LOGINหลังรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย เจียงอวี้เฉิงก็เดินกลับเรือนเจิ้งจื้อของตนเองตามความทรงจำเดิม โดยมีหม่งหู่และติงหลี่ บ่าวรับใช้คนสนิทเดินตามหลังไม่ห่าง
เจียงอวี้เฉิงยังคงทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างเช่นเดิม เพื่อไม่ให้ผู้ใดผิดสังเกต
เรือนเจิ้งจื้อเป็นเรือนส่วนตัวของเขาตั้งอยู่ในมุมที่เงียบสงบที่สุดของจวนเจิ้นกั๋วกง มีกำแพงเตี้ย ๆ ที่ก่อด้วยอิฐสีเทาและประตูไม้สีเข้มที่เรียบง่าย
ภายในลานเรือนไม่ได้ประดับด้วยดอกไม้หลากสีสัน แต่เป็นสวนหินที่จัดวางอย่างมีศิลปะ พร้อมด้วยต้นไผ่ที่เอนไหวไปตามสายลม และบ่อน้ำขนาดเล็กที่มีกอหญ้าขึ้นเขียวขจี ช่วยสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบ
เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงกลางจะพบกับพื้นไม้สีเข้มที่ขัดเงาจนขึ้นเงา ผนังประดับด้วยภาพวาดพู่กันลายภูเขาและแม่น้ำ โต๊ะไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง พร้อมกระดานหมากล้อมที่ยังคงมีตัวหมากวางค้างไว้อยู่ บ่งบอกถึงกิจกรรมยามว่างที่ซื่อจื่อคนก่อนชื่นชอบนอกเหนือจากการจับกระบี่และทวนยาว
ห้องที่เป็นส่วนตัวที่สุดคือห้องทำงานและห้องพักผ่อนที่มีกลิ่นหอมของไม้จันทน์หอมที่ใช้จุดบูชา ผนังห้องเต็มไปด้วยชั้นหนังสือที่สูงจรดเพดาน ไม่ได้มีเพียงตำราพิชัยสงครามเท่านั้น แต่ยังมีตำราการปกครองและบทกวีอีกนับไม่ถ้วน
ในมุมหนึ่งของห้องมีหุ่นไม้สำหรับฝึกซ้อม พร้อมด้วยกระบี่ยาวและทวนชิงกวง ทวนประจำตัวของเขาที่ถูกแขวนไว้บนผนังในมุมที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เจียงอวี้เฉิงหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะไม้ พลางครุ่นคิด เขาต้องการทบทวนความทรงจำใหม่ทั้งหมดเสียก่อน จึงจะสามารถวางแผนการต่อไปในอนาคตได้ “ข้าอยากเขียนอักษรเสียหน่อย”
“ขอรับ นายน้อย” หม่งหู่รีบไปจัดเตรียมแท่นฝนหมึก และฝนหมึกให้อย่างตั้งใจ ส่วนติงหลี่ก็เพิ่มไฟตะเกียงที่โต๊ะให้สว่างขึ้น
จนเมื่อทุกอย่างตระเตรียมเสร็จเรียบร้อย เจียงอวี้เฉิงจึงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ แล้วเอ่ยไล่พวกเขาให้ออกไป “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
“ขอรับ นายน้อย” หม่งหู่และติงหลี่ก้มศีรษะแล้วล่าถอยออกจากจวนอย่างนอบน้อม
บรรยากาศในจวนกว้างเหลือเพียงเจียงอวี้เฉิงเพียงผู้เดียว เขาหยิบพู่กันที่แขวนไว้มาจุ่มหมึก ก่อนจะเริ่มเขียนอักษรตามเรื่องราวที่จำได้จากบันทึกของตระกูลเจียง
เย่เฉิง... รองแม่ทัพของกองทัพที่ทรยศเจิ้นกั๋วกง
เจียงอวี้เฉิงหลับตานึกทบทวน การใส่ร้ายเริ่มต้นขึ้น หลังงานอภิเษกขององค์หญิงใหญ่ ด้วยข้อหาสมคบคิดกับแคว้นศัตรูอย่างแคว้นต้าถัง
พยานปากเอกมีแค่เย่เฉิงเพียงคนเดียว
แล้วทำไมเย่เฉิงถึงยอมทรยศตระกูลเจียง เพราะอะไร?
หลักฐานมัดตัวคือสารลับสองส่วน ส่วนแรกคือจดหมายจากเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นแบบสำเนาที่เย่เฉิงคัดลอกไว้ มันเลยจึงเป็นลายมือของเย่เฉิง ดังนั้น ส่วนนี้เย่เฉิงสามารถเนรมิตขึ้นมาเองได้ไม่ยาก
ส่วนที่สองคือสารลับจากแม่ทัพใหญ่เฉินของแคว้นต้าถังที่ตอบกลับมาพร้อมการตอบตกลงที่จะให้ตระกูลเจียงได้ขึ้นเป็นใหญ่ ครองบัลลังก์แทนราชวงศ์ชิง
ส่วนนี้ ยังไงก็ไม่สามารถทำขึ้นเองได้ อีกทั้งยังมีการตรวจสอบแล้วว่าเป็นของจริง นั่นแปลว่ามีคนลอบติดต่อแม่ทัพใหญ่เฉินจริง ๆ และถึงขั้นร่วมมือกับเขาเพื่อใส่ร้ายตระกูลเจียงอีกด้วย!!
เจียงอวี้เฉิงเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง เมื่อตระหนักถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์ที่มากเกินกว่าที่คิดไว้!
คนร้ายตัวจริงที่ทรยศแคว้น ลอบติดต่อแม่ทัพศัตรู ร่วมมือกันเพื่อจัดการปลดดาบ ทำลายโล่ของแคว้นอย่างตระกูลเจียง มันไม่มีสมองบ้างเลยรึไง?
ในสมัยโบราณอย่างนี้ การทหารนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก การที่มีเจิ้นกั๋วกงและกองทัพตระกูลเจียงคอยปกป้องแคว้นก็ถือว่าเป็นเกราะสำคัญที่ทำให้แคว้นอื่นไม่กล้ารุกราน
แล้วการที่พวกมันสมคบคิด ล้างบางตระกูลแม่ทัพอย่างนี้แล้ว แล้วพวกมันจะปกครองดูแลแคว้นต่อได้ยังไง?
เดี๋ยวก่อน! ตามบันทึก… ราชวงศ์จวงรับช่วงต่อบัลลังก์จากราชวงศ์ชิง สามารถดูแลแคว้นมาได้หลายร้อยปี หรือว่าจะเป็นเพราะมีการตกลงเรื่องผลประโยชน์ที่ลงตัวไว้เรียบร้อยแล้ว?
เดี๋ยวก่อน... ข้อมูลให้วิเคราะห์เยอะเกินไป
ใจเย็น ๆ เอาใหม่...
เจียงอวี้เฉิงตวัดปลายพู่กันเขียนคำว่า เจียง แล้วจึงกากบาททับ
ตัวร้ายที่ร่วมมือกับศัตรู เลือกกำจัดแม่ทัพอย่างตระกูลเจียงที่จงรักภักดีต่อบ้านเมืองและราชวงศ์ชิง...
จงรักภักดีต่อบ้านเมือง มันเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งแคว้น ทุกคนสามารถหลงระเริงกับความสุขสบายในเมืองหลวงได้ ก็เพราะมีกองทัพตระกูลเจียง ดังนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่อาจปฏิเสธผลประโยชน์นี้ได้ ด้วยตระกูลเจียงเป็นเหมือนสุนัขเฝ้าบ้าน มีย่อมดีกว่าไม่มีอยู่แล้ว
จงรักภักดีต่อราชวงศ์ชิงอย่างนั้นเหรอ?
เพราะเจิ้นกั๋วกงเลือกที่จะสนับสนุนให้ฮ่องเต้ชิงหยางมาขึ้นครองบัลลังก์ต่อ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้น ไม่มีสายเลือดราชวงศ์ชิงเหลืออยู่แล้ว แปลว่าความจริงแล้ว ตัวโกงตั้งใจจะฮุบบัลลังก์ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วใช่ไหม?
แต่เพราะตระกูลเจียงสอดมือเข้ามาขวาง อีกทั้งยังเสนอตัวเป็นป้อมปราการปกป้องอีก
โปะเช้ะ!! ดูทุกอย่างมันเข้าทางกันไปหมด...
ถ้าอย่างนี้ ก็พอจะสมเหตุสมผลขึ้นมาหน่อยว่าทำไมจึงต้องฆ่าล้างตระกูลเจียง!
เป้าหมายของตัวร้ายคือบัลลังก์มังกร และตระกูลเจียงคือหมาที่ขวางทางตัวนั้น พวกมันจึงต้องร่วมมือกับแคว้นต้าถุงต้าถัง เพื่อกำจัดหมาตัวนั้นให้พ้นทาง
‘แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าในยามนี้ การปกป้องราชวงศ์ก็มีความสำคัญมิต่างกัน’
‘เจ้ามองไม่ออกหรือว่าในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งใดคือสิ่งที่สำคัญที่ต้องการการปกป้องมากที่สุด’
‘การเข้าร่วมพิธีคัดเลือกพระราชสวามีขององค์หญิงใหญ่เองก็เป็นการปกป้องชาวบ้านเช่นกัน’
ถ้อยคำของบิดา เมื่อยามเว่ยย้อนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง...
หรือว่าเจิ้นกั๋วกงจะรู้อะไรมา ถึงบังคับให้ซื่อจื่อเข้าร่วมพิธีคัดเลือกพระราชสวามีให้ได้
เจียงอวี้เฉิงวางพู่กันลง แล้วเอนตัวพิงพนักอย่างตัดสินใจได้ในที่สุด
“เฮ้อ... ดูท่าว่าถ้าเรายังอยากมีชีวิตอยู่ ยังไงก็คงต้องเป็นสามีขององค์หญิงใหญ่ให้ได้สินะ”
*ยามเว่ย หมายถึง ช่วงเวลา 13.00-14.59 น.
หลังรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย เจียงอวี้เฉิงก็เดินกลับเรือนเจิ้งจื้อของตนเองตามความทรงจำเดิม โดยมีหม่งหู่และติงหลี่ บ่าวรับใช้คนสนิทเดินตามหลังไม่ห่างเจียงอวี้เฉิงยังคงทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างเช่นเดิม เพื่อไม่ให้ผู้ใดผิดสังเกตเรือนเจิ้งจื้อเป็นเรือนส่วนตัวของเขาตั้งอยู่ในมุมที่เงียบสงบที่สุดของจวนเจิ้นกั๋วกง มีกำแพงเตี้ย ๆ ที่ก่อด้วยอิฐสีเทาและประตูไม้สีเข้มที่เรียบง่ายภายในลานเรือนไม่ได้ประดับด้วยดอกไม้หลากสีสัน แต่เป็นสวนหินที่จัดวางอย่างมีศิลปะ พร้อมด้วยต้นไผ่ที่เอนไหวไปตามสายลม และบ่อน้ำขนาดเล็กที่มีกอหญ้าขึ้นเขียวขจี ช่วยสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงกลางจะพบกับพื้นไม้สีเข้มที่ขัดเงาจนขึ้นเงา ผนังประดับด้วยภาพวาดพู่กันลายภูเขาและแม่น้ำ โต๊ะไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง พร้อมกระดานหมากล้อมที่ยังคงมีตัวหมากวางค้างไว้อยู่ บ่งบอกถึงกิจกรรมยามว่างที่ซื่อจื่อคนก่อนชื่นชอบนอกเหนือจากการจับกระบี่และทวนยาวห้องที่เป็นส่วนตัวที่สุดคือห้องทำงานและห้องพักผ่อนที่มีกลิ่นหอมของไม้จันทน์หอมที่ใช้จุดบูชา ผนังห้องเต็มไปด้วยชั้น
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” เสียงหัวเราะร่วนอย่างมีความสุขของเจิ้นกั๋วกงดังก้องกังวานไปทั่วห้องอาหารของจวนแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องผ่านบานหน้าต่างไม้ฉลุลาย บนโต๊ะไม้เนื้อดีเต็มไปด้วยอาหารเลิศรส กลิ่นหอมของข้าวสวยร้อน ๆ คลุกเคล้าไปกับกลิ่นของเครื่องเทศและเนื้อสัตว์อบอวลไปทั่วห้อง“ท่านพี่อารมณ์ดีเสียจริงนะเจ้าคะ” ฉินซื่อ ฮูหยินของเขาเอ่ยพร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่น คอยตักอาหารให้สามีอย่างใส่ใจเจิ้นกั๋วกงตอบพลางคีบเนื้อเข้าปาก “ก็เฉิงเอ๋อร์ยอมไปคัดเลือกพระราชสวามีขององค์หญิงใหญ่แล้วนี่”“จริงรึ? ท่านพ่อ” เจียงจุนหลี่ น้องชายคนรองเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อ “เมื่อคืน ท่านพี่ยังยืนกรานกับข้าว่าอย่างไรก็จะไม่เข้าคัดเลือกเป็นแน่ จริงหรือไม่? ท่านพี่”เจียงจุนหลี่หันไปถามเจียงอวี้เฉิง ในขณะที่เจียงอวี้เฉิงกำลังตาลายไปกับอาหารเลิศรสนานาชนิดบนโต๊ะ ทั้งปลานึ่งซีอิ๊ว หมูแดงย่างหอมกรุ่น ขาหมูพะโล้ ผัดผักตามฤดูกาล และที่ขาดไม่ได้คือไก่ตุ๋นยาจีนเนื้อนุ่ม หนังสีเหลืองทองชวนน้ำลายสอ ไอน้ำยังลอยกรุ่นขึ้นมาจากชามใหญ่แม่เจ้าโว้ย!! เกิดมายังไม่เคยมีอาหารเต็มโต๊ะขนาดนี้มาก่อนเลย!!
“อ๊าก!!” เจียงอวี้เฉิงหมอบลงตัวกับพื้นแล้วร้องระบายออกมาสุดเสียงอย่างอัดอั้นแม่งเอ๊ย!! นึกว่าจะได้ร่างใหม่ที่หล่อเหลา ไม่มีรอยสักแล้วซะอีก...เสียงร้องโหยหวนของเขาสร้างความตกใจให้แก่บิดาคนใหม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมากเจิ้นกั๋วกงหันสบตากับจ้าวลี่ด้วยความตกตะลึง ไม่รู้ว่าวันนี้ บุตรชายของเขาเป็นสิ่งใด ล้วนแต่มีท่าทีแปลกประหลาด ตั้งแต่ร้องหาคันฉ่อง ไหนจะปรากฏรอยประหลาดที่ต้นแขนอีก“ฉะ... เฉิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นสิ่งใดไป? พ่อตีเจ้าเจ็บหรือ?”เจียงอวี้เฉิงที่ได้ยินน้ำเสียงห่วงใยนั้น ก็รีบเงยหน้าขึ้นมองหน้า เจียงซู่ เจิ้นกั๋วกงและเป็นบิดาของเขาในตอนนี้เจียงซู่ เหมือนเจียงห้าว พ่อของเขาไม่มีผิดเพี้ยน...ใบหน้า น้ำเสียง รูปร่าง แม้ว่าจะดุกับเขาไปบ้าง แต่อย่างไรก็รักและเอ็นดูเขาอย่างที่สุด“ข้าไม่เป็นไรขอรับ” เจียงอวี้เฉิงตอบด้วยเสียงอู้อี้หากวิญญาณของเขาข้ามมิติมาที่นี่แล้ว ร่างของเขาในโลกนู้นก็คงจะนอนแน่นิ่งแล้วสินะ...แล้วพ่อจะเป็นยังไงบ้างนะ? พ่อจะไม่คลั่งไปเลยเหรอ?ยิ่งกังวลอยู่ว่าเขาเป็นสายเลือดคนสุดท้ายของ
“ไอ้ลูกไม่รักดี! คุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าป้ายบรรพบุรุษตระกูลเจียงเดี๋ยวนี้!”น้ำเสียงและถ้อยคำที่คุ้นเคยดังผ่านหูของเขาอีกครั้ง เจียงอวี้เฉิงกะพริบตาตื่นขึ้นด้วยความตกใจภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือป้ายวิญญาณบรรพบุรุษที่วางเรียงรายหลายสิบป้ายอย่างเป็นระเบียบอยู่บนแท่นบูชาขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้หงส์แดง ขัดเงาจนขึ้นสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายป้ายวิญญาณบรรพบุรุษทำจากไม้แกะสลักอย่างประณีต ลงรักปิดทองอร่ามเรืองรองภายใต้แสงเทียนและตะเกียงน้ำมันที่จุดบูชาอยู่เสมอ รายนามและตำแหน่งของบรรพบุรุษแต่ละรุ่นถูกจารึกไว้อย่างเคารพและนับถือบ้านเขาไม่ได้ตั้งป้ายวิญญาณไฮโซแบบนี้นี่?กระถางธูปทองเหลืองขัดเงาที่ส่งกลิ่นหอมของกำยานอ่อน ๆ เชิงเทียนคู่ใหญ่ที่เปลวเทียนไหวระริกอย่างนุ่มนวล วางซ้อนด้านหน้าด้วยถ้วยน้ำชาสะอาดบริสุทธิ์บ้านเขายากจนขนาดนี้ จะไปมีกระถางธูปทองเหลืองได้ยังไง?เจียงอวี้เฉิงหันหน้าไปมา เพื่อมองรอบ ๆ ตัวแล้วจึงพบว่าตอนนี้เขากำลังคุกเข่าอยู่ในโถงบรรพชนขนาดใหญ่ที่บรรยากาศกำลังเย็นเยียบและเงียบสงัด แสงสว่างจากภายนอกลอดผ่านบานหน้าต่างไม้ฉลุลายที่ประดับด้วยกร
“ทำไมคนแซ่จวงมันโชคดีจังวะ ได้แต่งงานกับเจ้าหญิง ลูกกลายเป็นเต้ แล้วยังได้เป็นไฮโซอีก” เจียงอวี้เฉิงพูดด้วยความอิจฉาเต็มอก ก่อนจะนึกถึงตระกูลจวงในปัจจุบันที่ได้ยินผ่านสื่อโทรทัศน์บ่อย ๆจวงเหวินซิน ศัลยแพทย์หัวใจอัจฉริยะ ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการแพทย์ชั้นนำระดับโลก หลังกลับสู่ประเทศบ้านเกิดแล้ว เขาก็ได้กลายเป็นแพทย์มือหนึ่งอย่างรวดเร็ว เขาได้ก่อตั้งเครือข่ายโรงพยาบาลนับสิบแห่งทั่วประเทศ ภายใต้ชื่อเสียงอันเป็นที่น่านับถือของตระกูลจวงจวงยู่หลุน นักการเมืองผู้ยึดมั่นในหลักการ ทำงานด้วยความมุ่งมั่นและเสียสละ จนได้รับการไว้วางใจจากประชาชน เลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองหลายสมัยจวงเจ๋อหยู อธิการบดีผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เขาก่อตั้งมหาวิทยาลัยชั้นนำที่ได้รับการยอมรับในระดับชาติ จนมหาวิทยาลัยแห่งนี้กลายเป็นที่ใฝ่ฝันของนักเรียนนับล้านทั่วประเทศ การันตีการเรียนจบที่มีคุณภาพและการได้งานทำที่มั่นคง ทำให้บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานเป็นอย่างสูงจวงย่าจิ้ง คุณนายใหญ่แห่งตระกูลจวง ผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี เธอได้ก่อตั้งมูลนิธิต่าง ๆ ม
ฮ่องเต้ชิงหยางประกาศให้บุตรชายของตระกูลขุนนางเข้าร่วมงานคัดเลือก ซึ่ง เจียงอวี้เฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนกั๋วกงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมงานคัดเลือกนั้นในท้ายที่สุด จวงหมิงรุ่ย ซื่อจื่อแห่งจวนจวงกั๋วซือ ของ จวงเหวินจิ่น ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นกั๋วซือของฮ่องเต้ในขณะนั้น ได้ผ่านการคัดเลือกเป็นพระราชบุตรเขยหลังจากที่องค์หญิงใหญ่ได้สนทนากับซื่อจื่อแห่งจวนจวงกั๋วซือก็เกิดความพึงพอพระทัยในการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ซึ่งแตกต่างจากการใช้ชีวิตตามกฎเกณฑ์ของวังหลวงเป็นอย่างมากองค์หญิงใหญ่จึงได้ขอพระราชทานย้ายไปอยู่กับซื่อจื่อที่จวนจวงกั๋วซือ ซึ่งฮ่องเต้ชิงหยางก็ได้พระราชทานอนุญาต ตามพระทัยพระเชษฐภคินีหลังจากงานอภิเษกสมรส องค์หญิงใหญ่ได้ก้าวเข้าสู่จวนจวงกั๋วซือในฐานะฮูหยินซื่อจื่อ เพียงไม่นาน ก็มีข่าวว่าองค์หญิงใหญ่ได้ประสบอุบัติเหตุที่ใบหน้า จำต้องใช้ผ้าปิดใบหน้าเมื่อออกจากจวนอยู่เสมอแต่ความสงบสุขก็อยู่ได้ไม่นาน วันหนึ่ง เย่เฉิง รองแม่ทัพคนสนิทของเจิ้นกั๋วกงได้เข้าไปทูลรายงานกับฮ่องเต้ชิงหยางว่าจวนเจิ้นกั๋วกงต้องการก่อกบฏ ติดต่อสมคบคิดกับแคว้นศัตรูเย่เฉิงมอบหลักฐา







