มาถึงเจินเจินก็รีบหยิบหวีมาสางผมให้เจ้านายของตนอย่างเคยชิน พลางเล่าเรื่องที่เพิ่งได้ยินมาไปด้วย "พระชายาเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่า ตระกูลกั่วเหมือนจะมีเรื่องมงคล ชาวบ้านต่างลือว่าคุณชายรองกั่วจะแต่งงานกับบุตรสาวของเจ้าเมืองลั่ว เห็นว่าพรุ่งนี้ก็จะเดินทางไปแล้ว ดูท่าคงเป็นการให้บุรุษแต่งเข้าบ้านสตรี เพราะฝั่งนั้นมีบุตรสาวเพียงคนเดียวไร้ผู้สืบทอดอื่นอีก แต่คุณชายรองกั่วเพิ่งจะมาหา..." เจินเจินไม่กล้าพูดจนครบประโยค เพราะหากเรื่องนี้ถึงหูท่านอ๋อง อีกฝ่ายก็คงจะเอาเรื่องนี้มาเล่นงานพระชายาอีก คงถูกกล่าวหาว่านอกใจจนถึงขั้นหย่าเลยก็เป็นได้ แม้ก่อนหน้านี้เจินเจินจะทำงานรับใช้ท่านอ๋องมานาน ควรเข้าข้างอีกฝ่าย แต่ใจนางไม่คิดแบบนั้น ฝืนทนตีกับตัวเองอยู่นาน สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็น ต่างเอนเอียงไปทางคนที่เพิ่งเจอได้ไม่นานมากกว่า"กลัวอันใดขนาดนั้นกัน แน่นอนว่าท่านอ๋องของเจ้ารู้อยู่แล้ว" คราแรกเจียงเยี่ยนฟางยังคิดว่าเป็นเจินเจินที่คาบข่าวเรื่องวันนั้นไปบอกเซียวลี่หยาง แต่ดูท่าแล้วจะไม่ใช่"รู้อยู่แล้ว?" เจินเจินรีบปิดปากตัวเองเพราะเสียงดังเกินไป เวลานี้พวกนางย้ายมาอยู่ใกล้ท่านอ๋องแล้ว มิใช่เรือนไม้ที่
เซียวลี่หยางกัดฟันแน่น สัมผัสมือของเจียงเยี่ยนฟางที่ถูกเขาใช้งานมาอย่างหนักกลับยังคงนุ่มนวลนัก ทำให้ใจเขาคิดเป็นอื่น เวลานี้จึงเปลี่ยนเป็นฝ่ายจับข้อมือนางไว้แทน แล้วดึงนางเข้ามาหา คนที่ไม่ทันระวังและตั้งใจหยอกล้อผู้อื่นก็เซเข้าหาจนใบหน้าเกือบจะชนกัน สัมผัสของผ้าโปร่งบางที่นางสวมอยู่พลันถูกแรงลมเมื่อครู่พัดจนหยอกเย้ากับปลายจมูกของเขา พาให้รู้สึกคันยุบยิบแปลก ๆ ไม่คุ้นชิน "หึ หรือเจ้าตัดใจจากกั่วหลีหมิ่นแล้ว?""..." เจียงเยี่ยนฟางชะงักไปในตอนแรก คิดจะดึงมือคืน แต่คนที่เหมือนจะไม่มีเรี่ยวแรงในตอนแรกกลับสามารถรั้งนางที่เป็นสตรีแรงเยอะเอาไว้ได้ แถมท่าทางในตอนนี้ก็ทำให้รู้สึกว่าตนช่างได้ไม่คุ้มเสียกับสิ่งที่ตนต้องการจะทำเลยสักนิด "ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว หม่อมฉันกับพี่หลีหมิ่นเป็นเพียงสหายในวัยเด็ก...""เจียงเยี่ยนฟาง เจ้าคิดจะตบตาผู้ใดกัน" มือใหญ่อีกข้างยกขึ้นบีบให้ใบหน้าของนางหันมามองเขา ดวงตาทั้งสองจึงสบประสานกัน ในแววตาคู่สวยที่ไม่เข้ากับใบหน้าอัปลักษณ์ของนางกลับไม่มีเยื่อใยของความรักแฝงอยู่ ดูว่างเปล่าไร้ซึ่งความรู้สึก ถึงแม้ในดวงตาคู่นั้นจะมีเงาสะท้อนของเขาอยู่ภายใน แต่ราวกับนางไม่ใช่คน
บทที่ 12เล่นบทถูกกลั่นแกล้งโดยไม่รู้ตัววันนี้พอกลับมาถึงจวนแล้ว เจียงเยี่ยนฟางก็ไม่ถูกเรียกไปดูแลท่านอ๋องพิการผู้นั้นอีก นางจึงนั่งดื่มชาอย่างสบายใจอยู่ในสวนด้านหลังของเรือน ทอดตามองใบไม้ที่ยังคงอยู่เต็มต้น ทอดตามองพื้นที่โล่งกว้างตรงหน้าว่าควรวางที่ตากสมุนไพรของนางไว้ตรงไหน ครั้นคิดไปแล้วว่าตนเองเคยมีช่วงเวลาที่ได้สงบจิตสงบใจขนาดนี้บ้างหรือไม่อยู่นั้น คำตอบก็มาเยือนในไม่ช้า"พระชายาเพคะ!" เป็นเจินเจินที่คาบข่าวบางอย่างมาบอกด้วยท่าทางตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด "เรือนของพระชายากู่เกิดเรื่องแล้วเพคะ เห็นว่าท่านอ๋องทรงพิโรธหนักมาก เรื่องที่ท่านอ๋องมีรับสั่งให้พระชายากู่หาชุดให้พระชายาใส่ไปวังหลวงเมื่อเช้า แต่พระชายากู่กลับมอบชุดเก่าที่เปรอะเปื้อนให้พระชายาแทน แถมยังเรื่องสินเดิมของพระชายาที่หายไปอีก""..." เจียงเยี่ยนฟางเท้าคางอยู่ท่าเดิม ดวงตาก็กะพริบเชื่องช้า ราวกับไม่ได้เห็นว่าเจินเจินกำลังอยู่ข้างกายนางเจินเจินเห็นพระชายาไม่ได้ถามต่อก็ลังเล แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหวเล่าต่อว่า "เห็นว่าสั่งกักบริเวณพระชายากู่ แถมยังยึดของในคลังถึงสามในสิบส่วนด้วยเพคะ!" เจินเจินตอนแรกคิดจะมาเล่าเรื่องที่คนในจ
"..." เจียงเยี่ยนฟางกลับไม่เข้าใจ นางหันไปมองเซียวลี่หยางที่นั่งอยู่ กลับพบว่าอีกฝ่ายไม่ยอมมองมาที่ตนแม้แต่น้อยไม่นานจากนั้น นางก็ถูกคนของฮ่องเต้พาตัวไปให้หมอหลวงตรวจดูอาการระหว่างที่เดินไป ดวงตาของเจียงเยี่ยนฟางก็เอาแต่มองพื้นตลอดทาง ในระยะที่นางมองเห็น ก็มีเพียงชายอาภรณ์ของคนด้านหน้าซึ่งดูเหมือนจะเป็นองครักษ์มากกว่าขันทีกำลังขยับไหวไปมาเท่านั้น แต่กลับทำให้นางไม่อาจละสายตาไปได้เลย'คนของเซียวลี่หยาง?' คำนี้ ๆ ก็ปรากฏขึ้นในหัวภายหลังที่สองพี่น้องคุยกันจนฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิงต้องกลับไปว่าราชการแล้ว เจียงเยี่ยนฟางก็ได้เวลาเลิกปั้นหน้าเสียทีบนรถม้าที่กำลังเดินทางกลับไปยังจวน นางก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นก่อน"ของสิ่งนั้นข้าทำให้ท่าน เหตุใดถึงมอบให้ฝ่าบาท" หาได้ยากที่น้ำเสียงของเจียงเยี่ยนฟางจะแฝงความไม่พอใจไว้เล็กน้อยเช่นนี้"ตั้งแต่เด็กเขาเป็นคนที่อยู่ข้างข้ามาตลอด แต่โตมาไม่ว่าข้ามีสิ่งใดก็มักถูกแย่งไปเสมอ ขัดเขาไปก็เปล่าประโยชน์" แม้วันนี้จะได้เห็นการกระทำของนางแล้ว แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อทั้งหมดว่า สุดท้ายแล้วนางเป็นคนของใคร เซียวลี่หยางจึงคิดลองเชิงนาง เปิดเผยเรื่องที่มีเพียงเขาเท่านั้
ทุกคนต่างรีบก้มตัวลงกับพื้นทำความเคารพฮ่องเต้ แต่เจียงเยี่ยนฟางไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น นางเพียงแค่ยืนทำความเคารพอีกฝ่ายก็พอ เพราะมียศเช่อฝูจิ้นของชินอ๋องติดกายนางกำนัลของเต๋อเฟยรีบรายงานเหตุการณ์ออกไป ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้คนพาตัวเต๋อเฟยไปรอหมอในตำหนักของตนเอง เรื่องราววุ่นวายจึงจบลงในไม่ช้าเวลานี้เหล่าขบวนที่ตามเสด็จฮ่องเต้มาก็ถอยร่นไปรออยู่ห่างจากตรงที่เจียงเยี่ยนฟางยืนอยู่พอสมควร ในระหว่างนั้นเจียงเยี่ยนฟางกลับรู้สึกว่าฮ่องเต้ทอดสายตามามองนางอยู่สองสามครั้ง จนนางนึกอยากยกมือขึ้นมาลูบคลำใบหน้าตนเองดูว่า พิษจากถั่วที่นางแพ้หายดีแล้วหรือไร เพราะเมื่อเช้านางก็มั่นใจว่าตัวเองกินถั่วเข้าไปไม่น้อยเลย"น้องสี่เจ้าสบายดีหรือไม่" เซียวมู่หยางเอ่ยถามน้องชายของตน"ทูลฝ่าบาท กระหม่อมสบายดีพ่ะย่ะค่ะ""เกรงใจกันเกินไปแล้ว หรืออยู่ต่อหน้าชายาตนเองเลยต้องทำตัวห่างเหินกับข้ากัน" ครั้นเอ่ยจบเขาก็หัวเราะขบขัน ด้วยใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับเซียวลี่หยางก็นับว่าน่ามองมากนัก"พี่สอง..." เซียวลี่หยางยกยิ้มบางเบาเอ่ยเรียกเขาอีกรอบแทน"แล้วเจ้าเล่า ได้ข่าวว่าที่ผ่านมาไม่สบาย จึงไม่สามารถมาเข้าเฝ้าข้าได้" ครา
"ท่านอ๋องคิดมากไปแล้ว ซิ่นซิ่นเพียงแค่มาเด็ดดอกไม้ไปตากแห้งจะทำชา แต่ดอกไม้ที่ว่า ในราชวังแห่งนี้ปลูกไว้แค่ในตำหนักของไทเฮาเท่านั้นก่อนหน้านี้ซิ่นซิ่นก็ได้ทรงขออนุญาตจากไทเฮาไปแล้ว ครั้นถึงเวลาที่ดอกผลิบานจึงเดินทางมาพอดี ไม่คิดว่าท่านอ๋องจะประทับอยู่ที่นี่ด้วย" อี๋เฟยซิ่นเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของผู้ที่นั่งอยู่ นางมองเขาด้วยสายตาหวานหยดย้อย กาลก่อนชอบเขามากเพียงไร ยามนี้ก็ยังคงมิเสื่อมคลาย เสียแต่ว่าต่างคนต่างเส้นทางไม่อาจบรรจบ วาสนาล้วนแคล้วคลาดกันหากแต่ว่าท่านอ๋องผู้นี้นั้น... ต่อให้พิการแล้วก็เถอะ รูปโฉมที่งดงามองอาจกลับไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลย และยิ่งอายุเพิ่มมากขึ้นก็ยิ่งดึงดูดสายตาของนางได้มากกว่าเดิม ถ้าเทียบระหว่างฮ่องเต้กับคนตรงหน้าแล้วนั้น แม้นจะมีหน้าตาคล้ายคลึงกันถึงห้าส่วน แต่ใครเหนือกว่าย่อมมองออกได้ไม่ยาก 'น่าเสียดายยิ่งนัก' นางรำพึงรำพันเช่นนั้นในใจ"เช่นนั้นก็ไปเก็บดอกไม้ที่ว่าเถิด ข้าคงไปส่งเจ้าไม่ได้" เซียวลี่หยางขยับรถเข็น จะจากไปด้วยตนเอง"ท่านอ๋องช้าก่อน" แต่อี๋เฟยซิ่นก็ไม่ยอม นางขยับตัวคิดจะขวางทางไปของเขา ทว่ากลับเซจะล้ม ดวงตาก็หรี่ลงเหมือนคนจะเป็นลม"..." เซ