“อะไรนะ! ไม่ใช่นะ ข้ากับเขา… ไม่ใช่แบบนั้น”
“ไปกันเถอะ”
เฟิ่งเซียวไม่เคยถูกผู้อื่นทักทายเช่นนี้มาก่อน เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกเช่นไร แต่เมื่อหันไปมองที่ถานซินเยว่ก็เห็นว่าใบหูนางแดงจัด
“เดี๋ยวก่อนนะคุณหนูสาม”
“ท่านเลิกเรียกข้าเช่นนี้เถอะ เรียกข้าว่าซินเยว่ก็ได้ เรามิใช่ว่ารู้จักกันแล้วหรอกหรือ”
“เอ่อ…ก็ได้ เช่นนั้นซินเยว่ เจ้ารู้สึกไม่สบายท้องหรือไม่”
ซินเยว่ชะงัก และหันมามองหน้าของเฟิ่งเซียวในทันทีเมื่อเขาพูดจบ
“ท่านว่าอะไรนะ ข้าหรือ”
“ใช่ ข้าเห็นใบหน้าเจ้าแดง และที่กกหูยังแดงจัดเหมือนกับท้องเจ้าจะระบายลมไม่ค่อยดี หากว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายท้องข้าคิดว่าเจ้าอาจจะกินอาหารมากเกินไป ดังนั้น…”
“เฉินเฟิ่งเซียว! คนบ้าอะไรเนี่ย!”
“เจ้า… ไม่ได้ป่วยหรอกหรือ เดี๋ยวสิซินเยว่รอข้าด้วย”
ซินเยว่รู้สึกทั้งโกรธทั้งอายเมื่อถูกเฟิ่งเซียวทักเช่นนี้ นางไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าหน้าแดงอยู่และยังร้อนจนถึงใบหูเพราะเขา แต่หมอเฉินเฟิ่งเซียวผู้นั้นกลับคิดว่านางป่วยเพราะท้องไม่ระบาย
“คนบ้าอะไรเนี่ย เกิดมามีหน้าเดียวหรืออย่างไรกัน นี่เขามีความรู้สึกหรือเปล่านะ”
ซินเยว่เดินมาถึงร้านน้ำตาลปั้นแล้ว นางพยายามไม่หันไปมองเฟิ่งเซียวที่พยายามมองหน้านางเพื่อดูอาการที่ผิดปกติ มิใช่เขาอยากรู้แต่เพราะท่านอ๋องคิดว่านางป่วยจึงรู้สึกกังวลขึ้นมาเท่านั้น
“คุณหนูถานขนมของท่านได้แล้ว แต่ว่าท่านจะถือไปเช่นไรมันเยอะมากนะ”
“มาเถอะข้าถือให้นางเอง นี่เงินค่าขนมไม่ต้องทอน”
“ขอบคุณคุณชายขอรับ ยอดไปเลยคุณหนูถานผู้นี้คือว่าที่สามีของท่านหรือขอรับ”
“ท่านพูดอะไรน่ะ! เขา… ใช่ที่ไหนกัน ข้าขอตัวก่อน”
“อ้าว! คุณหนูถานโกรธเสียแล้ว”
“เอ่อ… เช่นนั้น อีกห้าชิ้นข้าถือไปได้เลยหรือไม่”
“ขอรับคุณชาย ขอบคุณนะขอรับ”
“ไม่เป็นไร ว่าแต่เหตุใดนางต้องโกรธถึงเพียงนั้นด้วย ก็แค่เข้าใจผิดนิดหน่อยเองมิใช่หรือ”
“ปกติแล้วคุณหนูถานชอบช่วยเหลือคน นางมีน้ำใจกับทุกคนขอรับแต่ไม่เคยมีผู้ใดเห็นนางจะเดินกับผู้ชายสองต่อสอง ท่านเป็นคนแรก”
“คนแรกแล้ว… อย่างไรหรือ”
“เอ่อ… ข้าน้อยพูดมากไปแล้ว ขอตัวก่อนนะขอรับ”
“อ้อ ข้าเองก็ต้องรีบไปเช่นกัน”
คนขายน้ำตาลปั้นเข็นรถไปแล้ว เฟิ่งเซียวยังยืนถือน้ำตาลปั้นอยู่ในมือและรีบเดินตามซินเยว่กลับไปทันที เมื่อเข้ามาในร้านก็พบว่าจิ่นหาวอยู่หลังร้านกับผู้ดูแลของซินเยว่ แต่ที่เขาแปลกใจก็คือซินเยว่ที่วิ่งเข้าไปด้านในและถูกรายล้อมด้วยเด็กเล็ก ๆ สามสี่คน นางกำลังแบ่งน้ำตาลปั้นให้เด็กและหันกลับมา
“ท่านหมอเฉิน รีบ ๆ เดินเข้าสิเด็ก ๆ รอขนมของท่านอยู่นะ”
“อ้อ เอ่อ…ได้สิ”
“ข้าน้อยเองขอรับ”
“ไม่ต้อง ข้าจัดการเองเจ้าไปจัดการเรื่องยาเถอะ”
จิ่นหาวเดินมาหมายจะเอาน้ำตาลปั้นในมือของเฟิ่งเซียวไปให้ซินเยว่ แต่เขากลับสั่งให้จิ่นหาวจัดการเรื่องยากับผู้ดูแล
“นี่”
“เอาล่ะเด็ก ๆ ทีนี้ก็ทยอยเดินไปรับขนมจากท่านหมอ ไม่ต้องตกใจหน้าเขานิ่งเหมือนก้อนหินแบบนั้นเองแต่ไม่ดุพวกเจ้าหรอก พี่สาวตรวจดูแล้วเขาเป็นคนปกติ ไปได้แล้ว ฉู่อี้ ชิงอันพาพวกเขาไปสิ”
เด็ก ๆ เมื่อเห็นคนแปลกหน้าคนใหม่ก็ไม่กล้าจะเดินมาหยิบขนม เฟิ่งเซียวหันไปมองซินเยว่ที่ยืนแจกขนมให้เด็ก ๆ โดยการดึงให้คนละอัน เขาจึงได้เริ่มทำตาม
“ไม่ต้องแย่งกันนะ เอานี่ของเจ้า เด็กน้อยเจ้าชื่อว่าอะไรหรือ”
“ข้าชื่ออาตงขอรับ”
“อาตง…. เอ่อ วันหลังพี่ชายจะซื้อขนมกับของเล่นมาให้พวกเจ้าอีก เจ้าชอบกินอะไร”
“อาตงอยากกินถังหูลู่ขอรับ แต่พี่เยว่ซินบอกว่ามันเปรี้ยว นางยังบอกว่ากลัวกินแล้วจะติดคอเลยยังไม่ได้ซื้อมาให้”
“เช่นนั้นวันหลังพี่ชายจะซื้อมาให้อาตง ดีไหม”
“ขอรับ พี่ชายชื่อว่าอะไร”
“พี่ชื่อว่า...เฟิ่งเซียว”
“พี่เฟิ่งเซียว ชื่อท่านเพราะมากเลย ขอบคุณขอรับ”
“งั้นหรือ…”
เด็กน้อยรับขนมและเดินกลับไป เขาสังเกตเห็นขาที่ผิดปกติของ “อาตง” เด็กในวัยน่าจะไม่เกินหกขวบ เมื่อเดินไปหากลุ่มเพื่อน ๆ ก็พบว่าทุกคนต่างก็คอยดูแลเขาเหมือนกับเป็นน้องคนเล็ก ซินเยว่เดินกลับมาหาเขาอีกครั้งเฟิ่งเซียวจึงได้เอ่ยถาม
“เด็กเหล่านี้คือ…”
“พวกเขาเป็นลูกของชาวบ้านที่ประสบภัย บางคนพ่อแม่ตายตอนที่ถูกน้ำท่วม บางคนมาป่วยตายที่ค่าย แต่ละคนล้วนต้องเอาตัวรอด เด็ก ๆ ที่ไม่มีบ้านไม่มีพ่อแม่เลยไร้ที่อยู่ไม่มีคนดูแล ข้ากับอาจารย์ก็เลยพามาที่นี่”
“แล้วพวกเขาได้เรียนหนังสือหรือไม่”
ซินเยว่ส่ายศีรษะเป็นคำตอบให้กับเขา สีหน้าของนางเศร้าลงทุกครั้งเมื่อมองไปที่เด็ก ๆ
“ข้ามีกำลังพอแค่หาที่พักให้พวกเขา หาอาหารและที่นอนให้ ส่วนเรื่องการเรียนนั้น ข้ากับอาจารย์กำลังคิดหาทางอยู่”
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นห่วงความเป็นอยู่ของเด็ก ๆ เช่นนี้”
“พวกเขาไม่มีพ่อแม่ ข้าเองก็ไม่มีแม่ แม้ว่าจะมีท่านพ่อ แต่ตั้งแต่ออกเดินเรือครั้งก่อนและเจอมรสุมก็ไม่ได้รับข่าวของท่านพ่ออีกเลย เด็กพวกนี้ไม่ต่างจากข้า ดังนั้นเมื่อเห็นพวกเขาก็อดที่จะช่วยไม่ได้ พวกเขาต้องสูญเสียทั้ง ๆ ที่ยังเล็ก”
ซินเยว่หันไปมองและยิ้มให้เด็กน้อยที่โบกมือมาให้นางพร้อมกับป๋องแป๋งอันใหม่ที่พึ่งจะได้รับมา เด็ก ๆ มีความสุขกับของเล็กน้อย เมื่อเฟิ่งเซียวหันไปมองอาตงที่นั่งเล่นป๋องแป๋งจึงอดถามไม่ได้
“ขาของอาตงเป็นเช่นนั้นตั้งแต่เกิดหรือว่า...”
“อาตงถูกไม้ใหญ่ที่พัดมากับน้ำซัดจนขาของเขาผิดรูป ข้ากับอาจารย์ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ได้แต่แม่ของเขากลับถูกกระแสน้ำพัดหายไปต่อหน้า ถึงจะช่วยชีวิตได้ แต่ขาของเขากลับมาเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว”
“ให้ข้าลองรักษาเขาดูดีหรือไม่”
“ท่านช่วยได้จริงหรือ แม้แต่อาจารย์ข้าที่เป็นหมอยาและฝังเข็มยังยากที่จะรักษา ท่านแน่ใจหรือ”
“เจ้าไม่เชื่อใจข้างั้นหรือ”
“มิใช่เช่นนั้นเพียงแต่ว่า... การรักษาที่ผ่านมาทำให้อาตงเจ็บปวดมาหลายครั้ง ทุกครั้งก็มีความหวังว่าจะหายแต่ก็อย่างที่ท่านเห็น หากจะต้องเจ็บอีกครั้ง ข้าก็ไม่อยากให้เขาคาดหวังซ้ำยังต้องเจ็บตัวซ้ำไปซ้ำมาอีก”
“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นจะลองอ่านตำราวิชาแพทย์เพิ่มเติม ดูว่าพอจะมีวิธีใดบ้างที่จะช่วยเขาได้”
“หากท่านยอมช่วยก็ขอบคุณมากจริง ๆ อย่างน้อยเวลาที่เขาวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ ….”
ซินเยว่มิอาจพูดออกมาได้จนจบ นางพยายามกลั้นเสียงมิให้สั่นและหันหน้าไปทางอื่น แต่ดวงตากลมโตคู่นั้นเริ่มแดงและปริ่มไปด้วยน้ำใส ๆ เพียงแค่ได้เห็น หัวใจของเฟิ่งเซียวก็พลันอ่อนยวบลงมาอย่างน่าประหลาดใจ
“ขอโทษท่านด้วย จริงสิท่านมาที่นี่ต้องการยามากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ข้าไปช่วยตาแก่นั่นดูดีกว่าเผื่อว่าขาดอะไรจะได้ช่วยท่านจัดหาได้ครบ”
“เอ่อ…”
ซินเยว่รีบเดินไปที่รถม้าซึ่งกำลังจัดเตรียมยาให้กับเฟิ่งเซียว ท่านอ๋องหันไปมองดูเด็ก ๆ และลุกขึ้นมา จินหาวเดินมาพร้อมกับรายการยาที่จัดเตรียมเกือบเสร็จแล้ว
“คุณชาย รายการยาเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นก็ไปจ่ายเงินเถอะ”
“เอ่อ เรื่องนี้เถ้าแก่บอกว่า ให้ท่านคุยกับคุณหนูถานเอาเองขอรับ”
เฟิ่งเซียวหันมามองหน้าองครักษ์ข้างกายด้วยท่าทีแปลกใจ
“ทำไมเล่า ยามากมายขนาดนี้ หรือว่านางต้องใช้เวลาคิดเงินนานงั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ให้ส่งรายการเก็บเงินไปที่จวนของข้าก็ได้”
“ไม่ใช่ขอรับ ผู้ดูแลหวังบอกว่าหากเป็นยาที่จะนำไปช่วยผู้ประสบภัยที่จวนท่านหมอ นางจะไม่คิดเงินและยังสั่งให้เพิ่มปริมาณยาทุกอย่างเป็นสองเท่าด้วย คุณหนูถานเคยพูดกับผู้ดูแลหวังเอาไว้ ว่านี่เป็นสิ่งเดียวที่นางพอจะช่วยผู้อื่นได้ขอรับ”
“น้องแปด มีเรื่องด่วนอะไรงั้นหรือ ให้พวกข้า…”ฟ่านหรงยกมือขึ้นห้ามพี่สามของตัวเอง และส่ายศีรษะทันที “ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกพ่ะย่ะค่ะ พี่สามอย่าได้เป็นห่วง”“ก็แค่องค์หญิงต่างแคว้นที่ถูกส่งมาเป็นเชลยหย่าศึก พยายามแอบหนีออกจากเมืองก็เท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ”“น้องเก้า! หุบปากของเจ้าไปเลย”ตงหรานหันไปมองหน้าเฟิ่งเซียวทันที พวกเขารู้ว่าก่อนที่ฟ่านหรงจะไปที่เมืองหลิงโจวครั้งก่อน ได้ทำศึกที่ชายแดนตะวันออกและได้รับตัวองค์หญิงต่างแคว้นมาคนหนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่เคยได้ถามที่มาที่ไปเดิมทีคนอย่างเฉินฟ่านหรงที่ชอบช่วยเหลือพี่น้องของตัวเอง แต่พอเป็นเรื่องของเขาในดินแดนบูรพา กลับไม่อยากให้พี่น้องคนอื่น ๆ ร่วมรับรู้ด้วย และมักจะชอบจัดการด้วยวิธีของเขาเอง ซึ่งทุกคนล้วนทราบกันดี“ข้าเข้าใจแล้ว แต่หากเจ้าอยากจะให้ช่วยเรื่องใดต้องรีบบอกทันที ข้ากับเยว่เอ๋อร์คงจะกลับไปพักที่เสิ่นโจวพักใหญ่ และไม่ได้กลับไปหลิงโจวในตอนนี้”“ขอบคุณพี่สาม แต่เหตุการณ์ที่นั่นข้าเพียงคนเดียวก็สามารถจัดการได้พ่ะย่ะค่ะ อย่างไรข้าขอตัวไปเก็บของก่อน”“เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ”แม้ว่าสีหน้าของเฉินฟ่านหรงจะไม่ค่อยสู้ดีนักที่ต้องแจ้งข่าวกับทุกคน
“นะ แน่นอน ซี๊ด!! อาา… เยว่เอ๋อร์ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว”เขาดึงท้ายทอยนางเข้ามาและบดริมฝีปากลงไปอีกครั้ง ซินเยว่ยอมปล่อยมังกรยักษ์ของเขาแล้ว ท่านอ๋องรวบตัวนางยกขึ้นและไปวางที่ขอบสระอย่างเบามือ ขาของนางค่อย ๆ ถูกกางออกมา“ท่านพี่…อ๊าา!!”ลิ้นร้อนที่ค่อย ๆ เกลี่ยเปิดทางร่องรักที่เปียก นิ้วมือของท่านอ๋องค่อย ๆ สอดเข้าไปอย่างทะนุถนอม ซินเยว่เอนกายแอ่นรับสัมผัสเสียวซ่านนี้อีกครั้ง มือเรียวจับที่ศีรษะของสามีเอาไว้อย่างลืมตัว“อื้อ…อ๊ะ! ไม่ได้ ข้าทนไม่ไหวแล้ว อ๊าาา”เมื่อนางให้สัญญาณ นิ้วมือของเขาก็เร่งจังหวะทันที ลิ้นหนาเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ยอดปทุมคู่งามตรงหน้าแทน ไม่นานซินเยว่ก็กรีดร้องออกมา เสียงของนางเร่งกระตุ้นความอยากของท่านอ๋องจนแทบไม่อยากรอ“ท่านพี่…ได้โปรด”ไม่ต้องรรอให้นางขอ เขาก็พร้อมจะเติมเต็มความรักให้นางอยู่แล้ว ร่างบางถูกยกขึ้นมาอีกครั้ง ขาทั้งสองถูกยกขึ้นมาพาดที่ไหล่กว้างก่อนที่มังกรยักษ์จะสอดเข้าไปจนสุดทาง “อ๊าา!! ท่านพี่..อ๊าาา”เสียงครวญครางสลับกับเสียงน้ำที่กระเพื่อมในสระ ยิ่งสร้างบรรยากาศสงครามรักครั้งใหม่ให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น ท่านอ๋องเปลี่ยนให้นางยืนหันหลังให้ ซินเยว่แทบจะยืน
สามวันถัดมา“เยว่เอ๋อร์ รถม้าพร้อมแล้ว”“ทราบแล้วเพคะ” ซินเยว่เดินออกมานอกห้อง วันนี้พวกเขาจะไปที่สำนักศึกษา ซึ่งสร้างที่ร้านเป่าจิ้นถานเดิม ท่านอ๋องสั่งการให้นายอำเภอเป็นผู้ดำเนินการสร้างให้เป็นสำนักศึกษาอำเภอลี่เหมิน และให้อาจารย์ผู้สอนจากหลายที่มาสมัคร ซึ่งล้วนแต่เป็นคนที่ท่านอ๋องคัดเลือกมาแล้วทั้งสิ้นสำนักศึกษาอำเภอลี่เหมิน“ถวายบังคมท่านอ๋อง พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”“นายอำเภอไม่ต้องเกรงใจ”“เชิญทั้งสองพระองค์เสด็จก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”นายอำเภอนำทางทั้งสองไปยังที่ประทับ แต่ท่านอ๋องกลับยิ้มให้และตรัสอีกครั้ง“ไม่เป็นไรท่านทำงานไปเถิด เรากับพระชายาจะเดินดูรอบ ๆ ขอบใจท่านมากที่เป็นธุระจัดการทุกอย่างให้”“มิได้พ่ะย่ะค่ะ ล้วนเป็นหน้าที่ของกระหม่อม จริงสิพระชายามีชาวบ้านมากมายที่อยากขอบพระทัยพระองค์ ที่ทรงมอบที่ดินผืนนี้ให้เพื่อสร้างเป็นสำนักศึกษาสำหรับเด็กเล็ก นี่นับว่าสร้างประโยชน์ได้มากจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ท่านอย่าได้เกรงใจ ที่ดินแห่งนี้เป็นของบิดาข้า ไฟไหม้ครั้งก่อนก็ทำให้ไม่สามารถปรับปรุงร้านขึ้นมาได้ สร้างเป็นสำนักศึกษาแทนถือว่าได้ใช้ประโยชน์มากกว่า”“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“เราไปกัน
“เฟิ่งเซียว ข้าอยากกลับแล้ว”“ได้สิ ข้าจะพาเจ้ากลับนะ”พวกเขาออกมาจากลานประหาร เฉินเฟิ่งเซียวพานางมาที่เขื่อนซึ่งตอนนี้สร้างเกือบจะเสร็จแล้วด้วยความร่วมมือของชาวบ้าน ทหารและกลุ่มพ่อค้าที่ถานต่งซุนไปขอความร่วมมือก่อนหน้านี้ จึงทำให้เขื่อนเสร็จเร็วกว่ากำหนด เมื่อซินเยว่ลงมาจากรถม้าสายลมเย็น ๆ ที่พัดเข้ามาก็ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น“ที่นี่… อากาศดียิ่งนัก”“ข้าคิดเอาไว้แล้วว่าเจ้าต้องชอบ ข้าตั้งชื่อเขื่อนนี้ว่า “เฟิ่งเยว่” เจ้าว่าเพราะหรือไม่"“เขื่อนเฟิ่งเยว่… ชื่อไพเราะยิ่งนักเพคะ”“ไปเถอะ ไปเดินเล่นกัน”เฟิ่งเซียวพานางเดินขึ้นไปด้านบนสันเขื่อน ซึ่งสามารถมองเห็นแผงกั้นน้ำที่ทำจากหินและแอ่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ ริมนั้นปลูกดอกไม้เอาไว้ และมีศาลาพร้อมกับโต๊ะม้าหินวางเป็นจุด ๆ เหมาะสำหรับการเดินเล่นพักผ่อน“ที่นี่เหมือนธารสวรรค์เลยเพคะ”“อืม ชื่อนี้เพราะยิ่งนัก เช่นนั้นตั้งชื่อว่าสันเขื่อนธารสวรรค์ก็แล้วกัน”ซินเยว่ยิ้มให้เขา และเดินไปนั่งศาลาหินอ่อนซึ่งน่าจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ นางมองไปไกลแสนไกล“เมืองหลวงอยู่ทางนั้นใช่หรือไม่เพคะ”“ไม่ใช่ ทางตะวันออกเฉียงไปทางเหนือต่างหาก ทางนี้”“อ้อ เช่นน
เมื่อประตูห้องนอนปิดลง ร่างของซินเยว่ก็ถูกนำไปวางที่เตียงนุ่มด้านใน ไม่ทันที่จะเอ่ยคำใดเฟิ่งเซียวก็ค่อย ๆ ก้มลงมาทันที ริมฝีปากของเขาค่อย ๆ ละเมียดเกลี่ยไปทั่วปากของนางก่อนจะขยับเข้าไปแนบแน่นและเริ่มเร่าร้อนขึ้น“อื้อ…อ๊ะ เฟิ่งเซียว”เขาปลดชุดของนางออกอย่างเบามือ ซินเยว่เองก็ช่วยเขาปลดเข็มขัดและชุดออกเช่นกัน ราวกับเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งสองจัดการทุกอย่างที่ขวางทางออกจนหมดสิ้น สลับกับระดมจูบแทนรักกันเพื่อให้อีกฝ่ายไว้ใจมากขึ้น“เยว่เอ๋อร์… ข้ายินดีรับโทษจากเจ้า”“จริงหรือ”“แน่นอน”“ก็ได้”“โอ๊ย! ฮึก!”ซินเยว่หันไปกัดที่หัวไหล่ของเขาทันที เฟิ่งเซียวจดจำความเจ็บนี้เอาไว้แล้ว ไม่นานนางก็ปล่อยและหันมาจูบเขาแทน ซึ่งเขาเองก็รูดชุดชั้นในที่เหลือของนางออกเช่นกัน“อ๊าา ท่านอ๋อง…อื้อ ดีจริง อ๊ะ”เขาเผลอขบเม้มหน้าอกของนางแรงไปนิด เพื่อจะลงโทษคนตรงหน้าด้วยเช่นกัน เพียงแค่เห็นนางเดินกับชายอื่นหัวใจเขาก็เจ็บปวด และรู้สึกโกรธจนต้องหาที่ระบาย“ท่านโกรธข้าอยู่สินะ”“ข้าไม่ปฏิเสธที่โกรธเจ้า แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้าเช่นกัน”“เช่นนั้นข้าก็ยินดีให้ท่านลงโทษด้วยเช่นกัน… ดีหรือไม่”“ก็ดี เช่นนั้
เฟิ่งเซียวหันกลับไป และเดินนำนางไปที่เรือนของอวิ๋นซีทันทีโดยมิได้พูดอะไรอีก เมื่อเข้ามาถึงก็พบตงหรานที่กำลังป้อนผลไม้ให้กับพระชายาอยู่ด้านใน เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามาพวกเขาจึงได้ทักทาย“อีกคำเดียวนะ กินมากเดี๋ยวจะเสาะท้องเอา”“แต่ว่าข้าอยากกินอีก…ซินเยว่! เจ้ามาแล้วหรือ ว้าวนั่นหอบอะไรมาเยอะแยะน่ะ”“ของที่ท่านชอบอย่างไรเล่า นางซื้อมาฝาก”“ยอดไปเลย ขอบใจมากนะซินเยว่มานั่งก่อนสิ”“ถวายบังคมท่านอ๋อง”“อย่ามากพิธีเลยครอบครัวเดียวกันทั้งนั้นจริงไหมน้องห้า… เอ่อ นั่งก่อนเถอะ”เฉินตงหรานรีบหันมาชักชวนนางให้นั่งลง เมื่อมองหน้าเฟิ่งเซียวที่ยังยืนบึ้งตึงอยู่ตอนวางของลง เขาเลือกมานั่งข้าง ๆ พระเชษฐาแทนที่จะนั่งกับซินเยว่“นี่เจ้ายังโกรธอยู่หรือ ไหน ๆ นางก็มาแล้ว ทำหน้าให้มันเหมือนคนปกติหน่อยสิ”“ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย”เฟิ่งเซียวมองของที่ซินเยว่ซื้อมา ก็นึกหงุดหงิดเมื่อคิดไปถึงคนที่พานางไปซื้อมาก่อนหน้านี้ อวิ๋นซีสังเกตเห็นความผิดปกตินี้จึงได้กระแอมครั้งหนึ่งก่อนจะเริ่มทำลายความเงียบจนน่าอึดอัดนี้“นี่ของชอบข้าทั้งนั้นเลย ขอบใจเจ้ามากนะซินเยว่”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พี่เฟิ่งเซียวบอกว่าท่านชอบกินถั