LOGIN“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” เสียงหัวเราะร่วนอย่างมีความสุขของเจิ้นกั๋วกงดังก้องกังวานไปทั่วห้องอาหารของจวน
แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องผ่านบานหน้าต่างไม้ฉลุลาย บนโต๊ะไม้เนื้อดีเต็มไปด้วยอาหารเลิศรส กลิ่นหอมของข้าวสวยร้อน ๆ คลุกเคล้าไปกับกลิ่นของเครื่องเทศและเนื้อสัตว์อบอวลไปทั่วห้อง
“ท่านพี่อารมณ์ดีเสียจริงนะเจ้าคะ” ฉินซื่อ ฮูหยินของเขาเอ่ยพร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่น คอยตักอาหารให้สามีอย่างใส่ใจ
เจิ้นกั๋วกงตอบพลางคีบเนื้อเข้าปาก “ก็เฉิงเอ๋อร์ยอมไปคัดเลือกพระราชสวามีขององค์หญิงใหญ่แล้วนี่”
“จริงรึ? ท่านพ่อ” เจียงจุนหลี่ น้องชายคนรองเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อ “เมื่อคืน ท่านพี่ยังยืนกรานกับข้าว่าอย่างไรก็จะไม่เข้าคัดเลือกเป็นแน่ จริงหรือไม่? ท่านพี่”
เจียงจุนหลี่หันไปถามเจียงอวี้เฉิง ในขณะที่เจียงอวี้เฉิงกำลังตาลายไปกับอาหารเลิศรสนานาชนิดบนโต๊ะ ทั้งปลานึ่งซีอิ๊ว หมูแดงย่างหอมกรุ่น ขาหมูพะโล้ ผัดผักตามฤดูกาล และที่ขาดไม่ได้คือไก่ตุ๋นยาจีนเนื้อนุ่ม หนังสีเหลืองทองชวนน้ำลายสอ ไอน้ำยังลอยกรุ่นขึ้นมาจากชามใหญ่
แม่เจ้าโว้ย!! เกิดมายังไม่เคยมีอาหารเต็มโต๊ะขนาดนี้มาก่อนเลย!!
แม้แต่ช่วงวันตรุษจีนยังมีอาหารมากสุดแค่สามอย่างเอง
ชีวิตของเขาและพ่อ มันน่าเศร้าเกินไปแล้ว!
“ท่านพี่?”
เมื่อเจียงจุนหลี่เห็นว่าพี่ชายยังไม่ตอบเขา จึงได้เรียกอีกครั้ง
“ห้ะ! อ่อ… ข้าเปลี่ยนใจแล้วน่ะ” เจียงอวี้เฉิงตอบเสียงเรียบ ในขณะที่ใช้ตะเกียบคีบท้องปลาสีขาวนวลชิ้นใหญ่เข้าเต็มปาก
สวรรค์!! เจ้าซื่อจื่อนั่นจะรู้บ้างไหมนะ ว่าการที่เขาปฏิเสธงานคัดเลือกนี้ มันจะทำให้อนาคตของตระกูลเจียงต้องอดอยากมากแค่ไหน แค่หาข้าวสวยร้อน ๆ กินให้อิ่มท้องสักถ้วยยังยากลำบากเลย ฮือ...
“มิใช่ว่าพี่ชายใหญ่ได้เห็นภาพวาดขององค์หญิงใหญ่แล้วเกิดเปลี่ยนใจหรอกหรือเจ้าคะ?” เจียงหมิงเย่ว์ น้องสาวคนสุดท้องของฉินซื่อเอ่ยขึ้น ดวงตาทอประกายหยอกเย้าพี่ชายราวกับเด็กสาวแสนซน
“เย่ว์เอ๋อร์ อย่าล้อพี่ชายเจ้าสิ” ฉินซื่อปรามยิ้ม ๆ ก่อนจะคีบเนื้อหมูชิ้นใหญ่วางลงบนถ้วยข้าวของเขาอย่างรักใคร่ “เฉิงเอ๋อร์ทานข้าวให้เยอะหน่อย เหตุใดแม่จึงรู้สึกว่าเจ้าผอมลงกันนะ”
ถ้อยคำหยอกเย้าของน้องสาว และถ้อยคำห่วงใยจากมารดา ทำให้จิตใจที่เคยแข็งทื่อของเจียงอวี้เฉิงราวกับกำลังถูกหลอมละลายอย่างช้า ๆ
ตลอดชีวิตของเจียงอวี้เฉิงล้วนอาศัยอยู่กับเจียงห้าว ผู้เป็นบิดา เพียงสองคนเท่านั้น ทั้งคู่เพียงแต่ใช้ชีวิตให้รอดไปในแต่ละวัน ไม่เคยได้สัมผัสความอบอุ่นใจใด ๆ จากภรรยาหรือมารดาเลย
“ขอบคุณขอรับ ท่านแม่”
เจียงอวี้เฉิงกลั้นเสียงสะอื้น พยายามกล่าวขอบคุณเสียงเรียบ แล้วก้มหน้าก้มตาทานอาหารในถ้วยที่พูนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉินซื่อทยอยคีบกับข้าวต่าง ๆ มาวางไว้ในถ้วยข้าวของเขา
“จะว่าไปแล้ว งานพิธีคัดเลือกจะจัดขึ้นในวันที่แปดเดือนหน้า อย่างไรเจ้าก็เตรียมตัวไว้ให้พร้อมเล่า” เจิ้นกั๋วกงกล่าวอย่างหนักใจ “เห็นว่าจะมีการคัดเลือกสองรอบ รอบแรกคงเป็นการทดสอบพลังกาย อย่างไรเรื่องนี้ เจ้าก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล”
“แต่รอบสองคือการทดสอบความรู้... ตระกูลจวงก็คงคว้าชัยไปได้ไม่ยาก แต่อย่างไรเสีย เจ้าก็ไปเปิดตำราคัมภีร์ทบทวนวรรณกรรมดูเสียบ้าง”
“ขอรับ ท่านพ่อ” เจียงอวี้เฉิงเอ่ยรับคำ หากแต่ดวงตาจิ้งจอกกลับจดจ้องอยู่ที่ไก่ตุ๋นยาจีนเนื้อนุ่ม ดวงตาคมเหลือบเห็นตะเกียบของเจียงจุนหลี่ที่กำลังจะยื่นไปคีบช่วงอกไก่แสนนุ่ม
หากแต่เจียงอวี้เฉิงพลิกมือบังคับตะเกียบคีบอกไก่ชิ้นใหญ่ไปต่อหน้าต่อตาของเจียงจุนหลี่ ทำให้อีกฝ่ายได้แต่อ้าปากค้าง ยื่นตะเกียบแข็งทื่ออยู่ข้างชามใหญ่
“ท่านพี่!!” เจียงจุนหลี่ร้องลั่น “ท่านแย่งอกไก่ของข้า!!”
“ก็เจ้าอยากช้าเอง” เจียงอวี้เฉิงยักไหล่บอกเสียงชืด ก่อนจะคีบอกไก่ชูขึ้นอย่างเยาะเย้ย สร้างเสียงหัวเราะแผ่วเบาจากทุกคนบนโต๊ะ
“แล้วผู้ใดจะไปเร็วเท่าท่านกันเล่า?” เจียงจุนหลี่แย้งเสียงดัง “ข้ายังไม่ได้เก่งวิชายุทธ์เท่าท่านพี่นะ!”
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! เช่นนั้นเจ้าก็ต้องฝึกฝนให้หนักขึ้นเสียสิ” เจิ้นกั๋วกงหัวเราะ ก่อนจะสั่งสอนบุตรชายคนเล็ก
เจียงจุนหลี่เบ้ปาก วางตะเกียบลงแล้วยกมือขึ้นกอดอกอย่างแง่งอน “ท่านพี่แย่งไก่ข้าไปชัด ๆ แต่ท่านพ่อกลับสั่งสอนข้า ไม่กล่าวโทษท่านพี่เลยสักนิด ท่านจะลำเอียงเกินไปแล้ว ข้าน้อยใจแล้วนะ!!”
ทุกคนบนโต๊ะ “...”
เจ้าเป็นชายวัยฉกรรจ์มิใช่สาวน้อยแรกแย้มที่ทำท่าสะบัดสะบิ้งเช่นนี้แล้วจะน่าเอ็นดูนะ...
เจียงอวี้เฉิงเห็นใบหน้าบูดบึ้งของน้องชายที่เขาเพิ่งจะมีในชีวิตนี้
สุดท้าย เขาก็หักใจทำร้ายไม่ลง...
เจียงอวี้เฉิงจึงขยับตะเกียบในมือเลื่อนไปที่ไก่เนื้อนุ่มอีกครั้ง ท่ามกลางสายตาเปี่ยมความหวังของเจียงจุนหลี่ที่คิดว่าตนเองจะได้อกไก่นุ่ม ๆ กลับคืนมา
สุดท้าย ในชามของเจียงจุนหลี่ก็ปรากฏตีนไก่หนึ่งคู่สองข้างขึ้นมาแทน ท่ามกลางเสียงหัวเราะดังลั่นของบิดาบังเกิดเกล้า...
หลังรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย เจียงอวี้เฉิงก็เดินกลับเรือนเจิ้งจื้อของตนเองตามความทรงจำเดิม โดยมีหม่งหู่และติงหลี่ บ่าวรับใช้คนสนิทเดินตามหลังไม่ห่างเจียงอวี้เฉิงยังคงทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างเช่นเดิม เพื่อไม่ให้ผู้ใดผิดสังเกตเรือนเจิ้งจื้อเป็นเรือนส่วนตัวของเขาตั้งอยู่ในมุมที่เงียบสงบที่สุดของจวนเจิ้นกั๋วกง มีกำแพงเตี้ย ๆ ที่ก่อด้วยอิฐสีเทาและประตูไม้สีเข้มที่เรียบง่ายภายในลานเรือนไม่ได้ประดับด้วยดอกไม้หลากสีสัน แต่เป็นสวนหินที่จัดวางอย่างมีศิลปะ พร้อมด้วยต้นไผ่ที่เอนไหวไปตามสายลม และบ่อน้ำขนาดเล็กที่มีกอหญ้าขึ้นเขียวขจี ช่วยสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงกลางจะพบกับพื้นไม้สีเข้มที่ขัดเงาจนขึ้นเงา ผนังประดับด้วยภาพวาดพู่กันลายภูเขาและแม่น้ำ โต๊ะไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง พร้อมกระดานหมากล้อมที่ยังคงมีตัวหมากวางค้างไว้อยู่ บ่งบอกถึงกิจกรรมยามว่างที่ซื่อจื่อคนก่อนชื่นชอบนอกเหนือจากการจับกระบี่และทวนยาวห้องที่เป็นส่วนตัวที่สุดคือห้องทำงานและห้องพักผ่อนที่มีกลิ่นหอมของไม้จันทน์หอมที่ใช้จุดบูชา ผนังห้องเต็มไปด้วยชั้น
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” เสียงหัวเราะร่วนอย่างมีความสุขของเจิ้นกั๋วกงดังก้องกังวานไปทั่วห้องอาหารของจวนแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องผ่านบานหน้าต่างไม้ฉลุลาย บนโต๊ะไม้เนื้อดีเต็มไปด้วยอาหารเลิศรส กลิ่นหอมของข้าวสวยร้อน ๆ คลุกเคล้าไปกับกลิ่นของเครื่องเทศและเนื้อสัตว์อบอวลไปทั่วห้อง“ท่านพี่อารมณ์ดีเสียจริงนะเจ้าคะ” ฉินซื่อ ฮูหยินของเขาเอ่ยพร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่น คอยตักอาหารให้สามีอย่างใส่ใจเจิ้นกั๋วกงตอบพลางคีบเนื้อเข้าปาก “ก็เฉิงเอ๋อร์ยอมไปคัดเลือกพระราชสวามีขององค์หญิงใหญ่แล้วนี่”“จริงรึ? ท่านพ่อ” เจียงจุนหลี่ น้องชายคนรองเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อ “เมื่อคืน ท่านพี่ยังยืนกรานกับข้าว่าอย่างไรก็จะไม่เข้าคัดเลือกเป็นแน่ จริงหรือไม่? ท่านพี่”เจียงจุนหลี่หันไปถามเจียงอวี้เฉิง ในขณะที่เจียงอวี้เฉิงกำลังตาลายไปกับอาหารเลิศรสนานาชนิดบนโต๊ะ ทั้งปลานึ่งซีอิ๊ว หมูแดงย่างหอมกรุ่น ขาหมูพะโล้ ผัดผักตามฤดูกาล และที่ขาดไม่ได้คือไก่ตุ๋นยาจีนเนื้อนุ่ม หนังสีเหลืองทองชวนน้ำลายสอ ไอน้ำยังลอยกรุ่นขึ้นมาจากชามใหญ่แม่เจ้าโว้ย!! เกิดมายังไม่เคยมีอาหารเต็มโต๊ะขนาดนี้มาก่อนเลย!!
“อ๊าก!!” เจียงอวี้เฉิงหมอบลงตัวกับพื้นแล้วร้องระบายออกมาสุดเสียงอย่างอัดอั้นแม่งเอ๊ย!! นึกว่าจะได้ร่างใหม่ที่หล่อเหลา ไม่มีรอยสักแล้วซะอีก...เสียงร้องโหยหวนของเขาสร้างความตกใจให้แก่บิดาคนใหม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมากเจิ้นกั๋วกงหันสบตากับจ้าวลี่ด้วยความตกตะลึง ไม่รู้ว่าวันนี้ บุตรชายของเขาเป็นสิ่งใด ล้วนแต่มีท่าทีแปลกประหลาด ตั้งแต่ร้องหาคันฉ่อง ไหนจะปรากฏรอยประหลาดที่ต้นแขนอีก“ฉะ... เฉิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นสิ่งใดไป? พ่อตีเจ้าเจ็บหรือ?”เจียงอวี้เฉิงที่ได้ยินน้ำเสียงห่วงใยนั้น ก็รีบเงยหน้าขึ้นมองหน้า เจียงซู่ เจิ้นกั๋วกงและเป็นบิดาของเขาในตอนนี้เจียงซู่ เหมือนเจียงห้าว พ่อของเขาไม่มีผิดเพี้ยน...ใบหน้า น้ำเสียง รูปร่าง แม้ว่าจะดุกับเขาไปบ้าง แต่อย่างไรก็รักและเอ็นดูเขาอย่างที่สุด“ข้าไม่เป็นไรขอรับ” เจียงอวี้เฉิงตอบด้วยเสียงอู้อี้หากวิญญาณของเขาข้ามมิติมาที่นี่แล้ว ร่างของเขาในโลกนู้นก็คงจะนอนแน่นิ่งแล้วสินะ...แล้วพ่อจะเป็นยังไงบ้างนะ? พ่อจะไม่คลั่งไปเลยเหรอ?ยิ่งกังวลอยู่ว่าเขาเป็นสายเลือดคนสุดท้ายของ
“ไอ้ลูกไม่รักดี! คุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าป้ายบรรพบุรุษตระกูลเจียงเดี๋ยวนี้!”น้ำเสียงและถ้อยคำที่คุ้นเคยดังผ่านหูของเขาอีกครั้ง เจียงอวี้เฉิงกะพริบตาตื่นขึ้นด้วยความตกใจภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือป้ายวิญญาณบรรพบุรุษที่วางเรียงรายหลายสิบป้ายอย่างเป็นระเบียบอยู่บนแท่นบูชาขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้หงส์แดง ขัดเงาจนขึ้นสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายป้ายวิญญาณบรรพบุรุษทำจากไม้แกะสลักอย่างประณีต ลงรักปิดทองอร่ามเรืองรองภายใต้แสงเทียนและตะเกียงน้ำมันที่จุดบูชาอยู่เสมอ รายนามและตำแหน่งของบรรพบุรุษแต่ละรุ่นถูกจารึกไว้อย่างเคารพและนับถือบ้านเขาไม่ได้ตั้งป้ายวิญญาณไฮโซแบบนี้นี่?กระถางธูปทองเหลืองขัดเงาที่ส่งกลิ่นหอมของกำยานอ่อน ๆ เชิงเทียนคู่ใหญ่ที่เปลวเทียนไหวระริกอย่างนุ่มนวล วางซ้อนด้านหน้าด้วยถ้วยน้ำชาสะอาดบริสุทธิ์บ้านเขายากจนขนาดนี้ จะไปมีกระถางธูปทองเหลืองได้ยังไง?เจียงอวี้เฉิงหันหน้าไปมา เพื่อมองรอบ ๆ ตัวแล้วจึงพบว่าตอนนี้เขากำลังคุกเข่าอยู่ในโถงบรรพชนขนาดใหญ่ที่บรรยากาศกำลังเย็นเยียบและเงียบสงัด แสงสว่างจากภายนอกลอดผ่านบานหน้าต่างไม้ฉลุลายที่ประดับด้วยกร
“ทำไมคนแซ่จวงมันโชคดีจังวะ ได้แต่งงานกับเจ้าหญิง ลูกกลายเป็นเต้ แล้วยังได้เป็นไฮโซอีก” เจียงอวี้เฉิงพูดด้วยความอิจฉาเต็มอก ก่อนจะนึกถึงตระกูลจวงในปัจจุบันที่ได้ยินผ่านสื่อโทรทัศน์บ่อย ๆจวงเหวินซิน ศัลยแพทย์หัวใจอัจฉริยะ ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการแพทย์ชั้นนำระดับโลก หลังกลับสู่ประเทศบ้านเกิดแล้ว เขาก็ได้กลายเป็นแพทย์มือหนึ่งอย่างรวดเร็ว เขาได้ก่อตั้งเครือข่ายโรงพยาบาลนับสิบแห่งทั่วประเทศ ภายใต้ชื่อเสียงอันเป็นที่น่านับถือของตระกูลจวงจวงยู่หลุน นักการเมืองผู้ยึดมั่นในหลักการ ทำงานด้วยความมุ่งมั่นและเสียสละ จนได้รับการไว้วางใจจากประชาชน เลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองหลายสมัยจวงเจ๋อหยู อธิการบดีผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เขาก่อตั้งมหาวิทยาลัยชั้นนำที่ได้รับการยอมรับในระดับชาติ จนมหาวิทยาลัยแห่งนี้กลายเป็นที่ใฝ่ฝันของนักเรียนนับล้านทั่วประเทศ การันตีการเรียนจบที่มีคุณภาพและการได้งานทำที่มั่นคง ทำให้บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานเป็นอย่างสูงจวงย่าจิ้ง คุณนายใหญ่แห่งตระกูลจวง ผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี เธอได้ก่อตั้งมูลนิธิต่าง ๆ ม
ฮ่องเต้ชิงหยางประกาศให้บุตรชายของตระกูลขุนนางเข้าร่วมงานคัดเลือก ซึ่ง เจียงอวี้เฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนกั๋วกงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมงานคัดเลือกนั้นในท้ายที่สุด จวงหมิงรุ่ย ซื่อจื่อแห่งจวนจวงกั๋วซือ ของ จวงเหวินจิ่น ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นกั๋วซือของฮ่องเต้ในขณะนั้น ได้ผ่านการคัดเลือกเป็นพระราชบุตรเขยหลังจากที่องค์หญิงใหญ่ได้สนทนากับซื่อจื่อแห่งจวนจวงกั๋วซือก็เกิดความพึงพอพระทัยในการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ซึ่งแตกต่างจากการใช้ชีวิตตามกฎเกณฑ์ของวังหลวงเป็นอย่างมากองค์หญิงใหญ่จึงได้ขอพระราชทานย้ายไปอยู่กับซื่อจื่อที่จวนจวงกั๋วซือ ซึ่งฮ่องเต้ชิงหยางก็ได้พระราชทานอนุญาต ตามพระทัยพระเชษฐภคินีหลังจากงานอภิเษกสมรส องค์หญิงใหญ่ได้ก้าวเข้าสู่จวนจวงกั๋วซือในฐานะฮูหยินซื่อจื่อ เพียงไม่นาน ก็มีข่าวว่าองค์หญิงใหญ่ได้ประสบอุบัติเหตุที่ใบหน้า จำต้องใช้ผ้าปิดใบหน้าเมื่อออกจากจวนอยู่เสมอแต่ความสงบสุขก็อยู่ได้ไม่นาน วันหนึ่ง เย่เฉิง รองแม่ทัพคนสนิทของเจิ้นกั๋วกงได้เข้าไปทูลรายงานกับฮ่องเต้ชิงหยางว่าจวนเจิ้นกั๋วกงต้องการก่อกบฏ ติดต่อสมคบคิดกับแคว้นศัตรูเย่เฉิงมอบหลักฐา







