ม่านควันจางเริ่มสลาย
ราวกับจิตวิญญาณของโลกในมิตินี้กำลังถอนหายใจ
หญิงสาวในชุดหนังรัดรูปสีดำเดินฝ่าฝุ่นเวทที่ยังลอยฟุ้งอยู่กลางอากาศเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัวใด ๆ แม้เปลวเพลิงจากไคเซอร์จะยังแฝงไอร้อนอยู่รอบกาย หรือม่านน้ำแข็งของหลงอวิ๋นจะยังไม่สลาย
เธอเดินตรงไปหาไคเซอร์ทันที...เหมือนไม่มีใครอื่นอยู่ในบริเวณนั้น
“ท่านทำอะไรเนี่ย? จะทำลายปราสาททิ้งรึไงห๊ะ?”
เสียงของเธอดังขึ้น เรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงนั้นปะปนไปด้วยความไม่พอใจที่เก็บไว้
ไคเซอร์ยืนนิ่งอยู่กลางเศษเปลวไฟที่เพิ่งมอด ชายเสื้อคลุมสีดำแดงสะบัดตามแรงลม ดวงตาสีแดงของเขาสบกับดวงตาคมเฉียบของเธอ
เขาไม่พูดอะไร... ไม่ขยับหนี และไม่มีแม้กระทั่งแววโกรธเคืองมีเพียงรอยยิ้มบางที่มุมปาก…ราวกับเขารอการปรากฏตัวของเธอ
แววตาแดงทับทิมทอแสงวาวเหมือนเด็กชายที่ได้พบของเล่นโปรดอีกครั้ง
“ท่านยืนเฉยให้ฉันด่าอีกแล้วนะ ไคเซอร์”
“ไม่เบื่อบ้างหรือไง?”
หญิงสาวบ่นต่อ ขณะเดินเข้าใกล้เขาอีกสองก้าว
ไคเซอร์ก้มหน้าลงเล็กน้อย ลมหายใจของเขาแผ่วเบ
เสียงปะทะของพลังเวทยังคงกึกก้องกลางสวนที่ครั้งหนึ่งเคยสงบ เอลาเรียยืนอยู่เบื้องหลังแนวโล่เวทของหลงอวิ๋น แสงจากสร้อยจันทราเสี้ยวบนคอเธอร้อนวาบขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทันใดนั้น เหมือนช่วงเวลาบนโลกชะงัก...หัวใจของเธอสั่นสะท้านในเสี้ยววินาทีนั้น เธอเห็นมันชัดเจนราวกับเวลาหยุดหมุน —ตำแหน่งของหลงเทียนเจินในอีกสามวินาทีข้างหน้าโดยสัญชาตญาณ พลังเวทบางอย่างตื่นขึ้นจากก้นบึ้งของสายเลือด ริมฝีปากของเธอขยับ ร่ายคาถาที่ไม่เคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน แต่กลับลื่นไหลจากลิ้นราวกับเคยเอ่ยพันครั้ง“Il'shalu va Nahar'ath…”(จงชำแหละเงาแห่งอนาคตด้วยแสงของพระจันทร์)มือของเอลาเรียเปล่งแสงขึ้นทันที สายพลังสีเงินพุ่งออกจากฝ่ามือ พุ่งตรงไปยังจุดที่หลงเทียนเจินกำลังจะเคลื่อนไหว—แม่นยำ ราวกับชะตาถูกขีดเขียนไว้แล้วแสงปะทะเข้ากับร่างของหลงเทียนเจิน เสียงร้องคำรามของเขาดังลั่น เขาชะงักกลางอากาศ ร่างหยุดนิ่งเสี้ยววินาที—และนั่นคือโอกาสของหลงอวิ๋นพายุหิมะหมุนวนขึ้น
เสียงระฆังศึกดังก้องเหนือสนามรบของราชสภา หิมะสีขาวที่เคยสงบ—บัดนี้เปื้อนสีเลือด และบนยอดหอราชครูคือภาพที่ไม่มีใครกล้าจินตนาการองค์จักรพรรดิ์กับพระราชินีถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่เวทสีดำสนิทข้างกายคือชายหนุ่มในอาภรณ์สีทองเฉิดฉาย—องค์ชายหลงเทียนเจิน องค์ชายลำดับที่หนึ่ง ผู้ที่เคยเป็นที่รักของเหล่าขุนนาง...แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้นำกองทัพกบฏ“หยุดการต่อสู้ซะ—มิฉะนั้นราชบัลลังก์จะไร้กษัตริย์โดยสิ้นเชิง!!”เสียงของหลงเทียนเจินดังชัด เหนือศีรษะของเขา โล่เวทสีทองเรียงรายล้อมเป็นกำแพงพลังแน่นหนากองทัพรักษ์เกราะทอง ของเขายืนเรียงแถวเป็นระเบียบดุจแผ่นเหล็กกลางสนามรบด้านล่าง—เสียงฝีเท้าหนักกระแทกกับพื้นน้ำแข็ง ขณะที่แม่ทัพเจิ้งอู่ควงหอกพายุฟาดแนวทัพกบฏเปิดทาง ข้างเขาคือชายผมยาวสีดำในเกราะสีน้ำเงินเข้มดั่งท้องฟ้ายามราตรี—แม่ทัพไป๋หลง ผู้ใช้กระบี่เดี่ยวฟาดวงเวทกลางอากาศได้ราวกับตัดกระดาษท่ามกลางเสียงเวทปะทะ แรงกระแทกระเบิด และเสียงคำรามของมังกรเวท ร่างของชายผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีฟ้
กลีบดอกลูเมียร์ไนท์โปรยปรายอย่างแผ่วเบาดอกไม้แห่งจันทราที่เบ่งบานได้เฉพาะในสวนชั้นใน—ยามค่ำคืนเมื่อมีเวทอุ่นจากผู้สืบสายเลือดมังกรจันทราเท่านั้นฉันนั่งอยู่ใต้ซุ้มไม้เงียบ ๆ บนม้านั่งหินเย็นในมือมีถ้วยชาร้อนที่หลงอวิ๋นชงให้ด้วยตนเอง กลิ่นหอมของกลีบลาเวนธาและผลเบอร์วินจันทร์ลอยฟุ้งคล้ายจะกล่อมความคิดให้เงียบลงแต่ไม่มีอะไรเงียบลงจริง ๆหัวใจของฉันยังคงสั่นไหวตั้งแต่เรากลับมาถึงพระราชวังจันทราหิมะที่กลายเป็นดินแดนเย็นยะเยือกและเต็มไปด้วยความเงียบที่ไม่น่าไว้วางใจ“ข้าต้องกลับไป...”“นั่นคือวังของข้า และข้าต้องเผชิญหน้ากับมัน เพื่อปกป้องเจ้าให้ได้”เสียงของเขา...ยังดังก้องอยู่ในความคิดของฉันเสียงฝีเท้าบนทางเดินหินดังแผ่ว ๆฉันหลุดออกจากความคิดเมื่อเห็นเขาเดินมาทางฉัน หลงอวิ๋นในเสื้อคลุมบางสีเงินอ่อน ผมยาวปล่อยสยายเล็กน้อยเพราะลม ไม่มีมงกุฎ ไม่มีอาภรณ์ราชวงศ์ มีเพียงดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ที่เต็มไปด้วยเงาของคำมั่นสัญญาเขานั่งลงข้างฉัน เงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไร
ม่านควันจางเริ่มสลายราวกับจิตวิญญาณของโลกในมิตินี้กำลังถอนหายใจหญิงสาวในชุดหนังรัดรูปสีดำเดินฝ่าฝุ่นเวทที่ยังลอยฟุ้งอยู่กลางอากาศเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัวใด ๆ แม้เปลวเพลิงจากไคเซอร์จะยังแฝงไอร้อนอยู่รอบกาย หรือม่านน้ำแข็งของหลงอวิ๋นจะยังไม่สลายเธอเดินตรงไปหาไคเซอร์ทันที...เหมือนไม่มีใครอื่นอยู่ในบริเวณนั้น“ท่านทำอะไรเนี่ย? จะทำลายปราสาททิ้งรึไงห๊ะ?”เสียงของเธอดังขึ้น เรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงนั้นปะปนไปด้วยความไม่พอใจที่เก็บไว้ไคเซอร์ยืนนิ่งอยู่กลางเศษเปลวไฟที่เพิ่งมอด ชายเสื้อคลุมสีดำแดงสะบัดตามแรงลม ดวงตาสีแดงของเขาสบกับดวงตาคมเฉียบของเธอเขาไม่พูดอะไร... ไม่ขยับหนี และไม่มีแม้กระทั่งแววโกรธเคืองมีเพียงรอยยิ้มบางที่มุมปาก…ราวกับเขารอการปรากฏตัวของเธอแววตาแดงทับทิมทอแสงวาวเหมือนเด็กชายที่ได้พบของเล่นโปรดอีกครั้ง“ท่านยืนเฉยให้ฉันด่าอีกแล้วนะ ไคเซอร์”“ไม่เบื่อบ้างหรือไง?”หญิงสาวบ่นต่อ ขณะเดินเข้าใกล้เขาอีกสองก้าวไคเซอร์ก้มหน้าลงเล็กน้อย ลมหายใจของเขาแผ่วเบ
เสียงฝีเท้าของฉันสะท้อนเบา ๆ ไปตามโถงหินสีดำสนิท เพดานสูงเหนือหัวประดับด้วยโคมเวทที่ลุกเป็นเปลวเพลิงสีเลือดจาง…ไม่มีหน้าต่างสักบาน ไม่มีแสงจันทร์ให้พึ่งพา มีเพียงไฟและเงาฉันกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อประตูไม้ดำเบื้องหน้าเปิดออกเอง… และพาเข้าสู่ห้องโถงยาวที่มีโต๊ะอาหารไม้โอ๊คสีเกือบดำตั้งทอดยาวกลางห้องกลิ่นเครื่องเทศลอยอวล—กลิ่นคล้ายใบเถาวัลย์อัคคีผสมเครื่องเคียงจากโลกมังกรบนโต๊ะมีอาหารจัดวางอย่างประณีตแต่…ดูเย็นชามีทั้งสเต็กเนื้อมังกรภูเขาอบไฟคำสาป, ขนมปังไร้แสง,และไวน์อำพันแดง ที่เคยใช้ประกอบพิธีบูชาเทพเพลิงแต่สิ่งที่สะดุดตาสุด…คือตัวเขาไคเซอร์ ดราโคนิสนั่งอยู่ปลายโต๊ะฝั่งตรงข้ามในชุดเสื้อคลุมสีดำแซมแดงเข้มปักลายมังกรเพลิงสีดำ-ทอง คอปกสูงเสียดฟ้าและลวดลายเปลวเพลิงผมดำยาวถูกรวบหลวม ๆ ดวงตาสีแดงทับทิม…กำลังมองมาที่ฉัน“เชิญนั่ง”เขาพูดเพียงแค่นั้น แต่น้ำเสียงต่ำเย็นของเขากลับทำให้ฉันขนลุกฉันทรุดตัวลงนั่งอย่างระวัง มองอาหารตรงหน้า — ซึ่งแม้ด
ยามเช้าของโลกมนุษย์…อบอุ่นกว่าทุกวันแม้ฉันจะลืมตาตื่นพร้อมร่างเปลือยใต้ผ้าห่มแม้กล้ามแขนแข็งร้อนของเขาจะยังโอบแนบแน่นไม่ปล่อยแต่ฉันรู้ดี…ว่าวันนี้จะเป็น ‘วันสุดท้าย’ ของช่วงเวลาอันแสนหวานในโลกที่ฉันเคยเรียกว่าบ้าน...“ท่านจะคิดถึงไวน์ขวดนั้นไหม?”ฉันถามเสียงกลั้วหัวเราะ ขณะเดินจูงมือเขาไปตามถนนสายเล็ก“ข้าจะคิดถึงเจ้าตอนดื่มมันมากกว่า”เขาตอบเรียบ ๆ แต่สายตาที่มองมามีเพียงฉัน มือเขาจับมือฉันแน่น — ไม่ยอมปล่อยแม้แต่ก้าวเดียว...เมื่อเรากลับมาถึง Omnibite —พี่ยำยืนอยู่ตรงประตูหลังร้านเหมือนรออยู่แล้ว ในมือถือแก้วกาแฟ ในตาก็คล้ายจะมีน้ำ“กลับกันจริง ๆ เหรอ…”เขาว่าเสียงอ่อย ก่อนจะทำหน้ามุ่ยแบบที่ฉันคุ้นเคย“แค่กลับมิติน่ะ ไม่ได้หายไปตลอดกาลหรอกน่า” ฉันยิ้ม“ถ้ามีโอกาส…ฉันจะชวน ‘มังกรของฉัน’ มาเยี่ยมอีกแน่นอน”พี่ยำหันขวับไปมองหลงอวิ๋น ซึ่งตอนนี้แต่งตัวเป็น