ความมืดมิดในห้องขังชั่วคราวถูกแทนที่ด้วยแสงไฟสลัวสีแดงจากโคมระย้าคริสตัลเมื่อบานประตูเหล็กเปิดออก เสียงเสียดสีของบานพับโลหะดังเอี๊ยดอ๊าดบาดแก้วหู พลันปรากฏร่างสูงใหญ่ของ หลงเฟย ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า ซูหลิง ใบหน้าคมคายของเขาฉาบด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ซูหลิงรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ แม้ว่าในห้องจะเย็นเฉียบอยู่แล้ว
"ตื่นแล้วหรือ...แม่หนูน้อยนักสืบ" เสียงทุ้มต่ำของหลงเฟยเอ่ยขึ้นอย่างเยาะเย้ย เขาก้าวเข้ามาใกล้ ร่างของซูหลิงถอยร่นไปติดผนังเย็นเฉียบ เธอพยายามรวบรวมสติและปั้นสีหน้าให้ดูแข็งกร้าวที่สุด
"คุณต้องการอะไร?" ซูหลิงถามเสียงห้าว พยายามซ่อนความกลัวที่กำลังบีบรัดหัวใจ เธอกัดฟันแน่นจนกรามเป็นสัน เธอรู้ว่าการแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเขาจะนำมาซึ่งหายนะ เพราะนั่นจะยิ่งทำให้เขาได้ใจและขยี้เธอให้จมดินได้ง่ายขึ้น
หลงเฟยหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะที่ฟังดูเหมือนการคำรามของสัตว์ร้ายจากส่วนลึกของป่าอันตราย
"สิ่งที่ฉันต้องการ... เธอจะรู้เองในไม่ช้า และรับรองว่ามันจะทำให้เธอจดจำไปชั่วชีวิต" เขาไม่รอให้ซูหลิงตอบกลับ
เขาสะบัดมือเล็กน้อย พลันลูกน้องสองคนก็ก้าวเข้ามาในห้อง แต่ละคนร่างใหญ่เท่าหมีป่า ดวงตาของพวกเขาไร้แวว ไร้ความปราณี ราวกับเครื่องจักรสังหาร
"พาเธอไปเตรียมตัว" หลงเฟยออกคำสั่งเสียงเรียบเฉย ราวกับกำลังพูดถึงสิ่งของไร้ชีวิตที่เขาสามารถจัดการได้ตามอำเภอใจ
ซูหลิงพยายามขัดขืนอย่างเต็มกำลัง เธอต่อยเข้าที่หน้าอกของลูกน้องคนหนึ่งอย่างแรงจนเกิดเสียงตุ้บ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ระคายผิวแม้แต่น้อย แขนเรียวถูกกระชากอย่างแรงจนแทบหลุดจากเบ้า เธอถูกลากออกไปจากห้องขังอย่างทุลักทุเล เพียงไม่นานก็ถูกผลักเข้าไปในห้องแต่งตัวที่หรูหราผิดกับสภาพก่อนหน้า ผนังประดับด้วยวอลล์เปเปอร์ลายดอกไม้สีทองอร่าม โต๊ะเครื่องแป้งไม้เนื้อดีแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงพร้อมเครื่องสำอางราคาแพงวางเรียงรายระรานตา แต่ความหรูหรานั้นกลับทำให้ซูหลิงรู้สึกขนลุกยิ่งกว่าเดิม เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่เมื่อคืนถูกถอดออกอย่างรวดเร็วโดยหญิงสาวสองคนที่ดูไร้อารมณ์ราวกับหุ่นยนต์ สัมผัสของมือเย็นเฉียบที่ปลดกระดุมชุดและถอดถอนเครื่องประดับออกจากตัวทำให้ซูหลิงรู้สึกราวกับถูกเปลื้องผ้าต่อหน้าสายตานับร้อย เธอรู้สึกไร้ค่า ไร้อำนาจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"พวกแกจะทำอะไร!" ซูหลิงตะโกน ดวงตาฉายแววคุกรุ่นด้วยความโกรธ
เธอรู้สึกเหมือนร่างกายตัวเองกำลังถูกรุกล้ำ แต่พวกเขากลับไม่ตอบ ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตนเองอย่างเคร่งครัด สัมผัสเย็นเฉียบของผ้าเนื้อดีถูกสวมลงบนร่างกายของเธอ มันคือ ชุดราตรีผ้าไหมสีครีมยาวกรอมเท้า เว้าหลังลึก เผยให้เห็นผิวขาวนวลผ่องราวหยกชั้นดีที่ตัดกับสีชุด ผมยาวสลวยสีดำขลับของเธอถูกปล่อยสยายและจัดแต่งให้ดูเป็นธรรมชาติ ปลายผมเป็นลอนอ่อนนุ่มดุจแพรไหมเคลียแผ่นหลัง ใบหน้าถูกแต่งแต้มอย่างมืออาชีพจนดูสวยสะพรั่งราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย ลิปสติกสีแดงก่ำช่วยขับให้ริมฝีปากอิ่มดูโดดเด่นยิ่งขึ้น
"คุณหลงเฟยสั่งให้เราเตรียมตัวคุณ" หนึ่งในหญิงสาวตอบเสียงเรียบเฉย ราวกับกำลังบอกสภาพอากาศยามเช้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
ซูหลิงสอดส่องสายตาไปทั่วห้อง และพบว่าห้องนี้ไม่มีทางออกอื่นนอกจากประตูที่เธอเข้ามา เธอรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ความหรูหรานี้มันน่าขนลุกเกินไป มันเป็นความหรูหราที่แฝงไว้ด้วยความไม่ชอบมาพากล
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ซูหลิงถูกนำตัวมายังห้องโถงกว้างใหญ่ที่ประดับประดาด้วยดอกกล้วยไม้สีขาวหายากนานาชนิด ทั้งฟาแลนนอปซิส ออนซิเดียม และแวนด้า กลิ่นหอมหวานอบอวลไปทั่วจนแทบสำลัก แสงไฟสีทองสว่างไสวเจิดจ้าจับตาจากโคมระย้าขนาดมหึมาที่ห้อยลงมาจากเพดานสูงลิบ พื้นที่ตรงกลางถูกจัดเตรียมเป็นเวทีเล็กๆ มีแท่นยืนโปร่งใสทำจากกระจกนิรภัยตั้งอยู่บนนั้น ด้านล่างคือเก้าอี้กำมะหยี่สีแดงเข้มจำนวนมากที่ถูกจัดเรียงเป็นแถวๆ รายล้อมด้วยผู้ชายชุดสูทดำนับร้อยคน ทุกคนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึมและมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมา กลิ่นบุหรี่ซิการ์ราคาแพงและแอลกอฮอล์ชั้นดีคละคลุ้งไปทั่วบรรยากาศที่ดูเคร่งขรึมและลึกลับ
ใจของซูหลิงหล่นวูบ เธอรู้สึกเหมือนถูกแช่แข็ง ผู้ชายเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดา พวกเขามีทั้งนักธุรกิจมืด นายทุนใหญ่ และบุคคลผู้ทรงอิทธิพลจากวงการใต้ดินที่เธอเคยเห็นเพียงแค่ในภาพถ่ายจากการสืบสวน สายตาที่พวกเขามองมามีทั้งความหิวกระหาย ความอยากรู้อยากเห็น และบางสายตาก็ดูเหมือนจะประเมินเธอเป็นเพียงสินค้าชิ้นหนึ่ง เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังเดินเข้าสู่รังของปีศาจ ที่ซึ่งมีแต่ความมืดดำและความโลภ
และแล้วสายตาของเธอก็หยุดอยู่ที่ชายคนหนึ่ง... หลงเฟย เขานั่งอยู่แถวหน้าสุด ตรงกลางที่สุด สายตาคมกริบของเขายังคงจ้องมองเธอไม่วางตา รอยยิ้มร้ายกาจผุดขึ้นที่มุมปากของเขา ราวกับเขากำลังสนุกกับความตื่นตระหนกและความอับอายของเธออย่างที่สุด เขาสบายๆ ราวกับกำลังชมการแสดงที่น่าสนใจ
ไอ้สารเลว! แกต้องการอะไรกันแน่!
ความโกรธแค้นพุ่งสูงขึ้น เธอถูกนำมาประมูลราวกับสิ่งของชิ้นหนึ่ง ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความอับอายและโทสะ ร่างกายของเธอเย็นเฉียบไปหมดจนรู้สึกชาดิก แม้พยายามจะสะกดกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้าไว้สุดชีวิต เธอจ้องมองไปที่หลงเฟยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง เธอกัดฟันแน่นจนเจ็บกราม
เสียงประกาศจากพิธีกรดังขึ้นจากลำโพงที่ซ่อนอยู่ "ขอต้อนรับทุกท่านสู่ค่ำคืนพิเศษของเราในวันนี้... คืนที่ท่านจะได้เป็นเจ้าของ 'ของล้ำค่า' เพียงหนึ่งเดียว"
หัวใจของซูหลิงเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งราวกับจะหลุดออกมาจากอก เธอถูกดันขึ้นไปบนแท่นยืนโปร่งใสกลางเวที แสงไฟเฉพาะจุดส่องมาที่เธอ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนแท่นบูชา ความรู้สึกเหมือนถูกเปลื้องผ้าต่อหน้าสายตานับร้อยเข้าครอบงำ เธอพยายามจะก้าวลงมา แต่ข้อเท้าของเธอกลับถูกล็อกไว้ด้วยโซ่ที่มองไม่เห็น มันเป็นโซ่ที่ทำจากจิตวิทยาแห่งอำนาจที่มองไม่เห็น แรงกดดันจากสายตานับร้อยที่จ้องมองมาทำให้เธอก้าวขาไม่ออก
"และนี่คือ 'เพชรน้ำหนึ่ง' ของเราในค่ำคืนนี้... ซูหลิง หญิงสาวผู้เลอโฉม ความฉลาด และความบริสุทธิ์ของเธอ... จะถูกประมูลเพื่อเป็นของขวัญสำหรับผู้ที่ชนะการประมูลเท่านั้น!" พิธีกรกล่าวเสียงดังฟังชัด
ท่ามกลางความเงียบงันของผู้ร่วมงาน ซูหลิงรู้สึกราวกับถูกสายตานับร้อยคู่เปลื้องผ้าออกไปจนหมดเปลือก เธอพยายามหาคำพูดตอบโต้ พยายามดิ้นรน แต่ร่างกายของเธอกลับแข็งทื่อราวกับถูกสาป ความรู้สึกเหมือนถูกตีตราทำให้เธออยากกรีดร้องออกมา
นี่มันอะไรกัน... ประมูลร่างกายงั้นเหรอ! ความโกรธแค้นพุ่งสูงขึ้น
เธอถูกนำมาประมูลราวกับสิ่งของชิ้นหนึ่ง ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความอับอายและโทสะ เธอจ้องมองไปที่หลงเฟยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาเพียงยิ้มตอบกลับมาอย่างเย็นชา สายตานั้นเต็มไปด้วยความพึงพอใจที่เห็นเธอตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
"ราคาเริ่มต้นอยู่ที่... สิบล้านหยวน!"
เสียงฮือฮาดังขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะมีเสียงกดปุ่มประมูลดังรัวพร้อมกับแสงไฟสีแดงที่กะพริบบนหน้าจอแสดงผล ทุกคนต่างพากันยกป้ายเสนอราคาแข่งกันอย่างดุเดือด แข่งกันเป็นเจ้าของ "สินค้า" ที่ล้ำค่าตรงหน้า หลงเฟยยังคงนั่งนิ่ง ดวงตาจับจ้องที่ซูหลิงเพียงคนเดียว ราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจใครอื่นนอกจากเธอ เขายกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อบอกลูกน้องให้เตรียมการบางอย่าง ไม่ใช่เพราะความต้องการที่จะชนะ แต่เป็นเพราะเขามั่นใจว่าเธอจะต้องเป็นของเขาอยู่แล้ว ไม่ว่าราคาจะพุ่งไปถึงไหนก็ตาม เขาจะไม่มีวันปล่อยให้ใครหน้าไหนได้ครอบครองเธอไป
ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลักร้อยล้านหยวนในเวลาไม่กี่นาที เธอได้ยินเสียงตัวเลขที่ถูกประกาศจากพิธีกร แต่สมองของเธอประมวลผลอะไรไม่ได้อีกแล้ว ทุกอย่างพร่ามัวไปหมด สิ่งเดียวที่เธอเห็นคือใบหน้าของหลงเฟยที่ยังคงมองมาด้วยสายตาที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ นอกจากความเหนือกว่า เขาคือจ้าวแห่งเกมนี้ และเธอคือเบี้ยในกระดานของเขา
ในที่สุด เสียงพิธีกรก็ประกาศขึ้นอย่างชัดเจนและก้องกังวาน "สามร้อยล้านดอลลาร์! และผู้ชนะการประมูลในค่ำคืนนี้คือ... คุณหลงเฟย!"
สิ้นเสียงประกาศ เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วห้องโถงผสมกับเสียงกระซิบกระซาบของผู้คน แต่ในหูของซูหลิงกลับอื้ออึงไปหมด เธอรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน เธอถูกแช่แข็งในตำแหน่งเดิมบนแท่นยืน จ้องมองไปยังชายที่เพิ่งกลายเป็น "เจ้าของ" ของเธอ ความเจ็บปวดแล่นแปลบไปทั่วร่าง แต่ความมุ่งมั่นที่จะแก้แค้นกลับยิ่งลุกโชนรุนแรงขึ้น
หลงเฟยลุกขึ้นยืนช้าๆ เขาก้าวเดินตรงมาหาซูหลิงด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก ดวงตาคมกริบของเขาทอประกายแห่งชัยชนะและความต้องการครอบครองอย่างชัดเจน เขาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ยื่นมือออกไปเชยคางของซูหลิงขึ้นอย่างอ่อนโยน สัมผัสเย็นเฉียบของปลายนิ้วเขาสร้างความหวาดหวั่นให้เธอจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว แม้การสัมผัสของเขาจะดูนุ่มนวล แต่ซูหลิงกลับรู้สึกเหมือนถูกกรงเล็บเหล็กบีบรัด
"ยินดีด้วย... ฉันเป็นเจ้าของคนใหม่ของเธอ" หลงเฟยกระซิบเสียงต่ำแผ่วข้างหูเธอ
เสียงนั้นหวานเย้ายวนเหมือนน้ำผึ้งอาบยาพิษ แต่เต็มไปด้วยอำนาจและคำสัญญาอันน่าพรั่นพรึง ซูหลิงรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวของเขาที่รดซูหลิงอยู่ข้างแก้ม เธอพยายามบิดตัวหนี แต่ก็ถูกพันธนาการไว้ด้วยสายตาและสัมผัสของเขา
"แก... แกต้องการอะไรจากฉันกันแน่!" ซูหลิงถามเสียงกระซิบ ความโกรธแค้นประดังเข้ามาจนยากจะควบคุม เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงลงทุนมากมายขนาดนี้ เพียงเพื่อครอบครองเธอ
"คุณมันบ้า! ฉันไม่มีอะไรให้คุณนอกจากความแค้น!"
หลงเฟยยิ้มร้ายกาจ เขาโน้มตัวลงมาใกล้จนปลายจมูกของเขาเกือบจะแตะแก้มเธอ
"สิ่งที่ฉันต้องการ... คือทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ ซูหลิง ทั้งร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของเธอ" เขาเน้นย้ำชื่อเธออย่างชัดถ้อยชัดคำ "และจำไว้... ตอนนี้เธอเป็น ของฉัน แล้วอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าเธอจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม"
วินาทีนั้น ซูหลิงรู้สึกเหมือนถูกกระชากลงสู่ห้วงเหวแห่งความมืดมิด เธอถูกกลืนกินโดยอำนาจของเขาอย่างสมบูรณ์ ความรู้สึกสิ้นหวังถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง เธอรู้ดีว่าจากนี้ไป ชีวิตของเธอจะไม่ได้เป็นของเธออีกต่อไป เธอต้องยอมเป็น "ของเขา" เพื่อความอยู่รอด เพื่อรอคอยโอกาสที่จะแก้แค้น และเพื่อช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนมาให้ได้ จิตวิญญาณนักสู้ของเธอไม่เคยดับมอดลง แม้จะเจ็บปวดและอับอายเพียงใด เธอก็จะไม่ยอมแพ้
ซูหลิง รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงลึกของมหาสมุทรที่มืดมิด ไร้ทางกลับขึ้นสู่ผิวน้ำ สายตาของ หลงเฟย ที่จ้องมองมาเมื่อครู่ยังคงตรึงติดอยู่ในความทรงจำ มันเป็นแววตาที่ทั้งน่ากลัวและน่าเย้ายวนใจไปพร้อมกัน คำพูดของเขาที่ว่า "คืนนี้เธอต้องใส่ชุดที่ฉันเลือกไว้ให้" ยังคงก้องอยู่ในหูของเธอราวกับคำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้เธอใช้ความคิดอย่างหนักในขณะที่เดินไปยังห้องแต่งตัวอย่างเชื่องช้า ซูหลิงรู้ดีว่าเธอไม่สามารถปฏิเสธความต้องการของหลงเฟยได้ แต่ลึกๆ แล้วเธอก็ไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ เธอจึงเลือกที่จะเปลี่ยนชุดด้วยตัวเองเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้ถูกบังคับให้ทำอะไรตามที่เขาต้องการทั้งหมด เธอก้าวเข้าไปในห้องแต่งตัวอย่างเงียบเชียบและใช้เวลาในการพิจารณาเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ภายในตู้ในตู้เสื้อผ้ามีชุดราตรีมากมายหลายแบบ ทั้งชุดที่เรียบร้อยและชุดที่เซ็กซี่เกินกว่าที่เธอจะกล้าใส่ เธอจ้องมองไปที่ชุดเดรสที่หลงเฟยเลือกไว้ให้ก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่ชุดอื่นเพื่อค้นหาชุดที่เหมาะสมกว่าสุดท้าย เธอก็พบชุดที่ถูกใจ เป็นชุดเดรสผ้าไหมสีชมพูอ่อนที่ดูเรียบง่ายแต่กลับให้ความรู้สึกหรูหรา ซูหลิงเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
รุ่งเช้าของอีกวัน ซูหลิงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความอ่อนล้าทั้งทางกายและใจ แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ้าม่านเข้ามาเพียงเล็กน้อย ไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศในห้องสดใสขึ้นเลยแม้แต่น้อย ร่างกายของเธอยังคงระบมจากค่ำคืนที่ผ่านมา รอยจูบและรอยแดงช้ำปรากฏอยู่ทั่วผิวเนื้อขาวเนียนราวกับหลักฐานการถูกครอบครองที่ไม่อาจลบเลือนได้หลงเฟยจากไปแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขามักจะหายตัวไปอย่างเงียบเชียบเสมอ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นกายและรอยประทับที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำและบนร่างกายของเธอ แม้จะรู้สึกขยะแขยงตัวเองที่อ่อนไหวต่อสัมผัสของเขา แต่ลึกๆ แล้ว ซูหลิงก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างออกไปก่อตัวขึ้นในใจ มันทั้งน่ากลัวและน่าสับสนหลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย ซูหลิงเดินไปที่ห้องครัว อาหารเช้าถูกจัดเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพเหมือนเช่นเคย เธอพยายามฝืนกินเข้าไปเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังชีวิต สมองของเธอสั่งการให้คิดหาทางออกตลอดเวลา เธอไม่อาจปล่อยให้ตัวเองจมปลักอยู่ในความสิ้นหวังได้นานกว่านี้ ความแค้นคือเชื้อเพลิงเดียวที่ทำให้เธอยังคงหายใจอยู่ในเวลาเดียวกัน ห่างออกไปไม่กี่ไมล์ ณ อาคารสำนักงานใจกลางเมือง หลงเฟยกำลังนั่งอ
รุ่งเช้ามาเยือนพร้อมกับความปวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กายของ ซูหลิง แสงแดดอ่อน ๆ เล็ดรอดผ้าม่านเข้ามาเพียงเล็กน้อย ทำให้ห้องนอนยังคงอยู่ในบรรยากาศสลัว ๆ ซูหลิงขยับตัวช้า ๆ ความเจ็บแปลบแล่นไปทั่วร่างกาย บ่งบอกถึงค่ำคืนอันยาวนานที่ผ่านมา เธอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันเป็นห้วงเวลาที่ร่างกายของเธอถูกครอบครองอย่างสมบูรณ์เธอหันมองไปยังที่ว่างข้างกาย หลงเฟย หายไปแล้ว ไม่มีร่องรอยของการมีอยู่ของเขา ยกเว้นความรู้สึกราวกับมีไฟแผดเผาอยู่ในกายของเธอ และรอยแดงช้ำจาง ๆ ตามผิวเนื้อที่บอบบาง ความรู้สึกโล่งใจเพียงชั่วครู่ก็ถูกแทนที่ด้วยความอ้างว้างและเคว้งคว้างอย่างประหลาด เธอเกลียดที่ร่างกายของตัวเองตอบสนองต่อเขา แต่ลึก ๆ แล้ว เธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสัมผัสของเขา... เร้าใจอย่างที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ซูหลิงลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก เธอเดินโซซัดโซเซไปยังห้องน้ำขนาดใหญ่ สายตาจับจ้องไปที่ภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ ดวงตาคู่สวยยังคงฉายแวววาวของความดื้อรั้น แต่รอบดวงตานั้นคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากอิ่มบวมเจ่อจากการจูบอย่างเร่าร้อนเมื่อคืน รอยแดงช้ำบนผิวขาวเนียนคือหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้ถึ
แสงจันทร์สีเงินนวลทอดผ่านผ้าม่านโปร่งเข้ามาในห้องนอนกว้างขวางของเพนท์เฮาส์ยามวิกาล บรรยากาศเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจของ ซูหลิง ที่ยังคงสะท้อนก้องอยู่ในความว่างเปล่า เธอพลิกตัวไปมาบนเตียงขนาดคิงไซส์ พยายามข่มตาหลับแต่ก็ไร้ผล ภาพใบหน้าของ หลงเฟย วนเวียนอยู่ในหัว ดวงตาคมกริบที่เต็มไปด้วยอำนาจและรอยยิ้มเย้ยหยันยังคงตามหลอกหลอนกว่าสองวันแล้วที่เธอถูกกักขังอยู่ในกรงทองแห่งนี้ ทุกนาทีคือความทรมานทางจิตใจ เธอรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องตลอดเวลา แม้จะไม่มีใครอยู่ในห้อง แต่ความรู้สึกไร้อิสรภาพนั้นหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก อาหารที่จัดเตรียมอย่างดีถูกแตะต้องเพียงเล็กน้อย เธอนอนไม่หลับอย่างรุนแรง ดวงตาคล้ำลง และผิวพรรณที่เคยสดใสก็ดูซีดเซียวลงไปบ้าง แต่กระนั้นความสวยก็ยังไม่จืดจาง ความมุ่งมั่นในการแก้แค้นยังคงอยู่ แต่ร่างกายของเธอกำลังส่งสัญญาณประท้วงถึงความอ่อนล้าเสียงคลิกเบาๆ ที่ประตูห้องนอนทำให้ซูหลิงสะดุ้งสุดตัว เธอหันขวับไปมอง ประตูไม้เนื้อดีเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นเงาร่างสูงใหญ่ของหลงเฟยในกรอบประตู แสงไฟจากโถงทางเดินสาดเข้ามาจากด้านหลัง ทำให้ใบหน้าของเขาดูมืดมิดและน่าเกรงขามยิ่งขึ้นไปอีก เขาก้าว
หลังจากค่ำคืนที่แสนเลวร้ายในงานประมูล ซูหลิง ถูกพาตัวมายังเพนท์เฮาส์สุดหรูใจกลางมหานคร สิ่งปลูกสร้างระฟ้าที่ทิ่มแทงท้องฟ้าเบื้องบนราวกับจะเสียดทะลุเมฆหมอก ตัวตึกสูงเสียดฟ้าถูกตกแต่งด้วยกระจกสีดำทมิฬสะท้อนแสงไฟระยิบระยับของเมืองยามราตรี มันเป็นเพนท์เฮาส์ที่กว้างขวางโออ่าจนน่าตกใจ ทุกตารางนิ้วถูกประดับประดาด้วยงานศิลปะล้ำค่า ของตกแต่งราคาแพงระยับ และเฟอร์นิเจอร์สั่งทำพิเศษจากต่างประเทศ พื้นหินอ่อนมันวาวสะท้อนเงาของโคมไฟคริสตัลระยิบระยับ ฝาผนังประดับด้วยภาพวาดของจิตรกรชื่อดังระดับโลก หน้าต่างบานใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดานเผยให้เห็นทิวทัศน์ของเมืองทั้งเมืองที่สว่างไสวราวกับดวงดาวบนผืนผ้ากำมะหยี่สีดำแต่ความงดงามเหล่านี้กลับไม่สามารถบดบังความรู้สึกอึดอัดและโดดเดี่ยวที่กัดกินหัวใจซูหลิงได้เลย นี่ไม่ใช่บ้าน แต่มันคือกรงทองที่งดงามที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็น เธอถูกกักขังอยู่ในนั้นโดยไร้อิสรภาพใดๆ ซูหลิงไม่เห็นหน้าของ หลงเฟย อีกเลยหลังจากที่เขาประมูลเธอได้เมื่อคืน เขาสั่งให้คนของเขาพาเธอมาที่นี่ และทิ้งเธอไว้เพียงลำพัง เหมือนเธอเป็นเพียงสมบัติชิ้นใหม่ที่เขาสามารถโยนทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้ทันทีที่เข้ามาในเพ
ความมืดมิดในห้องขังชั่วคราวถูกแทนที่ด้วยแสงไฟสลัวสีแดงจากโคมระย้าคริสตัลเมื่อบานประตูเหล็กเปิดออก เสียงเสียดสีของบานพับโลหะดังเอี๊ยดอ๊าดบาดแก้วหู พลันปรากฏร่างสูงใหญ่ของ หลงเฟย ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า ซูหลิง ใบหน้าคมคายของเขาฉาบด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ซูหลิงรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ แม้ว่าในห้องจะเย็นเฉียบอยู่แล้ว"ตื่นแล้วหรือ...แม่หนูน้อยนักสืบ" เสียงทุ้มต่ำของหลงเฟยเอ่ยขึ้นอย่างเยาะเย้ย เขาก้าวเข้ามาใกล้ ร่างของซูหลิงถอยร่นไปติดผนังเย็นเฉียบ เธอพยายามรวบรวมสติและปั้นสีหน้าให้ดูแข็งกร้าวที่สุด"คุณต้องการอะไร?" ซูหลิงถามเสียงห้าว พยายามซ่อนความกลัวที่กำลังบีบรัดหัวใจ เธอกัดฟันแน่นจนกรามเป็นสัน เธอรู้ว่าการแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเขาจะนำมาซึ่งหายนะ เพราะนั่นจะยิ่งทำให้เขาได้ใจและขยี้เธอให้จมดินได้ง่ายขึ้นหลงเฟยหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะที่ฟังดูเหมือนการคำรามของสัตว์ร้ายจากส่วนลึกของป่าอันตราย"สิ่งที่ฉันต้องการ... เธอจะรู้เองในไม่ช้า และรับรองว่ามันจะทำให้เธอจดจำไปชั่วชีวิต" เขาไม่รอให้ซูหลิงตอบกลับเขาสะบัดมือเล็กน้อย พลันลูกน้องสองคนก็ก้าวเข้ามาในห้อง แต่ละคนร่างใหญ่เท่าหมีป่า ดว