภาพวาดที่ซีดจาง เด็กสาวชาวบ้าน ทาสสาว นางระบำ สาวใช้ และนักบวชหญิง ก่อนจะถูกฉีกกระชากด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นภายใต้ผ้าคลุมหน้าของพระชายา
สมมติฐานที่เลวร้ายที่สุดผุดขึ้นในพระทัย เครือข่ายอำนาจของบิดานาง ส่งคนไปจัดการพวกนางงั้นหรือ!?
“อำมหิต!” องค์รัชทายาทตวาดลั่น สุรเสียงที่เคยแหบพร่าด้วยความอาลัย บัดนี้สั่นเทาด้วยโทสะที่พลุ่งพล่าน พระองค์ผุดพระวรกายลุกขึ้น ฉลองพระองค์มงคลสีแดงสดสะบัดไหวรุนแรงราวกับเปลวเพลิง ปลายนิ้วของพระองค์ชี้ไปยังกองสิ่งของบนโต๊ะราวกับจะแผดเผามันให้เป็นเถ้าถ่าน
“เจ้าทำอะไรพวกนาง!? ข้าไม่มีอารมณ์ร่วมหอกับเจ้าแล้ว!”
พระทัยของพระองค์ร้อนรุ่มดั่งไฟเผา ไม่รอคำตอบใดๆ องค์รัชทายาทหมุนพระวรกาย หมายจะพุ่งไปยังบานประตูสูงใหญ่ที่สลักเสลาอย่างวิจิตร เพื่อหนีจากกรงทองที่น่าอึดอัดและสตรีผู้มีรอยยิ้มราวกับปีศาจ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวที่สาม น้ำเสียงเรียบนิ่งของนางก็หยุดพระองค์ไว้ราวกับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น
“หากองค์รัชทายาททรงก้าวออกจากห้องหอในคืนแรก... ลองจินตนาการดูสิเพคะว่ารุ่งเช้าจะเกิดอะไรขึ้น”
คำกล่าวของนางทำเอาพระบาทที่กำลังจะก้าวชะงักงันกลางอากาศ ก่อนที่นางจะเอื้อนเอ่ยประโยคต่อไป
“ข่าวจะแพร่สะพัดไปทั่ววังหลวงว่าองค์รัชทายาททรงทอดทิ้งพระชายาธิดาอ๋องผู้กุมอำนาจทางการทหารทั้งหมดของแคว้น” นางกล่าวต่ออย่างใจเย็น ทุกถ้อยคำชัดเจนและเฉียบคม “นี่คือการหยามเกียรติบิดาของหม่อมฉันอย่างร้ายแรงที่สุด การแต่งงานที่เป็นดั่งสะพานเชื่อมอำนาจ... ก็จะกลายเป็นชนวนเหตุแห่งสงครามได้โดยง่าย การละทิ้งหม่อมฉันคืนนี้... ไม่ส่งผลดีต่อใครเลย โดยเฉพาะราชบัลลังก์ของพระองค์เพคะ”
องค์รัชทายาทหันขวับกลับมาเผชิญหน้ากับนาง ดวงเนตรลุกโชนด้วยเพลิงพิโรธ
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรได้? นั่งมองหน้าสตรีที่อาจจะสังหารคนรักของข้าไปอย่างสงบสุขรึ! ไม่กลัวถูกฉีกเป็นชิ้นๆ จากความโกรธของข้ารึอย่างไร?!”
“แล้วการทำร้ายหม่อมฉันในตอนนี้ จะช่วยอะไรพวกนางได้หรือเพคะ?” นางย้อนถาม น้ำเสียงยังคงเรียบสนิทไร้ระลอกคลื่น “มีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง หม่อมฉันคือพระชายาเอกของพระองค์ คือธิดาของอ๋อง การทำร้ายหม่อมฉันแม้เพียงปลายเล็บ ย่อมหมายถึงการประกาศสงครามกับบิดาของหม่อมฉัน”
องค์รัชทายาทกำหมัดแน่นจนข้อพระหัตถ์ขาวซีดมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นอย่างน่ากลัว พระองค์รู้สึกราวกับเป็นพยัคฆ์ที่ติดอยู่ในกรงทอง ถูกต้อนจนมุมด้วยเหตุผลทางการเมืองที่ไม่อาจปฏิเสธได้ สตรีตรงหน้านี้ไม่ใช่แค่ภรรยา แต่เป็นผู้กุมอำนาจทางการเมืองที่พระองค์ไม่อาจแตะต้อง และนางก็รู้ดี
“เจ้าต้องการอะไรกันแน่?” พระองค์เค้นสุรเสียงถามลอดไรพระทนต์
พระชายาขยับพระวรกายอย่างเชื่องช้า แขนเสื้อปักดิ้นทองลายหงส์สะท้อนแสงเทียนวูบไหว นิ้วเรียวของนางบรรจงจัดเรียงของบนโต๊ะอย่างแช่มช้อย
“หม่อมฉันเพียงต้องการความจริง เช่นเดียวกับที่พระองค์ต้องการ” นางหยุดมือที่ปิ่นหยกขาวรูปดอกมู่หลานที่เย็นเฉียบ “เรามาทำข้อตกลงกันดีหรือไม่เพคะ?”
“ข้อตกลง?”
“ใช่แล้วเพคะ” นางกล่าว “หากพระองค์ทรงเล่าเรื่องราวความผูกพันกับเจ้าของของแต่ละชิ้นอย่างละเอียด... หม่อมฉันก็จะบอกความจริงแก่พระองค์ ว่าหม่อมฉันได้ของชิ้นนั้นมาอย่างไร”
องค์รัชทายาทนิ่งอึ้งไปกับข้อเสนอที่แปลกประหลาด มันคือเกมจิตวิทยาที่บีบคั้นหัวใจ แต่ในเมื่อไร้ทางออกอื่น และความปรารถนาที่จะรู้ความจริงเกี่ยวกับชะตากรรมของพวกนางมีมากกว่าสิ่งใด พระองค์ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมเล่นไปตามแผนของนาง
“ตกลง” พระองค์ตอบรับ พลางทรุดพระวรกายนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างอ่อนแรงราวกับถูกสูบพลังไปจนหมดสิ้น “แล้วจะเริ่มจากสิ่งใดก่อน?”
นิ้วเรียวของพระชายาชี้ไปยังปิ่นหยกขาวเป็นอันดับแรก แสงเทียนตกกระทบเนื้อหยกนวลเกิดเป็นประกายแวววาว
“เริ่มจากของชิ้นแรกที่พระองค์มอบให้สตรีอื่น... ปิ่นดอกไม้นี่เถิดเพคะ”
องค์รัชทายาทหลับตาลง ภาพความทรงจำในวัยเยาว์ที่เคยเลือนรางกลับชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อลืมตาขึ้น แววตาของพระองค์ก็ฉายแววอ่อนโยนและเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง
“นางคือรักแรกของข้า... ซิงจวน” พระองค์เริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ตอนนั้นข้าอายุเพียงสิบหกชันษา เบื่อหน่ายชีวิตในวังหลวงที่น่าอึดอัด จึงปลอมตัวเป็นคุณชายตระกูลพ่อค้าหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกเมืองเป็นครั้งแรก ที่นั่น... ในป่าลึกริมลำธาร ข้าได้พบนาง เด็กสาวชาวบ้านที่กำลังเก็บสมุนไพร นางมีรอยยิ้มที่สดใสกว่าตะวันยามเช้า และมีดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์”
"ทุกครั้งที่เรานัดเจอกัน มันคือการหลีกหนีจากโลกที่ข้าเคยรู้จักโดยสิ้นเชิง ในวัง... ข้าเรียนรู้ตำราพิชัยสงคราม ปรัชญาการปกครอง และพิธีรีตองอันซับซ้อน แต่กับซิงจวน นางสอนให้ข้ารู้จักแยกแยะว่าเห็ดชนิดใดมีพิษ สอนให้ข้าฟังเสียงนกร้องแล้วบอกได้ว่านั่นคือนกอะไร นางสอนให้ข้ารู้ว่าโลกภายนอกกำแพงวังนั้นมีชีวิตชีวาและงดงามเพียงใด ความรู้ของนางไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในตำรา แต่เป็นสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยกายและใจ"
"ข้าจำได้ดีถึงวันที่พยายามจะจับปลาในลำธารด้วยมือเปล่าเป็นครั้งแรก ข้าลื่นล้มจนเปียกปอนไปทั้งตัวและเต็มไปด้วยโคลน แทนที่จะตกใจ นางกลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นป่า เป็นเสียงหัวเราะที่บริสุทธิ์และจริงใจที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยิน ในตอนแรกข้ารู้สึกอับอาย แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของนาง ข้าก็อดที่จะหัวเราะตามไม่ได้ นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกว่า... ข้าไม่ได้เป็นองค์รัชทายาท แต่เป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง"
"ความผูกพันของเราไม่ได้มีเพียงความสนุกสนาน ยังมีช่วงเวลาที่เงียบสงบซึ่งตราตรึงอยู่ในใจข้าเสมอ เราเคยนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ด้วยกัน มองดูแสงสุดท้ายของวันลับขอบฟ้าโดยไม่พูดอะไรกันสักคำ แต่ความเงียบนั้นกลับไม่ได้น่าอึดอัดเลย มันเต็มไปด้วยความเข้าใจและความรู้สึกปลอดภัยที่ข้าไม่เคยได้รับจากที่ใดมาก่อน ในอ้อมกอดของป่าเขาและมีนางอยู่ข้างๆ ข้าค้นพบความสงบสุขที่แท้จริง"
"นางทำให้ข้าตระหนักว่าชีวิตที่ข้ามีนั้นว่างเปล่าเพียงใด ข้ามีทุกอย่าง... ยกเว้นอิสรภาพและความสุขที่เรียบง่าย ซิงจวนมีชีวิตที่ยากลำบาก เสื้อผ้าของนางเก่าและปะชุน แต่แววตาของนางกลับเป็นประกายอยู่เสมอ ข้ามองเห็นความงดงามในความไม่สมบูรณ์แบบนั้น และหัวใจของข้าก็ปรารถนาที่จะปกป้องรอยยิ้มนั้นไว้ ไม่ใช่ด้วยอำนาจ แต่ด้วยความรัก"
"นั่นจึงเป็นเหตุผล... ที่ข้าต้องบอกความจริงกับนาง ข้ารู้ว่ามันอาจทำให้นางหวาดกลัว แต่ข้าทนไม่ได้ที่จะต้องปิดบังตัวตนที่แท้จริงจากคนที่ข้ารักอีกต่อไป ข้าต้องการให้นางเข้ามาอยู่ในโลกของข้า ต้องการมอบชีวิตที่ดีกว่าให้นาง เพื่อที่ข้าจะได้เห็นรอยยิ้มนั้นในทุกๆ วัน ชีวิตของนางเรียบง่ายและอิสระ... เป็นทุกสิ่งที่ข้าไม่เคยมี ข้าตกหลุมรักนางจนหมดหัวใจ โดยที่นางไม่เคยรู้เลยว่าข้าเป็นใคร"
“ข้าตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะรับนางเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของข้าให้ได้ ข้าจึงตัดสินใจเปิดเผยฐานะที่แท้จริงกับนางในวันสุดท้ายที่เราพบกัน ข้าเห็นแววตาตื่นตระหนกของนาง แต่ก็ได้มอบปิ่นหยกนั่นให้นาง... เป็นสัญญาใจ” รัชทายาทหยุดเล่าชั่วขณะ ความเจ็บปวดฉายชัดขึ้นในดวงเนตรขององค์รัชทายาท “ข้าสัญญากับนางว่าจะกลับมารับนางเข้าวังภายในหนึ่งเดือน แต่พอข้ากลับไปที่หมู่บ้านอีกครั้งพร้อมขบวนเกียรติยศ กลับพบเพียงกระท่อมไม้ที่ว่างเปล่า ชาวบ้านบอกว่านางกับครอบครัวจากไปโดยไม่ทิ้งคำร่ำลาใดๆ ไม่มีใครพบนางอีกเลย...”
องค์รัชทายาทเล่าจบ พระองค์เงยหน้าขึ้นสบตากับผ้าคลุมหน้าของพระชายา ความรู้สึกสูญเสียที่เคยจางหายไปกับกาลเวลา บัดนี้หวนกลับมาทิ่มแทงหัวใจอีกครั้งอย่างรุนแรง
“ข้าเล่าจบแล้ว” พระองค์เอ่ยเสียงหนักแน่น “ทีนี้... บอกข้ามาได้รึยัง ว่าเจ้าได้ปิ่นนั่นมาอย่างไร?”
ซิงจวนมองสบตาองค์รัชทายาท แววตาของนางอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นความรวดร้าวใจของพระองค์"เรื่องราวของพระองค์กับไลลา... โดยเฉพาะค่ำคืนนั้น... หม่อมฉันเข้าใจและให้อภัยเพคะ" นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่หนักแน่น "หม่อมฉันดีใจที่นางได้มอบความอบอุ่นให้พระองค์ในยามที่ท่านอ้างว้างอย่างแท้จริง"องค์รัชทายาทเงยพระพักตร์ขึ้นมองนางด้วยความตื้นตันระคนละอายพระทัย "ซิงจวน... เจ้า...""แต่หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะทูลถามองค์รัชทายาทสักเรื่องหนึ่งได้หรือไม่เพคะ" ซิงจวนกล่าวต่อ สายตาของนางจริงจังขึ้น องค์รัชทายาทพยักหน้าช้าๆ"หากเรื่องราวกลับกัน... หากสตรีที่ท่านต้องเข้าพิธีอภิเษกด้วยนั้น... ไม่ใช่สตรีบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างที่สังคมคาดหวัง หากนางเคยมีอดีต... เคยมีสัมพันธ์ทางกายกับบุรุษอื่นมาก่อน... พระองค์จะยังทรงอภัยและยอมรับนางเป็นชายาได้หรือไม่เพคะ?"คำถามนั้นราวกับค้อนที่ทุบลงกลางใจขององค์รัชทายาท พระองค์นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ตระหนักถึงความเท่าเทียมที่นางกำลังเรียกร้อง... นางให้อภัยพระองค์ได้อย่างง่ายดาย แล้วพระองค์เล่า? หลังจากครุ่นคิดอยู่เพียงเสี้ยววินาที พระองค์ก็สบตานางอย่างแน่วแน่"ข้า..
“คืนหนึ่งท่ามกลางแหล่งน้ำกลางทะเลทรายใต้แสงจันทร์นวลตา... ข้ามองลึกลงไปในดวงตาของไลลา และไม่เห็นใครอื่นอีกต่อไป… แม้นางจะคล้ายเจ้า และทำให้ระลึกถึงเจ้าอยู่บ่อยๆ แต่นางก็ไม่ใช่เจ้า… ในตอนนั้นข้าเห็นเพียงนาง... สตรีผู้แข็งแกร่งและงดงามในแบบของนางเอง สตรีที่ข้าตกหลุมรักเป็นคนที่สองต่อจากเจ้า”“ข้าโน้มตัวลงไปจุมพิตนาง... และนางก็ไม่ได้ขัดขืน... ซิงจวน... มันไม่ใช่ราคะที่เร่าร้อน แต่เป็นการปลอบประโลมจิตใจที่อ้างว้างของคนสองคนที่ค้นพบความอบอุ่นในอ้อมกอดของกันและกัน ในอ้อมกอดของนาง ข้าพบความอบอุ่นที่ช่วยเยียวยาความเจ็บปวดจากการสูญเสียเจ้าชั่วขณะ และในอ้อมกอดของข้า นางคงพบความปลอดภัยที่นางโหยหามาตลอดชีวิต เราต่างเป็นที่พักพิงให้แก่กันในดินแดนที่ไม่มีใครเข้าใจเรา แล้วเราก็ตกเป็นของกันและกัน…”องค์รัชทายาทหยุดเล่าชั่วขณะ สุรเสียงของพระองค์แผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน พระองค์ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เพื่อสบตากับซิงจวน พระทัยเต้นระรัวด้วยความรู้สึกผิดที่กัดกิน... นางนั่งนิ่งราวกับรูปสลัก แววตาทอประกายบางอย่างที่พระองค์อ่านไม่ออกในที่สุด นางก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ น้ำเสียงยังคงราบเรียบแต่แฝงความหนักแน่น "เมื
ซิงจวนมองลึกลงไปในดวงเนตรขององค์รัชทายาทที่เต็มไปด้วยความสับสนระคนยินดี นางเข้าใจดีถึงคำถามมากมายที่อัดแน่นอยู่ในใจของพระองค์ นางคลายอ้อมกอดอย่างแช่มช้อย กิริยาสง่างามสมฐานะธิดาอ๋อง แต่แววตายังคงเป็นของซิงจวนคนเดิม“เรื่องราวยังไม่จบเพคะ” นางกล่าวเบาๆ “ข้อตกลงของเรายังคงอยู่”นางเดินกลับไปยังโต๊ะ หยิบหวีไม้จันทน์หอมสลักลายเมฆขึ้นมาอย่างนุ่มนวล กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเนื้อไม้ลอยฟุ้งขึ้นมาในอากาศ "หม่อมฉันคิดว่า... ถึงเวลาของของชิ้นที่สองแล้ว"องค์รัชทายาททอดพระเนตรหวีในมือนาง ความทรงจำอีกระลอกซัดถาโถมเข้ามาในพระทัย เป็นความทรงจำที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งความสับสนและหลีกหนี พระองค์ทรุดกายนั่งลงอีกครั้ง เริ่มต้นเล่าเรื่องราวบทที่สองแห่งการเดินทาง“หลังจากที่ข้าสูญเสียเจ้าไป... หัวใจของข้าก็ว่างเปล่า” พระองค์เริ่มต้น “ข้าพยายามตามหาเจ้าอยู่แรมปีแต่ก็ไร้วี่แวว ในขณะเดียวกัน ราชโองการเรื่องการอภิเษกสมรสก็ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง ข้ายังไม่พร้อมที่จะผูกมัดชีวิตกับสตรีที่ไม่รู้จัก จึงทูลขอพระบิดาออกเดินทางไปยังดินแดนตะวันตก อ้างว่าเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและศึกษาเส้นทางการค้า... แต่เหตุผลที่
พระชายานิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ปล่อยให้ความเจ็บปวดในน้ำเสียงขององค์รัชทายาทล่องลอยอยู่ในความเงียบงันของห้องหอ ก่อนที่สุรเสียงอันราบเรียบของนางจะดังขึ้นทำลายทุกสิ่ง“หม่อมฉันได้ปิ่นนี้มา... จากคุณชายผู้หนึ่งเพคะ”องค์รัชทายาทขมวดพระขนงกับคำตอบที่ไม่คาดคิด “คุณชาย?”“เพคะ” นางตอบรับ “เมื่อหลายปีก่อน หม่อมฉันในวัยเยาว์รู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตที่ถูกตีกรอบอยู่ในจวนอ๋อง หม่อมฉันปรารถนาจะได้เห็นโลกภายนอก อยากสัมผัสชีวิตของชาวบ้านที่แท้จริง จึงได้ขออนุญาตบิดาปลอมตัวเป็นหญิงสาวสามัญชน ออกไปใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ชายป่า พร้อมกับองครักษ์และนางข้าหลวงคนสนิทเพียงสองคน สวมบทเล่นเป็นพ่อแม่ลูก”หัวใจขององค์รัชทายาทกระตุกวูบ... เรื่องราวของนางช่างคล้ายคลึงกับของพระองค์เหลือเกิน“มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของหม่อมฉัน” นางเล่าต่อ น้ำเสียงเจือความฝันหวาน “หม่อมฉันได้เรียนรู้วิธีเก็บสมุนไพร แยกแยะเห็ดมีพิษ ได้หัวเราะอย่างเต็มเสียงโดยไม่ต้องกังวลถึงยศศักดิ์ และที่นั่นเอง... หม่อมฉันได้พบกับคุณชายรูปงามผู้หนึ่งที่หนีความวุ่นวายมาพักผ่อนหย่อนใจเช่นกัน เราตกหลุมรักกันอย่างรวดเร็ว”องค์รัชทายาทแทบ
ความตกตะลึงแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นเฉียบที่แล่นจับขั้วหัวใจอย่างรวดเร็ว ในเสี้ยววินาทีนั้น ภาพสตรีผู้เป็นที่รักในความทรงจำทั้งห้าซ้อนทับกันราวกับภาพวาดที่ซีดจาง เด็กสาวชาวบ้าน ทาสสาว นางระบำ สาวใช้ และนักบวชหญิง ก่อนจะถูกฉีกกระชากด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นภายใต้ผ้าคลุมหน้าของพระชายา สมมติฐานที่เลวร้ายที่สุดผุดขึ้นในพระทัย เครือข่ายอำนาจของบิดานาง ส่งคนไปจัดการพวกนางงั้นหรือ!?“อำมหิต!” องค์รัชทายาทตวาดลั่น สุรเสียงที่เคยแหบพร่าด้วยความอาลัย บัดนี้สั่นเทาด้วยโทสะที่พลุ่งพล่าน พระองค์ผุดพระวรกายลุกขึ้น ฉลองพระองค์มงคลสีแดงสดสะบัดไหวรุนแรงราวกับเปลวเพลิง ปลายนิ้วของพระองค์ชี้ไปยังกองสิ่งของบนโต๊ะราวกับจะแผดเผามันให้เป็นเถ้าถ่าน “เจ้าทำอะไรพวกนาง!? ข้าไม่มีอารมณ์ร่วมหอกับเจ้าแล้ว!”พระทัยของพระองค์ร้อนรุ่มดั่งไฟเผา ไม่รอคำตอบใดๆ องค์รัชทายาทหมุนพระวรกาย หมายจะพุ่งไปยังบานประตูสูงใหญ่ที่สลักเสลาอย่างวิจิตร เพื่อหนีจากกรงทองที่น่าอึดอัดและสตรีผู้มีรอยยิ้มราวกับปีศาจ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวที่สาม น้ำเสียงเรียบนิ่งของนางก็หยุดพระองค์ไว้ราวกับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น“หากองค์รัชทายาททรงก้าวออกจากห้องหอในค
งานมงคลสมรสอันยิ่งใหญ่จบลงแล้ว เสียงดนตรีและการเฉลิมฉลองที่ดังกึกก้องตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน บัดนี้ได้ถูกแทนที่ด้วยความเงียบงัน เหลือเพียงความอ่อนล้าที่ฉาบอยู่บนใบหน้าของทุกคน เว้นเสียแต่องค์รัชทายาทผู้เป็นศูนย์กลางของงานในวันนี้ฉลองพระองค์มงคลลายมังกรห้าเล็บสีแดงสดขับให้พระพักตร์ของพระองค์ซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงเนตรคมที่เคยเป็นประกายด้วยความมุ่งมั่น บัดนี้กลับฉายแววหม่นหมองและว่างเปล่า นี่คือการสมรสกับธิดาอ๋อง ที่เกิดขึ้นจากราชโองการของพระบิดา จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อค้ำจุนราชบัลลังก์และถ่วงดุลอำนาจกับแคว้นที่บิดาของนางกุมอำนาจทางทหารไว้ทั้งหมดขบวนส่งตัวเคลื่อนไปตามระเบียงยาวที่ประดับด้วยโคมไฟสีแดงสลัว องค์รัชทายาทก้าวพระบาทไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า หัวใจของพระองค์หนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยโซ่ตรวนแห่งความทรงจำ พระองค์ไม่ได้ทอดพระเนตร พระชายา ผู้เป็นธิดาของอ๋องนักรบผู้เกรียงไกรที่เดินอยู่เคียงข้างเลยแม้แต่น้อย ในห้วงคำนึงมีแต่ภาพของสตรีอื่น…รอยยิ้มและแววตาใสซื่อของเด็กสาวชาวบ้านในวัยเยาว์…แววตาที่ไม่ยอมแพ้โชคชะตาของทาสหญิง...ท่าร่ายรำอ่อนช้อยที่แฝงไปด้วยความยั่วยวนของนางระบำในด