ไม่ต้องให้ถูซินเยว่รอนาน ซูจื่อหังลุกขึ้นยืนที่ข้างเตียงแล้วเขาหันศีรษะมา สีหน้าเย็นชาเล็กน้อย นัยน์ตาแจ่มชัดจ้องมองไปยังซูเฟิ่งอี๋ แล้วเอ่ยถาม "พวกท่านเสียเงินไปเปล่า ๆ เพื่อส่งเสียข้าเรียนหนังสืองั้นหรือ? แล้วเงินเบี้ยเลี้ยงห้าร้อยอีแปะที่ได้รับจากอำเภอทุกเดือนล่ะ ไม่ใช่ว่าเข้ากระเป๋าพวกท่านหรอกหรือ? เงินที่ข้าแต่งภรรยา พวกท่านได้ควักสักแดงเดียวหรือ?"นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเฟิ่งอี๋เห็นซูจื่อหังแสดงสีหน้าเยือกเย็นเช่นนี้ เธอสะดุ้งไปเล็กน้อย แต่ก็โต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ "ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เจ้าจะให้พวกข้าเลี้ยงนางหยูไว้อย่างเปล่าประโยชน์ไม่ได้ แล้วยังต้องเสียเงินค่ารักษาให้นางอีก""ถูกต้อง" แม่เฒ่าตระกูลซูยิ้มเยาะ "มือของแม่เจ้าพิการ ต่อไปก็ไม่สามารถเชือดหมูเชือดไก่ หรือทำนาได้อีก แล้วจะเลี้ยงนางไว้ทำไม? หมอหลี่บอกแล้วไม่ใช่รึว่าคงไม่ตายเร็ว ๆ นี้ ยังดึงดันจะมาเสียเงินซื้อยาให้นางอีก ตระกูลซูของเรายากจน ไม่มีเงินซื้อยาให้นางหรอก"เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ แม่เฒ่าตระกูลซูจู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเสียงประชดประชันว่า "จื่อหัง จิตใจกตัญญูที่จะดูแลรักษาแม่ที่ป่วยของเจ้า พวกข้าไม่ขัดขวาง เพียงแต่ว่าเงิ
ซู่จื่อหังพูดอย่างเย็นชา "ในเมื่อพวกท่านปฏิเสธที่จะช่วยแม่ของข้า ต่อไปข้าก็จะไม่มอบเงินให้พวกท่านอีก"แม่เฒ่าซูได้ยินดังนั้น ก็รีบเคาะไม้เท้าเสียงดัง ใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียด"จื่อหัง เจ้าอยากแยกบ้านงั้นรึ?""เป็นเช่นนั้น" ซู่จื่อหังพยักหน้าโดยไม่ปฏิเสธทันทีที่คำพูดออกจากปาก ไม่เพียงแต่คนอื่น ๆ ที่ตกตะลึง แม้แต่ถูซินเยว่ที่กำลังนั่งอยู่บนม้านั่งเนื้อคนก็ผงะไปเล็กน้อยแยกครอบครัว?เธอเงยหน้าขึ้นและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งหากจำไม่ผิด การแยกครอบครัวในชนบทสมัยโบราณถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายคิดไม่ถึงว่าซูจื่อหังอายุยังน้อย จะมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้ถูซินเยว่รู้สึกทึ่งไม่น้อยถูซินเยว่รู้สึกทึ่ง แต่แม่เฒ่าตระกูลซูนั้นถึงกับขนหัวลุกเลยทีเดียวที่ผ่านมานางเห็นว่าซูจื่อหังเป็นปัญญาชนที่มีการศึกษา แม่เฒ่าตระกูลซูจึงไม่กล้าใช้กำลังกับเขา แต่ทว่าตอนนี้นางยกไม้เท้าขึ้นในมือแล้วเหวี่ยงใส่ซูจื่อหังเต็มแรง"เจ้าคนอกตัญญู ข้ากับปู่เจ้ายังไม่ตายก็คิดจะแยกบ้าน ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วรึ"ไม้เท้าทำจากไม้มีน้ำหนักไม่น้อย เมื่อกระแทกเข้าใส่หัวของซูจื่อหังก็ส่งเสียงดังกึกเสียงนั้น ถูซินเ
หลังจากเช็ดหน้าให้นางหยูแล้ว ซูจื่อหังก็เปลี่ยนเสื้อผ้า แบกตะกร้าขึ้นหลังแล้วพูดกับถูซินเยว่ว่า "เจ้ารออยู่ที่นี่ หากว่าพวกท่านย่ามาระรานเจ้าอีก เจ้าก็ลงกลอนประตูซะ บนโต๊ะมีไข่ไก่อยู่สองฟอง เจ้าก็กินซะเถอะ ท่านแม่บาดเจ็บอยู่กินไข่ไม่ได้"ถูซินเยว่พยักหน้าอย่างว่าง่าย มองดูซูจื่อหังที่แบกตะกร้าอยู่ อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า "เจ้าจะไปไหน""ไปบนเขา" ซูจื่อหังไม่ปิดบังเธอ กล่าวต่อว่า "ท่านแม่เสียเลือดมาก ข้าจะไปดูว่ามีอะไรพอจะมาบำรุงท่านแม่ข้าได้บ้าง"ถูซินเยว่ชะงัก "เจ้าจะขึ้นไปบนภูเขา?"ซูจื่อหังเป็นลูกกตัญญูจริง ๆ แต่ปกติเขาคุ้นเคยอยู่แต่กับการใช้เวลาอยู่ในห้องหนังสือ ขึ้นไปบนเขาคนเดียวจะไม่มีปัญหาจริง ๆ หรือ?ถูซินเยว่แสดงความสงสัยเมื่อมองดูรูปร่างซูบผอมของอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าซูจื่อหังกำลังจะเปิดประตูออกไป ถูซินเยว่ก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า "ข้าไปกับเจ้าด้วย""เจ้าจะไปด้วย?" ซูจื่อหังเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง แล้วพูดหลังจากนั้นชั่วครู่ "บนภูเขาไม่มีอะไรน่าสนุก แถมปีนเขาก็เหนื่อย ข้าว่าเจ้า....""ไม่ ข้าจะไปด้วย" ถูซินเยว่กล่าวอย่างหนักแน่นโดยไม่รอให้ซูจื่อหังตอบ เธอก็กลับไปเปิดหีบใส่ขอ
ถูซินเยว่โบกกำปั้นเล็ก ๆ ของเธอภายใต้แสงแดด ดวงตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยแววเจ้าเล่ห์ พูดจาคล่องแคล่วเสียงสดใส ทำให้เหล่าฝีหนองบนหน้าเธอถูกลืมไปโดยปริยายจู่ ๆ ซูจื่อหังก็รู้สึกว่าถูซินเยว่ไม่ได้อัปลักษณ์ขนาดนั้นแล้วพวกเขาทั้งสองทำข้อตกลงกันโดยปริยายว่าจะไม่พูดถึงเรื่องของถูหมิงซวนและเหลียงปินอีก ด้วยกลัวว่ามันจะมืดค่ำเสียก่อน ทั้งสองจึงรีบก้าวเดินขึ้นภูเขาหมู่บ้านต้าเย่อยู่ด้านหน้าภูเขาใหญ่ ด้านหลังเป็นภูเขาลึกและป่าเก่าแก่ที่มีใบไม้และพุ่มไม้เขียวชอุ่มอยู่ทุกหนทุกแห่งทั้งสองกำลังเดินขึ้นไปบนภูเขา ถูซินเยว่ก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า "เจ้าจะไปเก็บอะไร? หรือว่าจะล่าสัตว์กลับไป?"ซูจื่อหังซึ่งปกติอยู่แต่ในห้องหนังสือท่าทางองอาจผ่าเผยตอนนี้ขมวดคิ้วขึ้น รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย ที่จริงแล้วตั้งแต่จำความได้ นางหยูให้เขาอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือตลอด ปกติไม่เคยให้เขาต้องทำงานเหล่านี้เลยขึ้นเขามาครั้งนี้ ก็แค่เพราะเขาเคยเห็นคนในหมู่บ้านขึ้นมาล่าสัตว์ได้กลับไปเป็นครั้งคราว ดังนั้นเขาจึงอยากลองมาเสี่ยงโชคดูบ้าง"บนเขานี้มีเลียงผา แต่ปกติไม่ค่อยได้เห็น ข้าลองมาเสี่ยงดวงดูน่ะ" ซูจื่อหังบอ
ถูซินเยว่รูปร่างอ้วนท้วน ท่าวิ่งเหมือนลูกขนุนกลิ้งได้ ตามความจะเป็นควรจะวิ่งได้ช้าแต่ชาติก่อนเธอเป็นแพทย์ทหารจากหน่วยรบพิเศษ มักจะได้รับการฝึกฝนต่าง ๆ ในกองทัพแม้ว่าตอนนี้เธอจะอ้วน แต่ศักยภาพภายในนั้นไม่ด้อย ขณะที่หมูป่ากำลังจะวิ่งหนีมาทางเธอ ทันใดนั้นเธอก็รีบวิ่งเข้าไปขวางอีกฝ่ายหมูป่าชะงักไปชั่วขณะ ถูซินเยว่เองก็ชะงักไปเช่นเดียวกันดีมากไอ้หนู หมูป่าตัวนี้ถึงจะตัวไม่ใหญ่ แต่หน้าตาดุดันนี่คือหมูป่าสีเทาดำ เขาบนหัวสึกกร่อน หนังแข็ง ๆ ปกคลุมไปด้วยขนเล็กแข็งบางตา ขนแผงที่คอด้านหลังทั้งยาวและแข็ง ที่น่าหวาดเสียวที่สุดก็คือปากของมันมีเขี้ยวขนาดใหญ่สองอันดูคมกริบ ขณะที่กีบหน้าทั้งสองของหมูป่าจิกโคลนที่อยู่ข้างหน้าอย่างกระวนกระวาย เขี้ยวที่แหลมคมของมันก็แยกเข้าแยกออก ราวกับว่าพร้อมที่จะกินคนที่อยู่ข้างหน้ามันทุกเมื่อถูซินเยว่เลียริมฝีปากซูจื่อหังก็ดูตึงเครียด เดิมทีเขาคิดว่าหมูป่าจะวิ่งมาทางเขา นึกไม่ถึงว่ากลับวิ่งไปทางถูซินเยว่ แม้ว่าซินเยว่จะอ้วน แต่ยังไงเธอก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิง ต้องมาเผชิญหน้ากับหมูป่าเช่นนี้...เมื่อนึกได้ถึงตรงนี้ เขาก็เห็นว่าหมูป่าหมดความอดทนลงแล้วเมื่อถ
เมื่อทั้งสองคนกลับจากภูเขาก็เกือบจะค่ำแล้วเนื่องจากซูจื่อหังได้รับบาดเจ็บ ถูซินเยว่จึงช่วยประคองเขาตลอดทางกลับบ้านเมื่อมาถึงประตูบ้าน ซูจื่อหังก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า "ซินเยว่ เจ้าเอาหมูป่าไปซ่อนไว้ก่อน ถ้าท่านย่าและท่านป้าเห็นเข้า พวกเขาต้องโวยวายเป็นแน่ หลังจากขายได้เงินแล้ว ค่อยเอาไปให้พวกท่านสักขานึง”อย่างไรแล้วแม่เฒ่าตระกูลซูก็คือย่าของเขา แม้ว่าวันนี้ทั้งสองคนจะทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน แต่ซูจื่อหังก็ยังคงนึกถึงความดีที่มีอยู่บ้างของพวกเขาจึงคิดจะเก็บขาหมูไว้ให้พวกเขาสองคนเพื่อแสดงความกตัญญูถูซินเยว่พยักหน้าอย่างเชื่อฟังแต่ทันทีที่เขาผลักประตูไม้ของลานบ้านเปิดออก ใบหน้าของซูจื่อหังก็เต็มไปด้วยความตระหนก หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็วิ่งเข้าไปในลานบ้านโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บ"ท่านแม่ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม"เกิดอะไรขึ้น?ถูซินเยว่รู้สึกงุนงง จึงเดิมตามหลังซูจื่อหังไปเมื่อเธอเห็นนางหยูนอนเหยียดอยู่ที่ทางเข้าลานบ้าน ก็ตกใจเช่นเดียวกันก่อนไปยังเห็นนางหยูนอนอยู่บนเตียงในห้องอยู่เลยนี่นา ทำไมจู่ ๆ นางถึงไปนอนอยู่ที่หน้าประตูลานบ้านได้ล่ะ?เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นแม่เฒ่าแห่งบ้านตระ
แน่นอนว่าถูซินเยว่จะไม่ทำร้ายซูเฟิ่งอี๋จนถึงตาย หากตายขึ้นมาเธอต้องถูกส่งตัวไปกินข้าวคุกในอำเภอไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองเข้าแลกกับเศษสวะเช่นนี้เธอยืนขึ้นแล้วเดินไปยังซูจื่อหังที่ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง แล้วพูดว่า "มาอุ้มท่านแม่ออกไปด้วยกันเถอะ"ในเมื่อตระกูลซูไล่พวกเขาไป ถูซินเยว่จึงไม่หน้าด้านหน้าทนพอที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปซูจื่อหังพยักหน้า เหลือบมองซูเฟิ่งอี๋บนพื้นที่พยายามลุกแต่ก็ลุกไม่ขึ้น แล้วจึงหันไปมองมือของถูซินเยว่ จู่ ๆ ก็ถามขึ้นว่า "มือเจ้าเจ็บหรือเปล่า?"“ฮะ?” ถูซินเยว่ตะลึงงัน ลูบฝ่ามือของตัวเองโดยไม่รู้ตัวจะว่าไป เมื่อครู่เธอเองก็ไม่ได้รู้สึก แต่เมื่อถูกซูจื่อหังถามขึ้นเช่นนี้ เธอก็รู้สึกเจ็บแปลบอยู่ที่ฝ่ามือเล็กน้อยเพราะอย่างไรแล้วการตบกว่าสิบครั้งนั้น ก็เกิดแรงปะทะขึ้นทั้งสองฝ่าย“ดูเหมือนจะเจ็บนิดหน่อยน่ะ” ถูซินเยว่ยิ้มโง่ให้ซูจื่อหังสองทีซูจื่อหังกล่าวต่อว่า "คราวหน้าถ้าเจ้าจะตบตีใคร ก็อย่าใช้มือตัวเอง หาคนอื่นมาช่วยดีกว่า""ได้" ถูซินเยว่พยักหน้าอย่างจริงจัง เมื่อครู่เธอกำลังโกรธจึงไม่ได้คิดอะไรมากในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน พวกเขาก็อุ้มนางหยูขึ้น และเดินไปที่
"แล้วหมูป่าตัวนั้นล่ะ?" ถูซินเยว่ถามขึ้นด้วยความสงสัยหลังจากมาถึงที่นี่เมื่อวาน ถูซินเยว่ก็วางหมูป่าไว้ในบ้าน ตอนนี้กลับไม่เห็นมันแล้ว“เมื่อเช้าข้าตื่นแต่เช้า จัดการฆ่าหมูป่าเสร็จแล้ว เดี๋ยวหลังจากกินข้าวเสร็จก็จะเอาไปขายที่โรงเตี๊ยมในตลาด" ซูจื่อหังดันข้าวต้มไปข้างหน้าถูซินเยว่ และตอบอย่างใจเย็นหัวใจของถูซินเยว่รู้สึกอบอุ่นเดิมทีคิดว่าได้สามีที่เป็นบัณฑิต คงไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเชือดคอไก่ วัน ๆ คงได้แต่อ่านหนังสือทำอะไรไม่เป็นสักอย่างแต่หลังจากอยู่ด้วยกันได้เพียงแค่วันเดียว ตอนเช้าพอตื่นขึ้นมา ซูจื่อหังก็ทำความสะอาดบ้าน ฆ่าหมูป่า และทำอาหารเช้าไว้เรียบร้อยแล้วจึงจะปลุกให้เธอตื่นมากินข้าวถูซินเยว่รู้สึกได้ทันทีว่าเธอได้พบกับสมบัติอันล้ำค่า คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอผู้ชายที่แสนดีเช่นนี้เธอตั้งปณิธานไว้ในใจว่าจะต้องลดน้ำหนักให้สำเร็จ ก่อร่างสร้างตัวให้ร่ำรวย และกอดสามีของเธอไว้ให้แน่น ๆหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ถูซินเยว่ก็ช่วยเปลี่ยนผ้าพันแผลให้นางหยู เมื่อเห็นซูจื่อหังแบกหมูป่าไว้บนหลังกำลังจะออกไปข้างนอก เธอก็รีบพูดขึ้นอย่างกระตือรือร้น "ข้าอยากไปด้วย"เธอยังไม่เคยไปตลาดน