ความกว้างขวางใหญ่โตของบ้านชยางกุล เปรียบเทียบได้เท่ากับตึกหรือคฤหาสน์ เนื่องจากเป็นอาคารปูนสีขาวสองชั้นและปูพื้นด้วยหินอ่อนสีงาช้างทุกตารางนิ้ว โดยฝั่งขวาของอาคารถูกต่อเติมขึ้นเป็นตึกสูงสามชั้นครึ่ง ซึ่งนายแทนไทเป็นผู้ออกแบบเองทั้งสิ้น ความหรูหราแปลกตาอันนำสมัยของตึกทรงแปดเหลี่ยมแห่งนี้เป็นที่เลื่องลือในหมู่สถาปนิก
แม้ว่าปิ่นแก้วหมั้นหมายกับแทนไทตั้งแต่ยังเป็นเด็กแดง ทว่าหล่อนก็ไม่เคยมานอนค้างอ้างแรมที่นี่เลยสักคืน เพียงแค่แวะมาเยี่ยมเยือนทำความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ตามธรรมเนียมแบบนานทีปีหน และการมาของหล่อนในครั้งนี้ ก็ไม่ใช่การมาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ หากเป็นการออกเรือนมาอยู่กับครอบครัวของฝ่ายชายในฐานะว่าที่ลูกสะใภ้
เครือญาติทุกคนในตระกูลชยางกุลรู้จักปิ่นแก้วเป็นอย่างดี และเหล่าบ่าวไพร่บริวารก็ปฏิบัติต่อหล่อนเสมือนเจ้านายคนหนึ่ง ซึ่งผู้ที่ยินดีปรีดากับการมาของปิ่นแก้วมากกว่าใคร ๆ เห็นจะเป็นคุณหญิงกรองทอง
“หนูปิ่นชอบห้องนอนที่แม่จัดเตรียมไว้ให้หรือเปล่า”
“ชอบมากค่ะ ขอบพระคุณคุณแม่ที่เอ็นดูปิ่น” หล่อนตอบอย่างอ่อนหวาน ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ด้วยกิริยาแฉล้มแช่มช้อยดูงดงามสมเป็นกุลสตรีทุกกระเบียด
“ห้องนั้นเป็นเพียงแค่ห้องพักชั่วคราว หลังจากแต่งงานแล้ว หนูปิ่นก็ต้องไปอยู่ร่วมห้องกับแทนไทบนตึกใหม่”
ตอนที่พูดดวงตาของคุณหญิงกรองทองมีประกายวาววาม ความหมายที่แอบแฝงนั้นชวนให้รู้สึกเขินอาย จนปิ่นแก้วต้องก้มหน้าหลบสายตา และแก้เก้อด้วยการเอ่ยถามถึงเรื่องอื่น
“พี่แทนไทเป็นอย่างไรบ้างคะ”
“แม่ว่าหนูปิ่นไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกับเจ้าตัวเองจะดีกว่า ประเดี๋ยวก็ถึงเวลาอาหารว่างช่วงบ่ายแล้ว”
“ปิ่นสามารถไปเจอพี่แทนไทได้แล้วหรือคะ”
ปิ่นแก้วรู้สึกประหลาดใจมากทีเดียว โดยปกติแทนไทจะไม่ยอมให้ใครเข้าพบ นอกจากคุณพระปรีชากับคุณหญิงกรองทอง เลขาคนสนิทซึ่งเป็นตัวแทนรับผิดชอบเรื่องงานและพ่อบ้านที่คอยดูแลรับใช้กันมาตั้งแต่นมนาน
“ใช่จ้ะ” คุณหญิงกรองทองยิ้มแก้มปริ
แล้วนับจากนั้นเป็นต้นมา ปิ่นแก้วก็มีหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารการกินทั้งสามมื้อหลัก รวมถึงอาหารว่างของแทนไทไปโดยปริยาย
บรรยากาศภายในตึกแปดเหลี่ยมค่อนข้างเงียบเชียบวังเวง ปิ่นแก้วไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับว่าที่สามี หล่อนเคยเห็นเขาแค่ในภาพถ่าย และเคยสนทนากับเขาผ่านทางจดหมายเท่านั้น
ทั้งที่เป็นการพบเจอกันครั้งแรกของหนุ่มสาว ทุกคนภายในบ้านกลับผลักไสให้หล่อนและเขาเริ่มต้นสานสัมพันธ์กันโดยลำพังสองต่อสอง ปิ่นแก้วรับถาดอาหารว่างมาจากหญิงรับใช้ ซึ่งรีบปลีกตัวออกไปทันทีที่เดินมาส่งหล่อนถึงหน้าห้องทำงานบนชั้นสองของตึก
ปิ่นแก้วยืนเคว้งคว้างโดดเดี่ยว จ้องมองประตูไม้สักด้วยใบหน้าซีดขาว จิตใจว้าวุ่น คิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นช่วงก่อนหน้าที่หล่อนจะเดินทางมายังบ้านชยางกุล ร่างกายของหล่อนได้แปดเปื้อนสัมผัสของผู้ชายอื่น หัวใจของหล่อนก็เป็นอื่นไปแล้ว หล่อนรู้สึกผิดต่อแทนไทเหลือเกิน
“ฉันจะสู้หน้าเขาได้อย่างไร” ปิ่นแก้วรำพึงรำพัน
ขณะที่หญิงสาวครุ่นคิดลังเล ในพริบตานั้นประตูห้องก็เปิดออกเอง
“เข้ามาสิ”
น้ำเสียงทุ้มกังวานที่กล่าวเชิญชวน ทำให้ปิ่นแก้วตกใจจนวิญญาณแทบจะปลิวออกจากร่าง หล่อนสูดหายใจลึก แล้วย่างก้าวเข้าไปในห้องนั้นด้วยอาการสำรวม
ขณะนั้นแทนไทเร้นกายอยู่ในมุมมืด หน้าต่างทุกบานม่านทุกผืนปิดสนิท มีเพียงแสงสว่างที่ส่องเข้ามาจากช่องประตูช่วยนำทาง ปิ่นแก้วมีประสาทสัมผัสอ่อนไหวเป็นพิเศษ เพียงแค่ชายหนุ่มขยับตัวเบา ๆ หล่อนก็รับรู้ได้ทันทีว่าเขายืนอยู่ตรงจุดไหน
ท่ามบรรยากาศสีเทาสลัว หล่อนสามารถมองเห็นว่าแทนไทสวมแว่นตาป้องกันแสงแดด และไว้ทรงผมยาวตรง เขาใส่ชุดลำลองสีดำตัดกับสีผิวขาวจัด รูปร่างสูงใหญ่เหมือนชาวตะวันตก ไหล่กว้างหลังหนาเอวสอบช่วงแขนช่วงขายาวสมส่วน ตลอดทั้งเรือนกายเปี่ยมล้นด้วยพลังอำนาจลึกลับ กลิ่นอายร้อนร้ายน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากตัวเขา ลดทอนความมั่นใจของคนอื่นได้อย่างชะงัด หล่อนยืนตัวแข็งทื่อมือเท้าเย็นเฉียบ เมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว
“วางของไว้ที่โต๊ะกลมสีขาวนั่น”
“คะ ? ค่ะ” ปิ่นแก้วลอบระบายลมหายใจเบา ๆ ความแปลกที่แปลกทางและแสงสลัว ส่งผลให้หล่อนเคลื่อนไหวอย่างไม่คล่องแคล่วนัก
แทนไทลอบมองหญิงสาวเงียบ ๆ ระหว่างที่หล่อนกำลังสาละวนอยู่กับการจัดโต๊ะอาหาร วันนี้ปิ่นแก้วสวมชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนเน้นช่วงเอวคอดกิ่วอันเป็นจุดเด่นบนเรื่องร่างอรชร หล่อนมิใช่ผู้หญิงมีจริตกิริยาตุ้งติ้งหรือปราดเปรียวว่องไว แต่ความสวยความหวานของหล่อนทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกชื่นบานอิ่มอกอิ่มใจ ดวงตากลมโตวาวใสเหมือนนางกวางกับริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อ ขับเน้นให้ใบหน้าเรียวเล็กของหล่อนมีเสน่ห์ชวนมอง ปิ่นแก้วจึงมักจะตกเป็นเป้าสายตาคนอื่นทุกครั้งที่ปรากฏตัวในแหล่งชุมชน ซึ่งส่งผลให้หล่อนกลายเป็นคนขี้อาย
“น้องปิ่น ไม่ต้องกลัว พี่ไม่ใช่แวมไพร์”
เขาเอ่ยสัพยอกหัวเราะในลำคอเบา ๆ เพื่อให้บรรยากาศระหว่างทั้งสองคลายความตึงเครียด การได้แลกเปลี่ยนความไว้วางใจเล็กน้อยให้กันและกัน ช่วยลดอาการขัดเขินของหญิงสาว
“เอ่อ พี่แทนไทเป็นอย่างไรบ้างคะ”
“เรื่องสุขภาพหากไม่เปรียบเทียบกับคนปกติ ก็ถือว่าดีขึ้นมาก แล้วน้องปิ่นล่ะ”
“สบายดีค่ะ คุณแม่... ปิ่นหมายถึงคุณแม่ของพี่แทนไท ต้องการให้ปิ่นเป็นคนดูแลเรื่องอาหารการกินของพี่ ปิ่นอยากรู้ว่าพี่ชอบกินอะไร หรือไม่ชอบอะไร”
“พี่กินได้ทุกอย่าง แล้วพี่ก็ชอบกินอาหารรสชาติเดียวกับน้องปิ่น” น้ำเสียงตอบราบเรียบ แต่ความหมายที่แอบแฝงในถ้อยคำ ลึกซึ้งซับซ้อน จนคนฟังไม่ทันเฉลียวใจ
“มื้อเย็นนี้ พี่แทนไทอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”
“ในกรณีพิเศษ น้องปิ่นต้องเป็นคนนำเสนอให้พี่”
สำเนียงคำพูดคุ้นหูที่ได้ยินจากปากชายหนุ่ม ทำให้ใบหน้าของปิ่นแก้วแข็งค้างไปชั่วครู่ หล่อนรีบปั้นยิ้ม พยายามกลบเกลื่อนความมีพิรุธ
“ถ้าอย่างนั้น ปิ่นทำต้มเลือดหมูกับสลัดผลไม้นะคะ”
“ครับ” เขาตอบตกลงอย่างไม่เรื่องมาก
ทั้งคู่พูดคุยกันอีกสองสามประโยค หญิงสาวก็เอ่ยขอตัว
แทนไทฝืนใจตนเองไม่ให้เหนี่ยวรั้งหล่อนไว้ สำหรับปิ่นแก้วนี่คือการเจอกันครั้งแรก ซึ่งไม่ใช่สำหรับเขา แทนไทเห็นปิ่นแก้วมาตั้งแต่แบเบาะ ในวันที่หล่อนลืมตาดูโลก คือวันที่เขากลายเป็นวิญญาณมีชีวิต เขามีลมหายใจแต่ไร้กายเนื้อ ดำรงอยู่เหมือนคนครึ่งผีที่รอวันฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ทว่าเขามีพลังจิตเข้มแข็งดุจโอปปาติกะ สามารถควบคุมวัตถุสิ่งของได้ดั่งใจ แต่ไม่อาจสัมผัสร่างกายมนุษย์โดยตรง นอกจากหญิงสาวซึ่งเป็นคู่ชีวิต
ผู้ชายในตระกูลชยางกุลทุกคนจะต้องประสบกับโรคคำสาปร้ายนี้ เมื่อเนื้อคู่ตุนาหงันของตนเองถือกำเนิด และการรักษาก็มีเพียงวิธีเดียว...
“ร่างกายของคุณหนูปิ่นแก้ว แปดเปื้อนกลิ่นของกระผมหมดแล้ว คุณหนูคิดว่าจะสามารถไปแต่งงานกับผู้ชายอื่นได้อีกหรือ สองเต้ากลม ๆ คู่นี้กระผมก็ดูดเลียแล้ว และตรงนี้ด้วย...”เขาขบเม้มติ่งหูของหล่อน ลมหายใจระอุเป่ารดลงบนผิวพรรณบอบบางอ่อนไหว พลางแทรกนิ้วเขี่ยคลึงศูนย์รวมความรู้สึกกลางกลีบอวบอูม“ทำไมคุณหนูปิ่นแก้ว ไม่ตอบกระผม”“คุณโจรกระทำฉันอยู่ฝ่ายเดียว”หล่อนพยายามฝืนร่างกายไม่ให้แอ่นเชิงกรานตอบสนองการปลุกเร้าแสนเร่าร้อน แต่ชีพจรตรงจุดซ่อนเร้นกลับเต้นตุบตุบอย่างควบคุมไม่ได้“คุณหนูจะปฏิเสธว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับกระผมเลยอย่างนั้นหรือ”“ฉันไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น”“จริงหรือ? แล้วทำไม ...ของคุณหนูฉ่ำแฉะขนาดนี้” คราวนี้ชายหนุ่มเหิมเกริมถึงขั้น ใช้องชาตล้อเล่นกับความรู้สึกของหล่อน เขาประคองปลายลึงค์ถูไถผ่ากลางร่องกลีบอวบอูม ขยับให้ความแข็งขึงบดขยี้ความอ่อนนุ่ม แล้วก็จ่อส่วนหัวบวมบานคาค้ำไว้ที่แอ่งเว้า“หยุดเถิด ได้โปรด...”ปิ่นแก้วแทบจะลืมหายใจ ร่า
ขึ้นสี่ค่ำเดือนเสี้ยวทอแสงริบหรี่รำไร ดวงดาวส่องประกายเจิดจรัสเป็นเจ้าฟ้า บรรยากาศปลอดโปร่งเย็นสบายกำลังดี ถ้าอยู่ที่เรือนไม้ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ปิ่นแก้วคงนอนหลับไปนานแล้วเพราะหล่อนเป็นคนหลับง่ายทว่าความรู้สึกแปลกถิ่นส่งผลให้หญิงสาวบังเกิดความคิดฟุ้งซ่าน ในหัวของหล่อนเต็มไปด้วยเรื่องราวของผู้ชายสองคนหรือสามคน ทั้งสามมีหลายสิ่งหลายอย่างคล้ายคลึงกัน รูปร่าง สีผิว เค้าโครงใบหน้า ทรงผมยาวเคลียไหล่ และกิริยาท่าทางการเคลื่อนไหว หากไม่ได้เจอกับผู้ชายเมื่อตอนกลางวันเสียก่อน ปิ่นแก้วอาจจะเพ้อฝันว่าแทนไทคือคุณโจร ซึ่งมันไม่สามารถเป็นไปได้“ถ้าคืนนี้เป็นวันพระ คงดี”หล่อนทอดถอนใจ พลางมองฝ่าความมืดออกไปนอกหน้าต่าง แว่วเสียงลมพัดใบไม้ดังมาเป็นระลอก ฟังคล้ายกับเสียงดนตรีขับกล่อม...เมื่อหญิงสาวเคลิบเคลิ้มเข้าสู่ห้วงนิทรา เงาดำทะมึนก็ค่อย ๆ ปรากฏเป็นรูปร่าง ที่นี่คืออาณาจักรของนายแทนไท ชยางกุล และเขามีพลังอำนาจแข็งแกร่งมากพอที่จะสัมผัสร่างกายของหล่อนโดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีแทรกซ้อนมิติฝันหรือรอคอยให้ถึงวันพระ!แท
ความกว้างขวางใหญ่โตของบ้านชยางกุล เปรียบเทียบได้เท่ากับตึกหรือคฤหาสน์ เนื่องจากเป็นอาคารปูนสีขาวสองชั้นและปูพื้นด้วยหินอ่อนสีงาช้างทุกตารางนิ้ว โดยฝั่งขวาของอาคารถูกต่อเติมขึ้นเป็นตึกสูงสามชั้นครึ่ง ซึ่งนายแทนไทเป็นผู้ออกแบบเองทั้งสิ้น ความหรูหราแปลกตาอันนำสมัยของตึกทรงแปดเหลี่ยมแห่งนี้เป็นที่เลื่องลือในหมู่สถาปนิกแม้ว่าปิ่นแก้วหมั้นหมายกับแทนไทตั้งแต่ยังเป็นเด็กแดง ทว่าหล่อนก็ไม่เคยมานอนค้างอ้างแรมที่นี่เลยสักคืน เพียงแค่แวะมาเยี่ยมเยือนทำความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ตามธรรมเนียมแบบนานทีปีหน และการมาของหล่อนในครั้งนี้ ก็ไม่ใช่การมาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ หากเป็นการออกเรือนมาอยู่กับครอบครัวของฝ่ายชายในฐานะว่าที่ลูกสะใภ้เครือญาติทุกคนในตระกูลชยางกุลรู้จักปิ่นแก้วเป็นอย่างดี และเหล่าบ่าวไพร่บริวารก็ปฏิบัติต่อหล่อนเสมือนเจ้านายคนหนึ่ง ซึ่งผู้ที่ยินดีปรีดากับการมาของปิ่นแก้วมากกว่าใคร ๆ เห็นจะเป็นคุณหญิงกรองทอง“หนูปิ่นชอบห้องนอนที่แม่จัดเตรียมไว้ให้หรือเปล่า”“ชอบมากค่ะ ขอบพระคุณคุณแม่ที่เอ็นดูปิ่น” หล่อนตอบอย่างอ่อนหวาน ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ด้วยกิริยาแฉล้มแช่มช้อยดูงดงามสมเป็นกุลสตรีทุกกระเบียด “
คุณพระช่วย หล่อนกำลังจะขาดใจตายแน่แล้ว...ปิ่นแก้วถ่างขาอ้าร่อง แอ่นรับก้านนิ้วแข็งแกร่งล่ำสันที่ชักเข้าชักออกในรูสาวแบบลืมอาย หล่อนแหงนหน้ากรีดร้องสุดเสียงเมื่อความรู้สึกรุ่มร้อนสุดแสนรัญจวนปะทุออกมาอย่างรุนแรง“อ๊ะ ! คุณโจร... อ๊า” หล่อนครวญครางเสียงกระเส่า เนื้อตัวสั่นระริกระหว่างที่ชายหนุ่มประกบริมฝีปากดูดดื่มน้ำผึ้งสวาท แก่นใจหญิงหดเกร็งและกระตุกรัดลิ้นร้อนเป็นห้วงถี่“ตอนนี้คุณหนูพร้อมจะเป็นเมียของกระผมแล้ว” น้ำเสียงเขาแหบพร่า ร่างสูงใหญ่เคลื่อนขึ้นมาทาบทับร่างอรชรเอาไว้ ไม่ให้หล่อนหลบหนี พลางเบียดสัดส่วนที่ผงาดแข็งชูชันถูไถความอ่อนนุ่มฉ่ำลื่นอย่างยั่วเย้าชั่วขณะนั้นปิ่นแก้วรู้ดีว่า มีเพียงสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวที่สามารถเติมเต็มความรู้สึกวูบโหวงทรมานภายในช่องท้อง แต่หล่อนไม่อาจละทิ้งความซื่อสัตย์ต่อคู่หมั้นคู่หมาย แม้จะต้องกล้ำกลืนความเจ็บช้ำทุกข์ตรมจากการผิดหวังในความรักครั้งนี้ไปจวบจนลมหายใจสุดท้าย“คุณโจร ปล่อยฉันไปเถิด ได้โปรด...” หล่อนปรือเปลือกตาที่หนักอึ้ง พยามยามเพ่งมองใบหน้าคมสันของชายหนุ่มในความมืดมิด “คุณหนูไม่ได้รักชอบกระผมอย่างนั้นหรือ”เขาหายใจแรงจนแผงอกหนากระเพื่อม
คำกล่าวนั้นสั่นสะเทือนหัวใจดวงน้อยของปิ่นแก้ว บัดนี้หล่อนมั่นใจแล้วว่า หล่อนได้ตกหลุมรักชายหนุ่มผู้นี้ รัก...ทั้งที่หล่อนประณามว่าเขาเป็นโจรปล้นสวาท“หากสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความฝัน...คงดี” หล่อนรำพึง“คุณหนูอยากเป็นเมียของกระผมหรือ”น้ำเสียงเขาบ่งบอกถึงอารมณ์ปลาบปลื้ม“ใช่ นี่คือคืนสุดท้ายของเราทั้งสอง มะรืนฉันต้องไปอยู่ที่บ้านชยางกุล เพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของนายแทนไท”“คุณหนูพูดราวกับ ไม่ได้รักว่าที่สามี”“ฉันจะรักชอบคนที่ไม่เคยพบปะพูดคุยกันเลยสักครั้งได้อย่างไร ถ้าหากเลือกได้ ฉันอยากให้คุณโจรเป็นเจ้าบ่าวของฉันมากกว่า”“ถ้าเช่นนั้น กระผมจะทำให้คุณหนูปิ่นแก้วสมปรารถนา”ชายหนุ่มก้มลงจูบริมฝีปากอวบอิ่มอย่างบรรจง รสชาติจุมพิตอ่อนโยนลึกซึ้งทำให้ปิ่นแก้วเคลิบเคลิ้มมึนเมา ครั้นหล่อนเผลอไผลเปิดทางให้เขาเพียงเล็กน้อย เขาก็ได้ใจ บดเบียดริมฝีปากแทรกลิ้นร้อนเข้ามาดูดดื่มความหอมหวานด้วยความหื่นกระหายแสนละโมบ กระนั้นหล่อนก็ยังพยายามจูบตอบเขาแบบไม่ประสีประสาอาการหวาดหวั่นขัดเขินกึ่งกล้ากึ่งกลัว กระตุ้นความฮึกเหิมของชายหนุ่ม สัมผัสรุกรานจากฝ่ามือหยาบใหญ่ที่เคลื่อนไหวไปทั่วเ
เมื่อรถยนต์คันหรูแล่นออกมาจากเรือนไม้สักหลังงาม ของนายพันแสงและนางรำไพได้สักพักใหญ่ คุณหญิงกรองทองก็เอ่ยถามบุตรชายว่า“แทนไท ลูกแน่ใจหรือว่าจะรักษาโรคร้ายได้สำเร็จก่อนคืนเข้าหอ”“ลูกเหลือเวลาอีกแค่หนึ่งเดือนเท่านั้นนะ” คุณพระปรีชาย้ำเตือน“ปิ่นแก้วไม่ใช่ผู้หญิงจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวอย่างคุณแม่ หล่อนไม่รู้ใจตัวเองว่าต้องการอะไรเลยด้วยซ้ำ” แทนไทพึมพำเหมือนกล่าวกับตนเอง “แม่เป็นห่วงเหลือเกินว่าหนูปิ่นแก้วจะเสียใจ ถ้าหากไม่มีการจัดงานแต่งงาน”“แต่ผมคิดว่า หล่อนอาจจะดีใจมากกว่า”น้ำเสียงบอกเล่านั้นไม่ได้บ่งชี้ความรู้สึกของคนพูด“ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง หากตกเป็นของผู้ชายคนไหน สุดท้ายก็รักผู้ชายคนนั้น แม่ไม่เห็นด้วยที่ลูกจะมานั่งทรมานตัวเองแบบนี้” คุณหญิงกรองทองทอดถอนใจถึงแม้แทนไทไม่ได้เปิดเผยความรักลึกซึ้งที่มีต่อปิ่นแก้วให้คนอื่นรับทราบ แต่คุณพระปรีชาและคุณหญิงกรองทองย่อมรับรู้ได้จากการกระทำของบุตรชาย แทนไทให้เกียรติปิ่นแก้วเสมอมา เมื่อเขารู้ว่าหลงรักคู่หมั้นคู่หมายซึ่งยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กตัวน้อย เขาก็ไม่เคยนอกกายนอกใจหล่อนเลยแม้สักครั้งเดียว ทั้งที่สามารถทำได้แทนไทยอมสูญเสียพลังชีวิตขอ