Share

บทที่ 5 พวกญาติผีดูดเลือด

ทุกคนต่างคิดว่านางหยูเจ็บเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าการล้มครั้งนี้จะเป็นการเจ็บหนัก

เมื่อซูจื่อหังอุ้มนางหยูเดินขึ้นมา ด้านหลังศีรษะของนางหยูถูกก้อนหินกระแทกแตกเห็นเป็นโพรง เลือดไหลพุ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต แขนของนางก็ถูกไม้แหลมแทง น่าสยดสยองยิ่งนัก

ไม่มีสิ่งใดจะเล็ดลอดสายตาคนในหมู่บ้านไปได้ เรื่องที่นางหยูหกล้มกระจายไปทั่วหมู่บ้านในชั่วพริมตาเดียว

หน้าบ้านของตระกูลซูเต็มไปด้วยฝูงชนที่แห่มามุงดู เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านทราบเรื่อง ก็ได้ไปตามหมอหลี่จากท้ายหมู่บ้านมา

"กรุณาหลีกทางด้วย หลีกทางด้วย" ผู้นำหมู่บ้านตะโกนเสียงดัง ฝูงชนก็แบ่งออกเป็นสองฝั่งราวกับกระแสน้ำแยก

เขาเดินก้าวยาวเข้าไปในลานบ้าน ซูจื่อหังรีบวิ่งพรวดออกมาจากห้องพร้อมกับทำมือคำนับ "ขอบคุณท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านหมอหลี่รีบเข้าไปเถอะ ท่านแม่ข้า...."

อาการของนางหยูหนักเอาการ เลือดที่ไหลบนหัวของนางหยุดแล้ว แต่แขนขวาของนางยังมีเลือดไหลริน ดูท่าแล้วอาจจะใช้การไม่ได้อีก

หัวหน้าหมู่บ้านรู้ว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน ก็ไม่ได้ทักทายอะไรมากนักกับตระกูลซู รีบพาหมอหลี่เข้าไปข้างในโดยเร็ว

ภายในห้องเล็ก ๆ นางหยูนอนอยู่บนเตียงไม่รู้สึกตัว ใบหน้าและลำตัวของนางเต็มไปด้วยเลือด ริมฝีปากของนางขาวซีดราวกับผี แต่มือของนางกลับกำกระดาษแผ่นหนึ่งไว้แน่น หัวหน้าหมู่บ้านออกแรงดึงกระดาษออกมาก็พบว่าเป็นเกิงเทีย (ใบที่บันทึกวันเดือนปีเกิดของคู่หมั้น) ของถูซินเยว่

เรื่องที่เมื่อวานตระกูลถูแต่งงานผิดฝาผิดตัว เขาก็ได้ยินมาบ้างแล้ว มาวันนี้เมื่อเห็นใบเกิงเทียนี่ ก็พอจะคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้

หัวหน้าหมู่บ้านกระแอมขึ้นหนึ่งที วางเกิงเทียลงบนโต๊ะอย่างเงียบ ๆ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็พบกับดวงตาที่สดใสคู่หนึ่ง

กลับพบว่าเป็นหลานคนโตของตระกูลถูใส่ชุดสีแดงนั่งยอง ๆ อยู่ตรงมุมห้อง เมื่อเห็นว่าหัวหน้าหมู่บ้านมองมา เธอก็รีบแสยะยิ้มโง่ ๆ ใส่ เมื่อเห็นสีชาดแดงสดเต็มหน้าที่เหมือนผีของเธอ หัวหน้าหมู่บ้านกระตุกมุมปากเล็กน้อย ลูกสะใภ้ที่อัปลักษณ์เช่นนี้ ไม่น่าแปลกที่นางหยูจะตกใจจนสะดุดตกคันนา

ถูซินเยว่ก็เป็นแค่หญิงสติไม่ดี หัวหน้าหมู่บ้านจึงไม่ได้สนใจอีกฝ่าย แล้วหันไปหาซูเฟิ่งอี๋และคนอื่น ๆ เพื่อสอบถามเหตุการณ์

เขาที่หันไปแล้ว จึงไม่ได้เห็นว่าหญิงสาวที่อยู่มุมห้องจู่ ๆ ก็ตาเป็นประกายขึ้นมา

“วันนี้มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมนางหยูอยู่ดี ๆ ถึงได้ตกลงไปที่คันนาได้?" หัวหน้าหมู่บ้านยืนอยู่ตรงหน้าซูเฟิ่งอี๋ แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ซูเฟิ่งอี๋ที่ปิดปากเงียบมาตลอดกลับกระโดดโหยงราวกับถูกเหยียบหาง "เจ้าหมายความว่าอะไรกัน?" นางกลิ้งตกคันนาก็จะมาโทษข้างั้นหรือ? นางเดินไม่ดูตาม้าตาเรือ มีสิทธิ์อะไรมาโทษข้า?"

ฝอยน้ำลายปลิวไปรอบทิศ หัวหน้าหมู่บ้านรีบถอยหลังหลบไปสองก้าว

ถึงขนาดนี้แล้ว คำพูดของซูเฟิ่งอี๋ก็ยังคงไม่น่าฟัง ซูจื่อหังที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงเม้มปากแน่น ร่องรอยของความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา

ซูเฟิ่งอี๋ยิ้มหยันอีกครั้ง "ถ้าท่านไม่เชื่อข้าล่ะก็ คำพูดของจื่อหังท่านน่าจะเชื่อนะ ท่านลองถามจื่อหังดูสิ วันนี้ข้าได้แตะแม่ของเขาแม้แต่ปลายก้อยหรือเปล่า?"

แม่เฒ่าตระกูลซูซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ขมวดคิ้วเริ่มพูดขึ้นว่า "ลูกสะใภ้ของลูกชายคนรองของข้าเดินไม่ดูตาม้าตาเรือ เกี่ยวอะไรกับเฟิ่งอี๋? หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านกำลังสอบปากคำนักโทษอยู่หรือไง?"

"ใช่ที่ไหนกัน ข้าก็แค่ลองถามดู” หัวหน้าหมู่บ้านรีบส่ายหัวอย่างรวดเร็ว แม่เฒ่าตระกูลซูนิสัยเจ้าเล่ห์มาโดยตลอด ขืนยังถามต่อ เกรงว่าคงต้องเกิดปัญหาแน่ ตอนนี้นางหยูยังหมดสติอยู่ ควรสนใจอาการบาดเจ็บของนางดีกว่า

หมอหลี่ดึงกิ่งไม้ออกจากแขนของนางหยูแล้ว และตอนนี้เขาก็กำลังใส่ยาและพันแผลให้นาง

"ท่านหมอหลี่ แม่ข้าเป็นอย่างไรบ้าง?" ซูจื่อหังอดไม่ได้ที่จะถาม

หมอหลี่ได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ ไม่ตอบอะไร

หัวใจของซูจื่อหังเต้นแรง ถูซินเยว่ที่นั่งหลบอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มกังวล เมื่อครู่เธอเห็นวิธีการรักษาของหมอหลี่ที่มีความเชี่ยวชาญ ตอนที่ดึงกิ่งไม้ออกมาก็ดูไม่มีอะไรผิดพลาด แต่เนื่องจากเธออยู่ไกล จึงไม่สามารถมองเห็นได้อย่างถนัดว่าท่อนไม้นั้นแทงเข้าที่ตำแหน่งของเส้นลมปราณหลักหรือไม่ นางหยูมีจิตใจดีและปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดี ถูซินเยว่ไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับนาง

เธอจ้องเขม็งไปที่หมอหลี่ รอฟังเขาพูด

กลับคาดไม่ถึงว่าหมอหลี่ยังไม่ทันจะเอ่ยปาก แม่เฒ่าตระกูลซูจู่ ๆ ก็พูดขึ้นว่า "ส่ายหน้าหมายความว่าอย่างไรกัน กำลังจะตายอย่างนั้นรึ?"

สีหน้าของซูจื่อหังนิ่งสนิท

แต่ดวงตาของซูเฟิ่งอี๋กลับเบิกกว้างและนางก็พูดว่า: "อะไรนะ กำลังจะตายอย่างนั้นหรือ? ไม่ได้นะ ไม่ได้! ท่านแม่ เมียน้องรองจะตายไม่ได้!"

สีหน้ากังวลของนางดูไม่เหมือนเสแสร้ง ทุกคนรอบตัวมองดูซูเฟิ่งอี๋ด้วยความประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าฟูเฟิ่งอี๋ที่ดูใจคอเหี้ยมโหด ยังคงมีใจเป็นห่วงนางหยู

แต่ซูเฟิ่งอี๋พูดต่อ "ท่านแม่ ถ้านางตาย ต่อไปใครจะซักเสื้อผ้าทำอาหารให้เรากิน แล้วใครจะไปทำงานในไร่นากันล่ะ!"

จบประโยคนี้ ซูจื่อหังสีหน้ามืดมนทันที

ถูซินเยว่ที่แอบอยู่ด้านข้างกระตุกมุมปาก

ปะหลาด ปะหลาดจริง ๆ จะดีหรือร้ายก็อยู่ด้วยกันมากว่าสิบปี บ้านตระกูลซูทั้งบ้านกลับเห็นนางหยูเป็นเหมือนกับสัตว์เอาไว้ใช้แรงงาน เหตุการณ์คับขันถึงขั้นนี้ ยังคิดแต่จะให้นางเป็นวัวเป็นควายอยู่รับใช้ต่อไปแค่นั้นเองหรือ

หมอหลี่ก็สีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า "นางหยูชีวิตพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่มือของนาง...ต่อให้มีชีวิตรอด แต่มือของนางคงใช้การไม่ได้อีก"

ซูจื่อหังหน้าถอดสี

แม่เฒ่าตระกูลซูและซูเฟิ่งอี๋ที่อยู่ข้าง ๆ ก็มีอาการตกใจเล็กน้อยเช่นกัน

หมอหลี่กล่าวต่อ "แม้ว่าจะช่วยชีวิตนางหยูไว้ได้ แต่สมองและมือของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส ในอีกครึ่งปีคงต้องกินยาไปตลอด"

หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวเศรษฐีผู้ร่ำรวย ชีวิตประจำวันก็แค่ต้องดื่มยาเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อเกิดขึ้นกับชาวนาผู้ยากจน กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

แม่เฒ่าตระกูลซูหน้านิ่วทันที "ครอบครัวของเราไม่มีเงินมากพอมารักษานางหรอกนะ"

“นั่นสิ นั่นสิ พวกข้าไม่ต้องการรักษานาง พิการก็พิการไปสิ ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกข้า!" ซูเฟิ่งอี๋รีบกล่าวต่อ“เงินทองของตระกูลซูของเราใช้ไปกับการแต่งงานของจื่อหังหมดแล้ว ไม่มีพอมาใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายหรอก"

"ไม่ต้องรักษง รักษามันแล้ว มือเดียวก็ใช่ว่าจะทำงานทำการไม่ได้!"

ในบ้านเล็ก ๆ โทรม ๆ ซูเฟิ่งอี๋และแม่เฒ่าตระกูลซูส่ายหน้าไม่หยุดพร้อมพูดด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ โดยปกติแล้วเรามักจะพูดถึงการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในครอบครัว แต่พอถึงช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ต่างฝ่ายกลับต่างหาวิธีหนีเอาตัวรอด

ใบหน้าของซูจื่อหังเขียวซีด มองไปที่ใบหน้าที่เย็นชาของย่าและป้าตัวเองเขากำหมัดแน่นและพูดอย่างเด็ดเดี่ยว "แม่ข้าต้องได้รับการรักษา และต้องได้รับยา"

จู่ ๆ ซูเฟิ่งอี๋ก็เหมือนกับหนูที่ถูกเหยียบหาง เธอเกือบจะกระโดดขึ้นพลางพูดอย่างเย้ยหยัน"จื่อหัง เจ้าจะเกินไปแล้วนะ บ้านเราต้องมาเสียเงินไปเปล่า ๆ เพื่อส่งเสียเจ้าเรียนหนังสือก็ลำบากเกินพออยู่แล้ว ซ้ำยังต้องมารักษาแม่ที่พิกลพิการของเจ้าอีก...." ราวกับว่านางนึกอะไรได้ จึงกวาดดวงตาเล็ก ๆ เจ้าเล่ห์มองไปรอบ ๆ บ้านหลังเล็กโทรม ทันใดนั้นก็จับจ้องไปที่ถูซินเยว่ หัวเราะเสียงแหลม "ใช่ ๆ ๆ แล้วตอนนี้ยังมีเมียสติไม่ดีของเจ้าอีกที่ต้องให้ตระกูลซูของเราเลี้ยงดู ไม่ว่ายังไงเราก็ไม่มีเงินมาจ่ายค่ายาให้แม่เจ้า หรือว่าจะต้องให้อดตายกันทั้งบ้านเพื่อเอาเงินมารักษานางหยูงั้นหรือ?"

ถูซินเยว่ที่ถูกขานชื่อกระพริบตาปริบ ๆ อย่างไร้เดียงสา พอได้ยินซูเฟิ่งอี๋พูดว่าไม่มีเงินก็อยากหัวเราะนัก เมื่อครู่ตอนเดินเข้าประตูมาเห็นอยู่ชัด ๆ ว่าหอบเงินมาในอ้อมแขน แต่ถูซินเยว่เงียบไว้ไม่พูดออกมา เพราะเธออยากจะดูว่า สามีโดยบังเอิญที่ได้มาเหมือนจับฉลากรางวัลคนนี้เป็นคนอย่างไรกันแน่ ตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับผีดูดเลือดผู้เนรคุณสองตัว เจ้าจะยอมแพ้หรือไม่

อย่างไรเสียทั้งสองบ้านก็ได้แลกเปลี่ยนเกิงเทียกันแล้ว ตอนนี้เธอก็กลายเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลซูไปแล้ว ถูซินเยว่ไม่อยากให้สามีในอนาคตของเธอเป็นคนขี้ขลาด ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางดำเนินชีวิตต่อไปได้แน่

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status