ครบสามวันที่เจ้าสาวต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดตามประเพณี ซูซินเหยียนออกจากจวนแต่เช้าไปหาบิดามารดาของนาง ซึ่งพักอยู่ที่จวนของพี่ชายนาง บ้านเกิดของนางอยู่ที่เมืองผิงอันไกลจากเมืองหลวง พี่ชายของนางเป็นหัวหน้ากองปราบ มีจวนพระราชทานอยู่ในเมืองหลวงซึ่งไม่ไกลจากจวนตระกูลโจว เมื่อไปถึงบิดามารดาของนางก็รีบเดินเข้ามารับ
" เหยียนเอ๋อมาแล้วเหรอลูก เหตุใดถึงมาแต่เช้านักเล่า"
" ข้าคิดถึงท่านแม่กับท่านพ่อเลยรีบมาเจ้าค่ะ"
ซูหานชะเง้อมองไปทางข้างหลังนาง ไม่เห็นมีใครอื่นนอกจากลู่หมิงสาวรับใช้ก็ขมวดคิ้วถามขึ้นมา
" แล้วเยี่ยนเฉิงหล่ะ ไม่ได้มากับเจ้ารึ"
ซูเหม่ยฟางมองหน้าบุตรสาว เห็นแววตาเศร้าสร้อยก็รู้ว่าคงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จึงพูดตัดบท
" ช่างเถอะ ในเมื่อเขาไม่รู้หน้าที่ว่าครบสามวันหลังแต่งงานต้องพาภรรยากลับมาเยี่ยมบ้านก็ปล่อยเขาไป ไม่มาก็ไม่ต้องมา ใครสนเขากัน แค่เหยียนเอ๋อมาก็พอแล้ว ไปกันเถอะเหยียนเอ๋อ แม่ทำของอร่อยไว้รอลูกเพียบเลย"
โจวเยี่ยนเฉิงนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว หยิบตะเกียบขึ้นมา มองไปที่ทางเดิน สือหลางมองตามรู้ว่าโจวเยี่ยนเฉิงมองหาใครจึงพูดขึ้นมา
" ฮูหยินออกไปตั้งแต่เช้าแล้วขอรับ"
" ไปไหน"
" ก็วันนี้ครบสามวันที่ต้องกลับไปเยี่ยมบ้านตอนนี้นางคงกำลังนั่งกินข้าวกับบิดามารดาของนางแล้ว"
ได้ฟังที่สือหลางพูด โจวเยี่ยนเฉิงถึงพึ่งนึกได้ว่าครบสามวันที่ต้องกลับไปเยี่ยมบ้านวันนี้ เขาควรต้องพานางกลับไป แต่เขาดันลืมเสียสนิท ตั้งแต่วันนั้นที่เขาเผลอผลักนางแรงไปนิด จนนางได้รับบาดเจ็บ เขาก็ไม่ได้เห็นหน้านางอีก เวลานอนเขาก็นอนที่เรือนของเขา แม้เวลากินข้าวนางก็ไม่มาร่วมโต๊ะ แต่ให้สาวใช้ของนางยกสำรับอาหารไปให้นางที่เรือน เขาก็ไม่ได้สนใจ ดีซะอีกจะได้ไม่ต้องอึดอัด แต่ถึงอย่างไรวันนี้หากเขาไม่กลับไปเยี่ยมบ้านกับนางคงไม่ดีแน่ มารดาของนางเป็นสหายสนิทกับมารดาของเขา พี่ชายของนางซูตงหยางก็เป็นสหายสนิทกับเขา ยังไงเขาก็ต้องไป เขาวางตะเกียบลงแล้วลุกขึ้น
" อ้าวจะไปไหนหรือขอรับ"
" ไปจวนของตงหยาง"
" นายท่านขอรับนายท่าน"
" มีอะไรวิ่งหน้าตาตื่นมา ถ้าเป็นเรื่องไม่สำคัญเอาไว้ก่อน นายท่านมีธุระต้องรีบไป"
สือหลางโบกมือไล่บ่าวรับใช้ให้พ้นทาง พอบ่าวรับใช้สี่ห้าคนเปิดทางออก สือหลางถึงกับตกใจอ้าปากค้าง ส่วนโจวเยี่ยนเฉิงก็นิ่งค้าง มองภาพตรงหน้าแทบไม่เชื่อสายตา
กินข้าวพร้อมหน้าบิดามารดาและพี่ชายเสร็จ ก็พูดคุยนั่งเล่นอยู่กับมารดาของนางหลายชั่วยาม มารดาของนางไม่ยอมออกห่างนางเลย นางจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับพี่ชายเป็นการส่วนตัว จนกระทั่งถึงเวลากลับ
" ท่านพ่อท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะไปส่งนางเอง เสร็จแล้วข้าก็จะเลยไปทำงาน"
ซูตงหยางรับรู้ได้ว่าน้องสาวของเขามีเรื่องบางอย่างอยากคุยกับเขา เมื่อออกจากจวนมาได้สักพักเขาจึงพานางแวะข้างทาง
" ไหนมีอะไรอยากคุยกับข้าว่ามา"
" ท่านรู้ "
" ข้าเป็นพี่ชายเจ้า แค่มองตาก็รู้แล้วว่าเจ้าคิดอะไร"
" พี่ใหญ่"
" พูดมาสิ ข้าฟังอยู่"
ซูตงหยางส่งยิ้มอ่อนโยนให้นาง
" ท่านรู้จักคนที่ชื่อหลินเอ๋อไหม"
ซูตงหยางนิ่งค้าง
" เจ้าไปได้ยินชื่อนี้มาจากไหน"
" ท่านรู้จักใช่ไหม จะไม่รู้จักได้ยังไงในเมื่อท่านกับเขาเป็นสหายสนิทกัน"
" เหยียนเอ๋อ"
" คืนก่อนเขาเมา แล้วเพ้อเรียกชื่อหลินเอ๋อข้าถึงได้รู้ว่าในใจของเขามีแต่สตรีนางนั้น พี่ใหญ่ ข้าอยากรู้ว่านางเป็นใคร"
" นางชื่อถานลี่หลิน เป็นสาวใช้ในจวนตระกูลโจว"
" สาวใช้ "
" อืม แต่ว่านางตายไปตั้งแต่สองปีก่อนพร้อมกับทุกคนที่เดินทางไปวัดหวงซานในครั้งนั้นทุกคนถูกโจรภูเขาปล้นฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ไม่มีใครรอดชีวิต ตอนนั้นพอเยี่ยนเฉิงไปถึง ก็เจอบ่าวรับใช้คนหนึ่งที่ยังมีลมหายใจอยู่ เขาบอกว่าเห็นนางวิ่งหนีไปทางหน้าผาถูกพวกโจรรุมล้อม คิดว่าคงพลัดตกหน้าผาลงไป จากนั้นบ่าวคนนั้นก็สิ้นใจ ตั้งแต่นั้นมาเยี่ยนเฉิงก็เอาแต่โศกเศร้าจมอยู่กับความทุกข์ "
" เขาคงรักนางมากสินะ"
" นางเป็นสาวใช้ที่เติบโตมาพร้อมกันกับเยี่ยนเฉิง ย่อมผูกพันธ์เป็นธรรมดา แต่ไม่ว่ายังไงนางก็มีฐานะเป็นแค่สาวใช้ ยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เจ้ากับเยี่ยนเฉิงเป็นคู่หมั้นกันถูกกำหนดให้ต้องแต่งงานกัน ตอนนี้นางไม่อยู่แล้ว เจ้าอย่าคิดมากเลยนะ การจะลืมคนที่เราเคยรักมันต้องใช้เวลา ยังไงก็ให้เวลาเขาหน่อย"
ซูตงหยางไม่ได้บอกนางว่าถานลี่หลินไม่ใช่แค่คนรักอย่างเดียว แต่ยังเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของโจวเยี่ยนเฉิงด้วย เขากลัวว่านางจะคิดมากไปกว่านี้ ถึงยังไงถานลี่หลินก็จากไปแล้ว ส่วนเรื่องที่โจวเยี่ยนเฉิงยังไม่ลืมถานลี่หลิน เขาคิดว่าคงต้องใช้เวลาสักหน่อย เขาเชื่อว่าความน่ารักสดใสของซูซินเหยียน จะทำให้โจวเยี่ยนเฉิงลืมรักแรกไปได้ในสักวัน
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี พระอาทิตย์ตกดินแล้วแต่ซูซินเหยียนยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ โจวเยี่ยนเฉิงมีคนรักแล้ว แม้คนคนนั้นจะจากไปสองปี แต่เขาก็ยังเพ้อหา ยังคงกอดจูบภาพวาดด้วยความคิดถึงคะนึงหา แม้แต่เข้าหอกับนางก็ยังเป็นเรื่องที่ผิดสำหรับเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเขาจะมาแต่งงานกับนางทำไม หากนางรู้เร็วกว่านี้ นางก็คงไม่แต่งงานกับเขา ใครจะอยากแต่งกับคนที่ยังลืมรักแรกไม่ได้กัน
" ฮูหยินเจ้าคะ เย็นมากแล้วกลับจวนกันเถอะเจ้าค่ะ"
ซูซินเหยียนหันมาส่งยิ้มบางๆให้ลู่หนิง พยักหน้าแล้วลุกขึ้น
กลับมาถึงจวนก็เห็นว่าบ่าวรับใช้พากันมองนางแปลกๆ พอนางเดินผ่านก็หันไปซุบซิบนินทากัน นางรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติพอเดินผ่านห้องโถงก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งตักโจวเยี่ยนเฉิงอยู่ แขนของโจวเยี่ยนเฉิงยังโอบกอดหญิงคนนั้นเอาไว้ สือหลางเดินถือไหเหล้าเข้ามาเอ่ยเรียกนาง
" ฮูหยิน"
ทั้งสองหันมามองนาง นางถึงได้เห็นชัดๆว่าหญิงคนนั้นหน้าตาเหมือนกับคนในภาพวาดจะเป็นไปได้ยังไง
ป๋อเหวินมองดูหน้าซูซินเหยียน เขามีท่าทีครุ่นคิดหนัก ซูซินเหยียนรู้จักเขาดี เขาไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบอยู่ในที่ที่คนมากๆ เขารักสงบ ป่าเขาคือบ้านของเขา" กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันกับพี่เหวินทรงทราบดีในพระมหากรุณาธิคุณ แต่พี่เหวินไม่ชอบชีวิตวุ่นวายในเมือง เขาเคยชินกับการอยู่ที่บ้านป่า ที่นั่นสงบและดูปลอดภัยสำหรับเขา เรื่องการแก่งแย่งชิงดีในวัง ทุกคนต่างรู้ดี วันนี้เป็นฮองเฮาแต่วันหน้าใครจะรับรองได้ ว่าอาจจะมีสนมคนใดคิดทำร้ายเอาชีวิตเขาอีก ไม่ก็อาจพุ่งเป้ามาที่ลูกของหม่อมฉัน อีกอย่าง พระองค์ก็เห็นว่าเขาหน้าตาเป็นแบบนี้ ถ้าเข้าวังต้องมีคนนินทาหัวเราะเยาะเขา รังเกียจเขา มองเขาด้วยสายตาสมเพช แม้พระองค์จะออกรับสั่งว่าห้ามใครพูดถึงเขาในทางไม่ดี ห้ามล้อเลียนเขา แต่ลับหลังหล่ะ ใครจะรับรองได้ว่าเขาจะไม่ถูกดูหมิ่น ขอพระองค์โปรดเมตตาด้วยเพคะ หม่อมฉันกับพี่เหวินเพียงต้องการใช้ชีวิตที่สงบสุขในบ้านป่า"หย่งเค่อคิดตาม เห็นด้วยกับคำพูดของซูซินเหยียน" ท่านเองก็อยู่ที่นี่เถอะ หากอยากไปหาข้ากับเหยียนเอ๋อก็ไปได้ทุกเมื่อ"ป๋อเหวินบอกกับเมิ่งกุ้ยเฟย นางน้ำตาไหลเข้าไปโอบกอดป๋อเหวินแน่นหลายเดือนผ่านไป ป๋อเหวิน
" แต่องครักษ์เสื้อทอง เป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ของฮองเฮา เรื่องนี้"ซูตงหยางไม่กล้าพูดต่อ มองดูหน้าของฮ่องเต้ที่มีสีหน้าเคร่งเครียด หากมีการสอบสวนจริงๆ ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องนี้ดันไปพัวพันกับฮองเฮาอีก เขาพอจะมองเรื่องราวออก ฮองเฮาอิจฉาริษยาเมิ่งกุ้ยเฟยที่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ จึงส่งคนไปลอบสังหาร ตอนที่นางเดินทางไปปินเฉิงและเพื่อให้เนียน จึงต้องทำร้ายฮ่องเต้ด้วยแล้วยังไม่พอ คิดจะกำจัดให้สิ้นซาก กลัวว่าโอรสของเมิ่งกุ้ยเฟยจะมีโอกาสกลับมา แล้วจะแย่งตำแหน่งรัชทายาทกับโอรสของตัวเอง จึงส่งองครักษ์เสื้อทองไปตามหาจนพบ และจัดการสังหารทิ้ง แต่สวรรค์ก็ให้ป๋อเหวินยังมีชีวิตอยู่ แต่กลายเป็นคนอัปลักษณ์ตาบอดข้างนึงเมิ่งกุ้ยเฟยคุกเข่าลงร้องไห้" เจ้าจะทำอะไรลุกขึ้น"" ไม่เพคะฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงเมตตาโปรดคืนความเป็นธรรมให้ข้ากับลูกด้วย องครักษ์เสื้อทองเป็นองครักษ์ของฮองเฮา ไม่มีใครกล้าแตะต้อง ฮองเฮาใช้อำนาจในทางที่ผิด คิดกำจัดหม่อมฉันกับลูก หม่อมฉันคิดว่าเหตุการณ์ลอบสังหารที่ปินเฉิงในครั้งนั้น ก็คงเป็นคำสั่งของฮองเฮา"" เจ้าลุกขึ้นก่อน เรื่องนี้ข้าจะสอบสวนด้วยตัวเอง จะคืนความเป็นธรรมให้เจ้ากับล
" เวลานี้สองคนนั่นอยู่ที่ไหน พวกเขาสบายดีไหม"" พวกเขา จากไปตั้งนานแล้ว"" เจ้าว่าอะไรนะ จากไป หมายความว่าพวกเขา"" พวกเขาจากไป ตั้งแต่ข้าได้เพียงสี่ปีเท่านั้น"เพราะปกป้องเขา บิดามารดาของเขาถึงต้องเอาชีวิตเข้าแลก เขาไม่อยากนึกถึงเหตุการณ์ที่เจ็บปวดแสนสาหัสในครั้งนั้นอีก" เกิดอะไรขึ้น เจ้าเล่าให้ข้าฟังที"" ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านจะมาอยากรู้เรื่องของข้าทำไม ต้องขออภัยด้วยที่ข้าไม่อยากเล่าถึงอดีตอีก มันโหดร้ายแสนสาหัสสำหรับข้าข้าไม่อยากพูดถึงมันอีก"" อย่างงั้นเจ้าก็ยิ่งต้องเล่าให้ข้าฟัง"" ฝ่าบาทเพคะ ให้หม่อมฉันพูดกับเขาเอง"" อา อาเหวิน"ป๋อเหวินขมวดคิ้วจ้องมองเมิ่งกุ้ยเฟย ที่เรียกชื่อเขาน้ำตาไหลพราก" คนที่เจ้าเรียกเขาว่าพ่อแม่ พวกเขาเป็นบ่าวรับใช้ข้าเอง"ไม่เพียงป๋อเหวินที่ตกตะลึง แต่ทุกคนก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน" เสี่ยวชุ่ยเป็นนางกำนัลคนสนิทของข้า ส่วนป๋อซื่อหานเป็นองครักษ์ของข้า ชื่อเสี่ยวชุ่ยกับป๋อซื่อหาน เป็นชื่อเดิมของพวกเขา แต่ตอนอยู่ในวังข้าเป็นคนตั้งชื่อให้พวกเขาใหม่ว่าชุ่ยเสียกับจ้านเกอ"เมิ่งกุ้ยเฟยมองหน้าหย่งเค่อ หย่งเค่อพยักหน้าให้ นางจึงเริ่มเล่าต่อ"เมื่อ20ปีก่อนข้ากับฝ่าบาทเ
ไม่ใช่แค่บิดามารดานาง แต่ยังมีฮ่องเต้กับเมิ่งกุ้ยเฟยอีก หากมีราชโองการสั่งให้เขาแยกจากนาง หรือใช้อำนาจมาทำให้เขากับนางต้องพลัดพรากกัน คนอย่างเขาจะทำอย่างไรได้ เขารู้ว่านางพูดจริง หากเขาไม่ไปนางก็จะไม่ไปแน่ ถ้าเป็นอย่างงั้นบิดามารดาของนางรวมทั้งเมิ่งกุ้ยเฟย ก็จะตามมาถึงที่นี่ แล้วอาจทำให้ทุกคนในหมู่บ้านเดือดร้อน เพื่อบีบบังคับเขาให้ไปจากนางก็ได้ เขาดูออกว่านางเองก็คิดถึงบิดามารดาของนางเหมือนกัน เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดึงนางเข้ามากอด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด หากเขาต้องถูกบีบคับให้แยกจากนางเขาก็คิดเอาไว้แล้วว่าคงมีทางเดียว คือความตายนางจ้องมองหน้าเขา เดาออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่" ท่านไม่ต้องกังวล แล้วก็ไม่ต้องคิดอะไรเลอะเทอะ ท่านพ่อท่านแม่ข้าพวกท่านเป็นคนใจดีมีเหตุผล พวกท่านเคารพในการตัดสินใจของข้า ชีวิตของข้า ข้ากำหนดเองแม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเกี่ยว เชื่อใจข้าเถอะ"เดินทางอยู่แรมเดือนในที่สุดก็มาถึงเมืองหลวง รถม้าจอดลงหน้าจวน ทันทีที่ซูตงหยางก้าวลงมา บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูก็แสดงสีหน้าดีใจ คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปข้างในอีกคนรีบเปิดประตู ก้าวผ่านประตูได้ไม่กี่ก้าวซูหานกับซูเหม่ยฟางก็รีบ
ตั้งแต่วันนั้นที่กลับมาจากศาลกงผิง ป๋อเหวินก็พานางไปหาหมอ หลังจากตรวจดูก็พบว่านางตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว อีกสามวันจะมีการประหารถานลี่หลิน หลังจากนั้นพี่ชายของนางก็จะเดินทางกลับเมืองหลวงเพื่อปิดคดียามโฉ่ว เจ้าหน้าที่สองคนถูกล็อคคอจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงดังกร๊อบ โจวเยี่ยนเฉิงกับสือหลางลากสองคนเข้าไปมุมหนึ่ง ก่อนจะสวมชุดของเจ้าหน้าที่ออกมา พากันเดินเข้าไปในคุก จุดไฟรมควันสลบ ไม่นานเจ้าหน้าที่สิบคนก็หมดสติ โจวเยี่ยนเฉิงรีบเอากุญแจจากเจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่เก้าอี้ รีบไปไขประตูให้ถานลี่หลิน นางเห็นโจวเยี่ยนเฉิงก็ดีใจ รู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องมาช่วยนางพอประตูเปิดออกนางก็โผเข้ากอดเขา เขาดันตัวนางออก" รีบไป"" เฮ้ เดี๋ยวก่อน ช่วยข้าด้วยสิ นะ ขอร้องหล่ะข้ายินดีเป็นทาสรับใช้ ให้ข้าทำอะไรก็ยอมช่วยข้าออกไปที ข้าไม่อยากถูกประหาร"โจวเยี่ยนเฉิงลังเล ก่อนจะโยนกุญแจให้" เจ้าเปิดออกมาเองเถอะ จะหนีรอดหรือไม่ก็แล้วแต่โชคชะตาของเจ้า"พูดจบก็จูงมือถานลี่หลินวิ่งออกไป แสงแดดเช้าวันใหม่สาดแสงเจิดจ้า โจวเยี่ยนเฉิงบังคับม้าให้หยุดเเล้วลงจากหลังม้า สือหลางที่ขับรถม้าก็บังคับม้าให้หยุดเช่นกัน ถานลี่หลินเ
" บังอาจ เจ้ากล้าลบหลู่พวกข้า เห็นทีว่าต้องจับเจ้าเข้าเครื่องทรมาน เจ้าถึงจะยอมสารภาพ"หม่าซิวหยวนตะคอกเสียงดัง ถานลี่หลินสะดุ้งตกใจ ตราบใดที่นางไม่ยอมรับ พวกเขาก็เอาผิดนางไม่ได้หรอก" จริงหรือเท็จเจ้ารู้ดีแก่ใจ ถุงเงินกับจดหมายนั่นข้าค้นเจอในห้องพักสมุนโจรคนหนึ่ง โชคดีที่แม้ผ่านมาหลายปีก็ยังอยู่ ต้องขอบคุณเจ้าด้วยนะ ที่เป็นคนชอบสะสมของเก่า โดยเฉพาะจดหมายนัดพบและสิ่งของอื่นๆ ทำให้ข้าสาวไปถึงตัวผู้บงการได้อีกหลายคนเลยทีเดียว"ซูตงหยางมองไปที่เซียวหมิง ถานลี่หลินหันควับไปมองด้วยสายตาเคียดแค้น ก็ว่าอยู่ว่าหลักฐานมาจากไหน โง่เขลาที่สุด ทำไมหยางไป๋ถึงได้มีลูกน้องโง่ๆแบบนี้ สะสมอะไรไม่สะสม ดันสะสมหลักฐานไว้ฆ่าตัวเอง" มาถึงขนาดนี้แล้วยอมรับผิดเถอะ ยังไงเจ้าก็หนีไม่พ้น""ยอมรับอะไรข้าไม่ผิด เจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้า"" ข้าใส้ร้ายเจ้ารึ เจ้าก็รู้ดีว่าข้าพูดความจริงข้ายังจำได้ว่าพี่ใหญ่ถามเจ้า ว่ามีความแค้นอะไรกับพวกเขาถึงต้องฆ่าทิ้งให้หมดด้วยทั้งที่แค่ปล้นอย่างเดียวก็พอ เจ้าบอกว่าสองคนนั้นดูถูกเหยียดหยามเจ้า เห็นว่าเจ้าเป็นแค่สาวใช้ต่ำต้อย จึงขัดขวางความรักของเจ้ากับบุตรชายของเขา หากพวกเขาตายไปเจ้