หลงอวิ๋นกวาดสายตามองไปรอบห้องโถงประชุม ดวงตาสีฟ้าของเขานิ่งลึก ยากจะคาดเดาได้ว่าภายในใจเขากำลังสั่นไหวเพียงใด
“มีผู้ใดสงสัยในแผนหรือไม่”
น้ำเสียงของเขาดังชัดในห้องประชุมหินน้ำแข็ง ความเงียบโรยตัวลงอีกครั้ง ราวกับแม้แต่ลมหายใจก็ลังเลที่จะดังขึ้น
แม่ทัพเถาอู่ขยับตัวเล็กน้อย แต่เพียงแค่พยักหน้า ก่อนกล่าวเสียงหนักแน่น
“กองกำลังพร้อมแล้วพะยะค่ะ ไม่มีข้อสงสัยใด”
เจิ้งอู่ที่ยืนอยู่ใกล้แผนภาพเวทบนโต๊ะเอ่ยขึ้นเสริม
“กองรบแนวหน้าจะเริ่มเคลื่อนพลล่วงหน้าในคืนนี้ ส่วนหน่วยซึมลึกผ่านอุโมงค์ จะเริ่มลงจุดตามแผนตั้งแต่ยามก่อนรุ่งอรุณ”
หลงอวิ๋นพยักหน้า ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงต่ำเยือกเย็น—แต่มั่นคง
“ถ้าแผนหลักล้มเหลว…”
เขาหยุดมองหน้าทุกคนทีละคน—รวมถึงฉัน
“แผนสำรองคือการเร่ง ‘พันธะผนึก’ ระหว่างข้ากับเอลาเรียทันที”
“นั่นจะทำให้พลังของเราเชื่อมถึงกันได้ลึกยิ่งขึ้น แม้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่พลังสั่นสะเทือนของข้าอาจทำลายแท่นเวทก่อนมันจะกลืนข้า”
เสียงฮือฮาเบา ๆ ดังขึ้นจากมุมแม่ทัพสายเวท แต่ก็เงียบลงทันทีเมื่อหลงอวิ๋นปรายตามอง<
แสงจากไพ่ทาโรห์ใบสุดท้าย— “The Star” ลอยขึ้นเหนือฝ่ามือฉัน มันส่องประกายสีเงินอ่อน กระเพื่อมช้า ๆ ไปตามแรงเวทจากแท่นศิลาเบื้องล่างณ วินาทีนั้น…โลกทั้งใบคล้ายถูกแช่แข็งลงชั่วขณะ รอบกายเงียบงันราวกับกาลเวลาเองก็หยุดหายใจฉันยืนข้างหลงอวิ๋น มือของเราประสานกันแนบแน่น พลังเวทของเราค่อย ๆ ไหลซึมผ่านปลายนิ้ว—หลอมรวมกันเป็นสายใยเรืองแสงที่โยงถึงจิตวิญญาณเสียงหัวใจของเขา...ประสานกับจังหวะหัวใจของฉันอย่างไร้รอยต่อ“จงผนึกซากจันทรา…”เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นจากริมฝีปากของเขา แสงเวทสีเยือกแข็งเริ่มเรืองขึ้นจากปลายนิ้ว ค่อย ๆ ลากเป็นเส้นเวทรอบแท่นกลาง ลวดลายเวทพันกันวนซ้อน กลายเป็น ‘อักขระมังกรพันธะ’ โบราณ—อักขระที่ไม่มีผู้ใดยุคนี้อ่านออก…นอกจากเขาเพียงผู้เดียวฉันหลับตาลง ปล่อยให้จิตเงียบลงจนหมด เหลือเพียงหนึ่งเดียว—ภาพของเขาที่ชัดเจนที่สุดในใจเส้นเวทวนทบซ้อนกันเป็นรูป ‘อักขระมังกรพันธะ’ ซึ่งไม่เคยมีใครในยุคนี้อ่านออกได้นอกจากเขา“ด้วยเส้นชะตาที่ผูกพัน…”“ด้วยหัวใจที่มิได้เลือกเพียงชาตินี้…”“จงคื
ลมหิมะยามเช้าเอื่อยพัดผ่านช่องหน้าต่าง แสงอ่อนจากผลึกเวทสีเงินวาวสาดลงบนผืนพรมขนสัตว์สีเทาอ่อนที่ปูอยู่กลางห้อง ฉันยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกทรงสูง บิดตัวน้อย ๆ ให้มั่นใจว่าเกราะเวทเบาเข้ารูปสีขาวเงินที่สวมอยู่แนบตัวพอดีทุกส่วนสายคาดเอวสีเทาอ่อนปักลายจันทร์เสี้ยวไขว้ทับด้านหน้า ผ้าคลุมยาวสีเงินชายผ้าคลุมยาวจนแตะข้อเท้า พาดจากไหล่ซ้ายลงไปด้านหลังอย่างสง่างาม ถุงมือเวทสีขาวไข่มุกสวมเฉพาะมือขวา เพื่อเปิดการสัมผัสเวทร่วม และปลายผมของฉันถูกรวบด้วยปิ่นเวทผลึกสีฟ้า...ที่เขาเป็นคนสวมให้ฉันเมื่อคืน...แค่คิดถึงสัมผัสของเขาบนเส้นผม ฉันก็เผลอยิ้มเสียงขยับผ้าเบา ๆ ด้านหลังทำให้ฉันหันกลับไปมอง—ภาพที่เห็นคือเขา...หลงอวิ๋นกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะไม้แกะสลัก จัดเกราะชิ้นสุดท้ายเข้าที่อย่างเงียบ ๆเขาสวมเสื้อคลุมเวทชั้นในสีดำแนบตัว พาดทับด้วยเกราะหน้าอกสีเงินเข้มที่สลักอักขระเวทน้ำแข็ง และเสื้อคลุมสีเทาน้ำแข็งชายยาวลากพื้น ด้านในเป็นเส้นด้ายเวทสีฟ้าประกายปลอกแขนและถุงมือเวทสีน้ำเงินเข้มแนบข้อมือ และผ้าคาดเอวปักตราประจำตระกูลมังกรน้ำแข็งทับด้วยดาบประจำตัวสีเงิ
หลงอวิ๋นกวาดสายตามองไปรอบห้องโถงประชุม ดวงตาสีฟ้าของเขานิ่งลึก ยากจะคาดเดาได้ว่าภายในใจเขากำลังสั่นไหวเพียงใด“มีผู้ใดสงสัยในแผนหรือไม่”น้ำเสียงของเขาดังชัดในห้องประชุมหินน้ำแข็ง ความเงียบโรยตัวลงอีกครั้ง ราวกับแม้แต่ลมหายใจก็ลังเลที่จะดังขึ้นแม่ทัพเถาอู่ขยับตัวเล็กน้อย แต่เพียงแค่พยักหน้า ก่อนกล่าวเสียงหนักแน่น“กองกำลังพร้อมแล้วพะยะค่ะ ไม่มีข้อสงสัยใด”เจิ้งอู่ที่ยืนอยู่ใกล้แผนภาพเวทบนโต๊ะเอ่ยขึ้นเสริม“กองรบแนวหน้าจะเริ่มเคลื่อนพลล่วงหน้าในคืนนี้ ส่วนหน่วยซึมลึกผ่านอุโมงค์ จะเริ่มลงจุดตามแผนตั้งแต่ยามก่อนรุ่งอรุณ”หลงอวิ๋นพยักหน้า ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงต่ำเยือกเย็น—แต่มั่นคง“ถ้าแผนหลักล้มเหลว…”เขาหยุดมองหน้าทุกคนทีละคน—รวมถึงฉัน“แผนสำรองคือการเร่ง ‘พันธะผนึก’ ระหว่างข้ากับเอลาเรียทันที”“นั่นจะทำให้พลังของเราเชื่อมถึงกันได้ลึกยิ่งขึ้น แม้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่พลังสั่นสะเทือนของข้าอาจทำลายแท่นเวทก่อนมันจะกลืนข้า”เสียงฮือฮาเบา ๆ ดังขึ้นจากมุมแม่ทัพสายเวท แต่ก็เงียบลงทันทีเมื่อหลงอวิ๋นปรายตามอง
ห้องประชุมเงียบไปอีกครั้งความกล้าของฉันอาจดูบ้าบิ่นในสายตาใครหลายคนแต่ไม่มีใครรู้...ว่าหัวใจฉันมันดื้อแค่ไหนแล้วทันใดนั้นเอง—“ดูเหมือนการประชุมจะเข้มข้นขึ้นนะ…”เสียงทุ้มต่ำและเรียบนิ่งดังขึ้นจากประตูด้านในบานประตูน้ำแข็งที่ควรจะถูกผนึกไว้ด้วยเวทรุนแรง…กลับเปิดออกอย่างไร้เสียง ด้วยแรงเวทที่หนักแน่นแต่แผ่วเบาเงาร่างสูงระหงในชุดคลุมดำล้วนก้าวเข้ามาอย่างสงบนิ่งผ้าคลุมของเขาทอดยาวสะบัดเบา ๆ กับพื้นหินเย็นเยียบ ปักลายมังกรดำด้วยด้ายเงินวาววับ เงามันราวกับสะท้อนแสงจากห้วงอเวจีต่างหูข้างเดียวที่เขาสวมไว้สะท้อนแสงเทียนเป็นประกาย...และดวงตาสีแดงเข้มราวเถ้าถ่านจับจ้องมาที่ฉัน—เพียงคนเดียว“เจ้าช่างกล้าจริง ๆ ...เจ้ามนุษย์น้อย”ไคเซอร์ ดราโคนิส—องค์ชายดำแห่งแดนเหนือเขาก้าวผ่านเหล่าแม่ทัพอย่างไม่แม้แต่จะปรายตามองใคร ร่างสูงสง่าของเขาหยุดลงหน้าฉัน พร้อมแรงกดดันที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ทั่วห้อง“อย่าได้หลงคิดว่า
🌑 เบื้องหลังม่านเงา – ราชินีแห่งความมืดณ อาณาจักรเร้นใต้ผืนเงาแห่งภูผาหมอกโลกันต์ห้องพิธีศักดิ์สิทธิ์ของราชินีเซรีฟิน่า ด้านบนคือเพดานโค้งที่สลักเวทอักษรโบราณคดเคี้ยวราวงูเงา รอบห้องมีเพียงแสงจากตะเกียงวิญญาณเรืองรอง—และเสียงลมหายใจหนักแน่นของสัตว์ร้ายใต้ผิวโลกกลางห้อง...คือ เส้นวงเวทผนึก รูปลักษณ์ซับซ้อน ทำจากหยาดเลือดมังกรบริสุทธิ์ และใจกลางวงเวทนั้น—คือ ผลึกดำทรงกลม ที่มีเกล็ดน้ำแข็งแฝงอยู่ภายในภายในผลึกนั้น…คือหัวใจของมังกรโบราณ—เนรูไซร์พญามังกรผู้มีฤทธิ์สะท้อนคำสาปแห่งดวงจันทร์พญามังกรที่หลับใหลมานานนับพันปีและกำลัง...จะตื่นขึ้นเซรีฟิน่ายืนอยู่หน้าแท่นพิธี ชุดคลุมสีม่วงดำของเธอปักด้วยด้ายเงินรูปเสี้ยวจันทร์ และเกล็ดมังกรน้ำแข็งเรือนผมสีเงินดำของเธอทิ้งลงมาถึงแผ่นหลัง ริมฝีปากแดงดั่งเลือดที่ไม่หลั่ง...ขยับแผ่วเบา“หลงอวิ๋น...”เสียงของเธอเบาหวิว เหมือนความคิดที่ไม่เคยหลุดพ้นไปจากจิต“เจ้
ฉันยืนอยู่ตรงระเบียงด้านตะวันออกของหอจันทราลมเย็นพัดผ่านแผ่วเบา กลิ่นหิมะบาง ๆ ลอยมากับอากาศ เจ้าหยกหิมะกลิ้งตัวหลับข้างหมอน ขณะที่หลงอวิ๋นยืนเงียบอยู่ข้างหน้าต่าง มองท้องฟ้าสีเงินนิ่งงัน“ข้าอยากฟังคำทำนายของเจ้า”เสียงของเขาทุ้มต่ำแต่นุ่มนวล“เจ้าบอกว่ามีบางสิ่ง...กำลังจะตื่นขึ้น?”ฉันพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเล่าให้เขาฟังถึงไพ่สามใบที่ฉันเปิดเมื่อเช้า ภาพแสงวาบจากไพ่ยังติดตา และเสียงก้องในหัวฉันก็ยังไม่หายไปไหน“มีบางอย่างที่ถูกผนึกไว้...มันไม่ควรถูกปลุกขึ้นมา” ฉันพูดเสียงแผ่ว“แต่ตอนนี้...มันเริ่มสั่นไหวแล้ว”หลงอวิ๋นนิ่งไปชั่วขณะ นิ้วเรียวยาวของเขาประสานกันแน่นอยู่เบื้องหน้า ดวงตาสีฟ้าของเขามีแววครุ่นคิดลึกซึ้ง และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นก็เปล่งประกายอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน“ข้าเคยได้ยิน...ตำนานของมังกรดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่ง”“ถูกผนึกไว้ใต้ทะเลสาปจันทรา ตั้งแต่ยุคแห่งความแตกแยก”ฉันเงยหน้าขึ้น ดวงตาเบิกกว้างทะเลสาปจันทร