บทที่ 4 ความวุ่นวายในชีวิต
เจตนิพัทธ์รู้สึกตัวขึ้นมาในช่วงประมาณเจ็ดโมงเช้า ปกติเขามักตื่นเร็วกว่านี้ อาจเพราะเมื่อคืนเขาเข้านอนช้ากว่าปกติไปหลายชั่วโมงล่ะมั้ง ถึงได้เผลอนอนตื่นสายกว่าที่เคย
หลังจากที่คนตัวสูงลืมตาตื่นขึ้นมา เขาก็หันไปมองข้างกายทันที พอเห็นว่าที่นอนข้างตัวว่างเปล่าแทนที่จะรู้สึกพอใจที่ผู้หญิงคนนั้นรู้สถานะของตัวเอง แต่เจ้าของใบหน้าคมเข้มกลับรู้สึกหงุดหงิดอย่างไรชอบกล ก่อนจะรีบสะบัดหน้าเรียกสติให้กับตัวเอง เขายังมีงานต้องไปทำอีกมากจะมาเสียเวลาใส่ใจเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งไปทำไมกัน
ร่างสูงโปร่งลงจากเตียงก่อนจะเดินตรงไปยังห้องน้ำจัดการทำความสะอาดร่างกายก่อนจะออกมาสวมใส่เสื้อลายสก๊อตสีน้ำตาลกับกางเกงยีนส์สีซีด เส้นผมสีดำสนิทไม่ได้รับการตกแต่งใด ๆ เขาเพียงแค่ยกมือเสยมันขึ้นเพื่อไม่ให้ปรกหน้าก็เท่านั้น
เจตนิพัทธ์ต้องไปดูคนงานเก็บเกี่ยวผลผลิตตั้งแต่เช้า เป็นแบบนี้ตลอดในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ไร่จิตรลดานอกจากจะปลูกผลไม้ต่าง ๆ แล้ว ก็ยังมีพวกพืชผักอีกหลากหลายชนิด แถมเขายังทำฟาร์มโคนม รีสอร์ตและคาเฟ่เพิ่มขึ้นมาอีกต่างหาก เพราะงั้นในแต่ละวันงานของชายหนุ่มจึงเยอะจนแทบจะล้นมือ
เป็นปกติที่มื้อกลางวันคุณนายจิตรลดามักจะรับประทานเพียงลำพัง เนื่องจากลูกชายมักจะกินข้าวจากโรงอาหารที่เดียวกับคนงาน เจตนิพัทธ์บางครั้งก็คล้ายคนมากเรื่อง แต่บางเรื่องลูกคนนี้ก็เป็นคนง่าย ๆ
“อาการหนูบัวเป็นยังไงบ้าง” คนเป็นนายเอ่ยถามคนสนิท เมื่อช่วงสายเธอให้ป้าชื่นไปตามบัวบูชามาทานข้าวแต่กลับพบว่าเด็กสาวมีไข้สูง จึงให้แม่บ้านวัยกลางคนยกข้าวยกยาไปให้ในห้อง
"เมื่อกี้เข้าไปวัดไข้ ยังมีไข้สูงอยู่ค่ะคุณนาย แต่ว่าชื่นเช็ดตัวให้หนูบัวไปแล้ว น่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ สงสัยเมื่อคืนคุณชายจะหนักมือกับหนูบัวไม่น้อยเลยนะคะ เด็กคนนั้นถึงได้จับไข้แบบนี้” คำพูดท้ายประโยคของป้าชื่น ทำให้สีหน้าของคุณนายจิตรลดาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงคนป่วยเริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง
“หวังว่าหนูบัวจะทำให้ความคิดลูกชายฉันเปลี่ยนไปได้สักทีนะ” เพราะที่ผ่านมาเจติพัทธ์แทบไม่ยุ่งกับผู้หญิงหน้าไหน มันทำให้คนเป็นแม่อย่างเธอร้อนใจจริง ๆ พอเป็นคนนี้ในที่สุดก็เป็นไปอย่างที่คุณนายจิตรลดาต้องการเสียที
วันนี้มีงานหลายส่วนที่ต้องเข้าไปดู แต่เจตนิพัทธ์กลับมีแรงเหลือเฟือในการทำงาน อีกทั้งยังรู้สึกสดชื่นและกะปรี้กะเปร่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอีกต่างหาก งานสุดท้ายของวันคือคุมคนงานขนผลไม้ไปเก็บยังโกดัง เสร็จสรรพเรียบร้อยนายคนใหม่ของไร่จิตรลดาก็เดินทางกลับบ้านในช่วงเวลาเกือบจะหกโมงเย็น
ทุกวันเขามักจะเข้าบ้านแล้วตรงไปยังห้องครัวไม่ค่อยได้หันมองอะไรรอบตัวหนัก แต่วันนี้ดวงตาคมกลับกวาดไปมาคล้ายกับจะหาใครบางคนอย่างไรอย่างนั้น แต่ก็ไม่พบใคร
เจตนิพัทธ์เลิกมองหาแล้วจึงก้าวไปยังห้องครัวอย่างที่ทำทุกวัน และเป็นเช่นเคยที่ในห้องนี้มีแม่และป้าชื่นอยู่ เจ้าของร่างสูงโปร่งเดินไปล้างไม้ล้างมือ แล้วมานั่งยังเก้าอี้ของตัวเอง เขายังทานข้ามเงียบ ๆ เช่นเคย
เจตนิพัทธ์คิดว่าตัวเองทำทุกอย่าง 'เช่นเคย' แต่ในสายตาคนเป็นแม่และป้าชื่นในตอนนี้ กลับมองเห็นคนที่มีคล้ายมีเรื่องจะถามแต่ไม่ยอมถามมากกว่า
"มีอะไระถามแม่รึเปล่า เห็นเงยหน้ามามองกันหลายที" คนเป็นแม่เอ่ยแซวพร้อมกับนัยน์ตาที่มองลูกชายอย่างมีเลศนัย
“เด็กนั่นไปไหนล่ะครับ ไหนว่ามาทำงานช่วยป้าชื่นด้วย หรือว่ามีหน้าที่ออกมาแค่ตอนกลางคืน” เจตนิพัทธ์ยังตีหน้าขรึมตอนถามออกไป ทำราวกับว่าความจริงก็ไม่ได้อยากจะรู้สักเท่าไหร่
พอได้ยินลูกชายเอ่ยถามถึงบัวบูชาขึ้นมาแบบนี้ก็ทำเอาคุณนายจิตรลดาอมยิ้มออกมา ปกติลูกชายของเธอนั้นสนใจผู้หญิงเสียที่ไหนกันล่ะ เคยหาลูกสาวเพื่อนสวย ๆ โปรไฟล์ดี ๆ มาให้ก็มาก แต่ก็ไม่เคยเห็นจะถามหาเลยสักครั้ง
“พูดถึงหนูบัวขึ้นมาก็ดีเลย ลูกก็ช่วยเบามือกับหนูบัวหน่อยไม่ได้รึไง รู้หรอกว่าไม่ได้นอนกับผู้หญิงมานาน แต่หนูบัวเขาก็ตัวแค่นั้น จะทำอะไรก็ช่วยให้มันพอดี ๆ บ้าง ดูสิคืนแรกก็ทำหนูบัวเขาจับไข้ไปแล้ว ไม่รู้พรุ่งนี้จะดีขึ้นรึเปล่า"
"อ่อนแอจังเลยนะครับ เห็นลุกกลับห้องเองไหวก็นึกว่าจะอึดมากกว่านี้ แบบนี้จะทำงานสมกับค่าหนี้ของพ่อตัวเองรึเปล่าล่ะ"
"พอเลยตาเจต อย่าพูดจาแบบนั้นกับหนูบัว แล้วก็อย่าดูถูกหนูบัวให้มากนัก ยังไงเธอก็คนเหมือนกัน" คุณนายจิตรลดาเอ่ยปรามลูกชาย ด้วยใจหนึ่งก็คาดหวังไปไกลว่าบัวบูชาอาจจะละลายก้อนน้ำแข็งในใจลูกชายเธอได้ในสักวัน แต่หากปล่อยให้เจตนิพัทธ์เอาแต่พูดจาเหยียดหยามอีกฝ่ายอยู่แบบนี้ มีหวังต้นรักคงไม่มีวันได้เติบโตแน่
"จะพยายามก็แล้วกันนะครับ แล้ว...ที่ว่าป่วย ดีขึ้นบ้างรึยังล่ะ"
"เป็นห่วงคนอื่นเป็นกับเขาด้วยเหรอ"
"แค่กลัวว่าจะมีคนตายในบ้านก็เท่านั้นแหละครับ"
คนเป็นแม่ถอนหายใจเสียงดังใส่ลูกชายพร้อมกับส่ายหน้าไปมา ไม่รู้เจตนิพัทธ์ไปเอานิสัยปากคอเราะรายแบบนี้มาจากใครกัน
"ว่าแต่คนนี้เป็นไงบ้างล่ะ ลูกถูกใจอยู่ใช่ไหม”
“ทำไมต้องถามผมแบบนี้ครับ” เจตนิพัทธ์ยังตีหน้ามึน ตักกับข้าวเข้าปากต่อ เขาไม่ได้ตอบแม่ออกไปก็จริงแต่ในหัวกลับคิดทบทวนเรื่องนี้อยู่
ถูกใจไหม?
ก็ต้องยอมรับว่าถูกใจไม่น้อย ร่างกายของเราเข้ากันได้ดี ภายในตัวของบัวบูชาก็ทั้งอุ่นทั่งนุ่มจนเขาแทบละลาย และจนถึงตอนนี้ปลายลิ้นของเจตนิพัทธ์ก็ยังจำความหอมหวานของอีกฝ่ายได้ดีเชียวแหละ
แต่ทั้งหมดทั้งมวลมันก็แค่ความพึงพอใจทางด้านร่างกายก็เท่านั้น เพราะเขายังไม่ได้รู้จักนิสัยใจคอผู้หญิงคนนั้นแม้แต่นิดด้วยซ้ำ
“แม่ก็แค่สงสัย แต่ก็น่าจะโอเคใช่ไหม แม่ได้ข่าวว่าหนูบัวเป็นคนดีนะ ทำตัวดีมาตลอด ไม่เคยมีแฟนเลยด้วย”
“ครับ” เขาตอบกลับแม่เสียงห้วน ๆ ทว่าหูกลับตั้งใจฟังสิ่งที่แม่พูดอยู่อย่างไม่เข้าใจตัวเอง ว่าจะสนใจอยากรู้เรื่องของผู้หญิงคนนั้นไปทำไม
“เห็นว่าเพิ่งจะเรียนจบมาใหม่ ๆ แม่ว่าจะให้ลูกดูงานที่ไร่ให้หนูบัวหน่อย งานบัญชีอะไรพวกนี้ หนูบัวเขาจบมาทางนั้น”
“นึกว่าให้มาอยู่แค่ในฐานะเมียเก็บผมแค่นั้นซะอีก”
“ก็หนูบัวเขาบอกแม่ว่าอยากทำงานด้วย ชดใช้หนี้ก็อีกส่วนหนึ่ง ทำงานก็อีกส่วนหนึ่ง แม่เห็นว่าก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร เลยตอบตกลงไป ยังไงเจตก็หาตำแหน่งให้หนูบัวหน่อยก็แล้วกัน”
“ก็ได้ครับ งั้นก็ให้เธอไปเรียนรู้งานกับมินตราแล้วกัน”
'มินตรา' คือเลขาของเจตนิพัทธ์ ซึ่งอายุมากกว่าลูกชายเธออยู่สองถึงสามปีได้ เท่าที่คุณนายจิตรลดาดูมาก็ถือว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ทำงานเก่งไม่น้อยทีเดียว
“ก็ดีนะ เดี๋ยวแม่บอกหนูบัวให้ก็แล้วกัน เอ๊ะ หรือว่าลูกอยากบอกกับเธอเอง หนูบัวต้องดีใจมากแน่เลย” คนเป็นแม่เอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้มคล้ายจะแหย่ลูกชายเล่นไปในตัว
เจตนิพัทธ์เงยหน้ามองแม่ที่ยิ้มอย่างมีเลศนัยมาให้ก็ต้องขมวดคิ้ว ทำไมเขาจะต้องอยากไปพูดคุยกับผู้หญิงคนนั้นด้วย แค่ให้งานทำก็มากเกินพอแล้วไม่ใช่รึไง
"ก็แล้วแต่แม่เถอะครับ"
คุณนายจิตรลดายกยิ้มกว้างขึ้นเมื่อไม่ได้รับคำปฏิเสธจากลูกชาย ในอกคล้ายกับจะเห็นความหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างบอกไม่ถูก
"งั้นแม่ก็ฝากเจตบอกหนูบัวด้วยแล้วกัน ว่าจะให้หนูบัวไปทำงานที่ส่วนไหน กับใครยังไง"
"ก็ได้ครับ" หลังรับปากแม่เขาก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เจตนิพัทธ์รู้สึกราวกับว่าตั้งแต่ผู้หญิงที่ชื่อบัวบูชาเข้ามาที่บ้าน ชีวิตเขาก็ดูจะวุ่นวายกว่าเดิมอย่างไรอย่างนั้น
บทที่ 20 ผู้หญิงเนรคุณ 2/2"พี่เจต" บัวบูชาเรียกชื่ออีกฝ่ายทั้งน้ำตา หัวใจยังสั่นไหวรุนแรงด้วยความกลัว"เป็นอะไรรึเปล่าบัว เจ็บตรงไหนไหม""เจ็บท้องค่ะ" เธอบอกเขาด้วยสีหน้าเจ็บปวดจากแรงบีบรัดที่เกิดขึ้นตรงช่วงหน้าท้อง เม็ดเหงื่อเริ่มผุดพรายตามกรอบหน้าหวานมากขึ้นเรื่อย ๆอรรถพลไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าลูกสาวและหลานของตนจะเป็นอย่างไรบ้าง เขารีบก้มเก็บกระเป๋าเงินและถุงกำมะหยี่สีแดงคล้ายถุงใส่ทองขึ้นมาจากพื้นก่อนจะรีบวิ่งหนีออกไป ทว่ายังไม่ทันได้วิ่งหนีไปไกลเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลก็เข้ามารวบตัวอีกฝ่ายไว้ได้ทันท่วงทีเจตนิพัทธ์ไม่ได้สนใจความวุ่นวายรอบข้าง สิ่งเดียวที่เขาสนใจตอนนี้คือความปลอดภัยของลูกและเมียเท่านั้น เจ้าของร่างสูงโปร่งรีบอุ้มคนท้องกลับเข้าไปด้านในโรงพยาบาลและตามหมอให้มาดูอาการอย่างร้อนใจเขากลัวจนแทบบ้าว่าบัวบูชาและลูกจะเป็นอะไรรึเปล่า และเอาแต่โทษตัวเองซ้ำ ๆ ที่ทิ้งเธอไว้เพียงลำพังจนเรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นแบบนี้ถ้าหากเขามาไม่ทัน บัวบูชากับลูกจะเป็นอย่างไรบ้าง หากเป็นแบบนั้นเขาคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองแน่"ทั้งแม่และเด็กปลอดภัยดีค่ะ น่าจะเกิดจากอาการวิตกกังวลขอ
บทที่ 20 ผู้หญิงเนรคุณ 1/2ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งเจตนิพัทธ์ก็ยังรู้สึกตื่นเต้น และตื้นตันใจทุกครั้งที่ได้เห็นภาพอัลตราซาวด์ของเจ้าลูกชาย ในขณะที่มือยังกอบกุมมือแม่ของลูกไว้ ทว่าดวงตาคู่คมกลับเอาแต่จ้องหน้าจอแสดงผลของคุณหมอแทบไม่กระพริบ เสียงเต้นของหัวใจลูกดังชัดเจนในสองหูคนเป็นพ่อ อีกแค่ไม่กี่สัปดาห์เด็กที่เขาเห็นผ่านจอตรงหน้านี้ก็จะลืมตาดูโลกแล้ว ยิ่งคิดหัวใจคนเป็นพ่อยิ่งโลดแล่นอย่างดีใจเขาพาบัวบูชามาพบคุณหมอด้วยตัวเองทุกครั้ง แม้ช่วงไตรมาสสุดท้ายหมอจะนัดว่าที่คุณแม่บ่อยแทบทุกสัปดาห์แต่คนที่ยุ่งมากอย่างพ่อเลี้ยงเจตก็ไม่เคยให้บัวบูชาต้องมาเพียงลำพังเลยแม้แต่ครั้งเดียว"เจ้าตัวเล็กแข็งแรงดีมากค่ะคุณพ่อคุณแม่ แต่ว่าช่วงนี้ต้องควบคุมเรื่องน้ำตาลหน่อยนะคะ"ว่าที่คุณพ่อและคุณแม่ตั้งใจฟังสิ่งที่คุณหมอแนะนำกันอย่างดี พูดคุยกับคุณหมอเสร็จก็พากันออกมารอรับยาบำรุงด้านนอก"เหนื่อยไหม" เขาถามหลังประคองคนท้องโตมานั่งยังที่นั่งรอรับยา"นิดหน่อยค่ะ""ดื่มน้ำก่อน" เจตนิพัทธ์ยื่นขวดน้ำเย็น ๆ ที่เสียบหลอดให้เรียบร้อยไปให้คุณแม่ที่ตอนนี้ดูอวบอิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่ถึงอย่างนั้นในสายตาของเขาบัวบู
บทที่ 19 วันแรกของการดูแลคนท้อง 4/4เดิมทีบัวบูชาก็เล่านิทานให้ลูกในท้องฟังอยู่บ่อยครั้ง เพราะศึกษามาว่าการเล่านิทานให้ลูกฟังตั้งแต่อยู่ในท้องมันช่วยกระตุ้นพัฒนาการสมองของลูก และยังทำให้ลูกจดจำเสียงของพ่อและแม่ได้ด้วย แต่ไม่คิดเลยว่าเจตนิพัทธ์เองก็จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย ตอนที่เขาชวนเธอไปซื้อหนังสือเมื่อช่วงบ่ายก็เอาแต่พูดไม่หยุดว่าอยากอ่านเรื่องอะไรให้ลูกฟังบ้าง แถมยังซื้อกลับมาจนแทบทำเป็นชั้นหนังสือได้เลยเสียงเล่านิทานยังติด ๆ ขัด ๆ เพราะเพิ่งจะเคยเล่าเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างนั้นเจตนิพัทธ์ก็ยังตั้งใจเล่าต่อไปและบอกตัวเองตลอดว่าพรุ่งนี้เขาจะต้องเล่าให้ดีกว่านี้ให้ได้ และเมื่อนิทานจบลงว่าที่คุณพ่อถึงได้รู้ว่าคนบนเตียงนอนหลับสนิทไปแล้ว"ไม่ใช่ว่าน่าเบื่อจนหลับหรอกใช่ไหม" เสียงทุ้มพึมพำแผ่วเบากับตัวเอง ก่อนจะดึงผ้าห่มมาห่มให้คนบนเตียง วันนี้เขายังจับจองพื้นข้างเตียงของบัวบูชาเป็นที่หลับนอนเช่นเคยเจตนิพัทธ์นั่งมองหน้าคนหลับสลับกับหน้าท้องที่มีลูกของเราอยู่ในนั้นนานจนเริ่มง่วง แต่ก่อนจะนอนเขาก็อยากจะสัมผัสเนื้อตัวแม่ของลูกนิด ๆ หน่อย ๆ ให้พอชุ่มชื่นหัวใจบ้าง ใบห
บทที่ 19 วันแรกของการดูแลคนท้อง 3/4"แล้วต่อจากนี้บัวมีสิทธิ์ไหมคะ สิทธิ์ที่จะอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคุณเจตให้มากขึ้น"ใบหน้าคมเข้มระบายยิ้มกว้าง ดวงตาคล้ายมีประกายระยิบระยับอยู่ด้านในนั้น เขาก้าวเข้าไปใกล้คนท้องขึ้นอีกหน่อยก่อนจะเอื้อมไปจับมือของเธอไว้"ได้สิ อยากรู้อะไรเกี่ยวกับพี่บัวถามได้เลยนะ ถามได้ตลอดเวลา อยากรู้ตอนไหนก็ถามออกมาได้เลยพี่พร้อมจะบอกทุกเรื่อง" เขาไม่รู้ว่ารอยยิ้มของตัวเองตอนนี้เรียกว่ายิ้มจนแก้มแทบปริได้ไหม รู้แค่เพียงดีใจเหลือเกินที่คนตรงหน้าอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเขาให้มากขึ้นบัวบูชาไม่รู้ว่าเธอคิดผิดหรือถูกที่พูดออกไปแบบนั้น เพราะมันทำให้เจตนิพัทธ์ยิ้มกว้างอย่างที่เธอชอบ เธอชอบมองเขายิ้มและหัวเราะที่สุด และตอนนี้รอยยิ้มของเขาก็ทำเอาหัวใจเธอสั่นไหวรุนแรงเหลือเกิน"คือ...เอ่อ" อยู่ ๆ เธอก็คล้ายคนสมองเบลอไปชั่วขณะคิดอะไรไม่ออกเพียงเพราะรอยยิ้มของผู้ชายคนหนึ่ง "บัวว่าบัวหิวแล้วค่ะ""กับข้าวเสร็จหมดแล้ว บัวไปนั่งรอที่โต๊ะได้เลย เดี๋ยวพี่ยกไปให้"เธอเพียงพยักหน้ารับก่อนจะเดินหน้าร้อนออกมาจากจุดที่ยืนอยู่ และไม่รู้เลยว่าตอนนี้บนใบหน้ากำลังมีรอยยิ้มแห่งความดีใจประด
บทที่ 19 วันแรกของการดูแลคนท้อง 2/4คนท้องรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งในช่วงสายของวัน อาการแพ้ท้องดีขึ้นมากกว่าช่วงเช้า ว่าที่คุณแม่ที่หน้าท้องเริ่มนูนเด่นค่อย ๆ ขยับตัวลุกจากเตียง ก่อนจะเดินออกมาจากห้องนอน และเพราะมีเสียงดังมาจากในห้องครัวเธอจึงตัดสินใจเดินเข้าไปดู ซึ่งก็ต้องตกใจกับสิ่งที่ได้เห็นคนที่อยู่ในครัวไม่ใช่ป้าชื่น แต่เป็นเจ้าของร่างสูงโปร่ง อีกทั้งเจตนิพัทธ์ตอนนี้ยังอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนอีกด้วย"คุณเจตทำอะไรอยู่คะ""ตื่นแล้วเหรอ" เขาหันมายิ้มกว้างให้คนท้อง ก่อนจะรีบล้างไม้ล้างมือแล้วก้าวเดินเข้าไปหาเธอ ทว่าคราวนี้ไม่เหมือนเมื่อเช้า เพราะบัวบูชาเริ่มเหม็นกลิ่นตัวพ่อของลูกอีกแล้ว"อย่าเข้ามาใกล้เกินค่ะ" เธอรีบยกมือขึ้นห้ามเขาไว้ ซึ่งเจตนิพัทธ์ก็ยอมถอยห่างแต่โดยดี"ยังคลื่นไส้อยากอ้วกอยู่อีกไหม""ห่างเท่านี้ก็ไม่ค่อยได้กลิ่นแล้วค่ะ ว่าแต่ป้าชื่นล่ะคะ" ดวงตาคู่สวยมองหาคนที่อยู่ดูแลเธอมาเกือบจะสองเดือน ปกติทุกเช้าหลังตื่นนอนบัวบูชามักจะเห็นป้าขื่นคลุกตัวอยู่แต่ในห้องครัวนี่นา"พี่ให้แกกลับไปแล้ว เพราะต่อจากนี้พี่จะเป็นคนดูแลเธอกับลูกเอง อีกอย่าง...ก็ถือเป็นการซ้อมอยู่ด้วยกันแบบพ่อแม
บทที่ 19 วันแรกของการดูแลคนท้อง 1/4คนที่เพิ่งจะได้นอนช่วงเช้ามืดเพราะมัวแต่หาข้อมูลในการดูแลคนท้องสะดุ้งตัวตื่นทันที เมื่อได้ยินเสียงคนอ้วกดังมาจากในห้องน้ำ เจตนิพัทธ์รีบลุกทั้งในสภาพที่ใบหน้ายังงัวเงียและผมเผ้าไม่ได้จัดทรง เขาเดินตรงไปหน้าห้องน้ำโดยไม่ลืมหยิบขวดน้ำเปล่าไปให้คนท้องใช้ล้างคอว่าที่คุณแม่อ้วกจนแทบไม่มีอะไรให้อ้วกออกมาอีกแล้ว บัวบูชาไม่มีแรงพอจะยืนด้วยซ้ำจึงต้องนั่งนิ่งอยู่ที่พื้นห้องน้ำก่อน ทว่าก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ ๆ ร่างกายก็ถูกช้อนอุ้มขึ้น"จะทำอะไรคะ""พาไปนอนที่เตียง เป็นแบบนี้ทุกเช้าเลยเหรอ" ร่างสูงถามขณะอุ้มว่าที่คุณแม่กลับมานอนพักยังเตียงนอน เขาวางเธอลงอย่างเบามือ ก่อนจะจัดการนำหมอนมารองแผ่นหลังเพื่อให้คนท้องนั่งได้อย่างสบายขึ้น"บัวแพ้ท้องช้า เพิ่งจะมาแพ้หนักก็ตอนที่เข้าเดือนที่สี่ค่ะ ช่วงเช้าก็จะแพ้ท้องหนักกว่าช่วงอื่น ๆ สาย ๆ หน่อยอาการก็จะดีขึ้นเองค่ะ""รอแป๊บนะ เดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำขิงกับขนมมาให้ เห็นเขาบอกว่ามันช่วยแก้อาการคลื่นไส้ได้""ใครบอกคะ" บัวบูชาเอียงคอสงสัย และก็ได้รับเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนกลับมาจากใบหน้าคมเข้ม"ในเน็ตน่ะ"เขาตอบสั้น ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้อง