“ข้า...” นางพยายามจะตอบ แต่กลับกลายเป็นว่าพูดไม่ออก “ท่าน...สำหรับข้า...”
หยางหยางคำรามเสียงแผ่วต่ำ ก่อนเคลื่อนตัวออก
หนิงซินร้อนใจ หวาดผวา กลัวว่าความสับสนฟุ้งซ่านชั่วขณะจะทำให้เสียเรื่อง
กำลังจะเค้นเสียงตอบ กลับถูกหยัดเอวเข้าหานางอย่างรุนแรงแนบแน่น
“อ๊า!!!” นางถึงกับหลุดเปล่งเสียงน่าอายออกมาดังลั่น
“เป็นหรือไม่...” เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อย...ก่อนจะกระแทกกลับเข้ามาอีกครั้ง “ตอบสิ...”
“ฮึก...หยะ...หยุดนะ...มัน...ข้า...” คนผู้นี้กำลังจะทำให้นางเป็นบ้า!
“หรือว่าที่ไม่ตอบ เพราะอยากให้ข้าถามย้ำบ่อยๆ”
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเย้าหยอก ขณะที่ช่วงล่างถอยห่างออกเกือบสุดแล้วกระแทกกลับเข้าไปอีกครั้ง ครั้งนี้มันช่างรวดเร็ว รุนแรงกว่าครั้งไหนๆ
“ฮึก...” หนิงซินน้ำตาคลอหน่วย มือทั้งสองเกาะไหล่เขาเอาไว้ ริมฝีปากอ้าค้าง ได้แต่หอบหายใจ ก่อนครวญครางออกมาอีกครั้งอย่างไร้ความหมายเมื่อเขาพัวพันขยับเขยื้อนอีกครา อีกครา และอีกครา ท้ายที่สุด
แม้หมอหลวงสวี่จะเป็นหนึ่งในผู้ที่รั้นจะตามมาในกองทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์ ด้วยเห็นว่าชีวิตของตนเองอยู่มาจนป่านนี้ก็ไม่มีเรื่องใดให้เสียดายอีกแล้ว ห่วงแต่ว่าจะไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ท่านแม่ทัพที่ยืนกรานออกศึกด้วยตนเองหลายต่อหลายครั้ง ทว่าอยู่มาจนป่านนี้ กลับได้ข่าวว่าอนุที่เยาว์วัยที่สุดของตนเกิดตั้งครรภ์และเพิ่งจะคลอดบุตร นับๆ ดูแล้วก็มั่นใจว่าเป็นทายาทของตนเป็นแม่นมั่น แม้ใจหนึ่งอยากกลับไปรับขวัญบุตรชายที่ได้มาราวปาฏิหาริย์ แต่การศึกยังติดพัน จึงได้แต่ตั้งใจอบรมสอนสั่งหมอทหาร เพื่อให้แน่ใจได้มากขึ้นอย่างน้อยๆ ก็อีกสองส่วน ว่ากองทัพเฮยเซ่อเย่ว์ที่เกรียงไกรจะไม่สูญเสียกำลังทหารจนพลาดพลั้งแพ้พ่าย... มิใช่ว่าไม่เชื่อใจผู้นำทัพ ในฐานะผู้ที่ติดตามกองทัพมาทั้งที่ไร้วรยุทธป้องกันตัว สวี่ซีซวนก็เพียงแต่ต้องการเพิ่มความแน่นอนปลอดภัยให้ชีวิตของตนเองเท่านั้นก่อนออกศึก ท่านแม่ทัพมิได้ทิ้งผู้ชราที่จู่ๆ ก็เกิดหวงชีวิตขึ้นมาเช่นตนไว้ที่เลี่ยงจินอู่เพียงเพื่อให้คอยกำกับดูแลหมอคนอื่นๆ ที่ล้วนกำลังทุ่มเทความสามารถรักษาเยียวยาทหารที่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ยังมอบหมายอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญให้ด้วยเ
นับตั้งแต่วันที่หยางหยางนำทัพใหญ่ออกเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นป๋าย หนิงซินก็รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักอึ้งถ่วงอยู่ในอก ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขาและสถานการณ์การรบ บีบรัดหัวใจจนนางแทบหายใจไม่ออก แม้จะพยายามฝืนกินอาหารตามเวลา แต่อาหารทั้งหมดกลับจืดชืดไร้รส ยามพยายามข่มตาหลับ ภาพเงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษที่เคยโอบกอดหยอกเย้ารวมถึงปลอบโยนนางจนหลับไหลซึ่งกำลังต่อสู้กับศัตรูก็ปรากฏขึ้นในห้วงนิทรา ทำให้นางสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวไม่รู้กี่คืนต่อกี่คืนวันแล้ววันเล่าผ่านไป หนิงซินได้แต่เฝ้ารอข่าวคราวจากสนามรบอย่างกระวนกระวาย จนกระทั่งข่าวที่ว่ากองทัพของหยางหยางบุกเข้าวังหลวงได้แล้วแพร่สะพัดไปทั่ว ทั่วทั้งจวนพลันเต็มไปด้วยความโกลาหล พร้อมๆ กับที่ผู้คนในเรือนหลักยิ่งพากันหน้าดำคร่ำเคร่ง พยายามระมัดระวังเอาใจใส่นาง ด้วยบ้างก็ยิ่งหวาดกลัวยำเกรงแม่ทัพใหญ่ บ้างก็อกสั่นขวัญผวาหวั่นเกรงว่าองค์หญิงรองที่ตนต้องดูแลปกป้องให้ปลอดภัยดีทุกอย่างจะคิดสั้นหรือล้มป่วยลงสำหรับหนิงซิน ข่าวนี้กลับทำให้หัวใจของนางเต้นรัวราวกับกลองศึก ความดีใจที่หยางหยางประสบชัยชนะ ปะปนกับความหวาดกลัวในอ
คำพูดของหยางหยางทำให้หนิงซินรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจนางรู้ดีว่าสงครามไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง และทุกชีวิตที่ต้องสูญเสีย ล้วนนำมาซึ่งความโศกเศร้า“ข้าขอร้อง...”หนิงซินพยายามจะพูดอะไรบางอย่างอีกครั้ง เขารู้ว่านางจะพูดอะไร เขาเองก็ฟังมามากพอแล้วเช่นกันหยางหยางส่ายหน้าเบาๆ“ได้เวลาแล้ว” เขาพูดเสียงเรียบ “รอข้าอยู่ที่นี่”เมื่อสวมเกราะสุดท้ายเสร็จสิ้น แม่ทัพทมิฬก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้เงาร่างบอบบางยืนมองส่งเขาอย่างเดียวดายหนิงซินเม้มริมฝีปากแน่นก่อนตัดสินใจเดินตามไป ทว่าไม่ทันจะก้าวขาออกจากประตู เหล่าสาวใช้ที่รอปรนนิบัติดูแลนางอยู่ด้านนอกก็พากันคุกเข่าลง ใบหน้าเผือดสีหนิงซินเข้าใจในความหวาดกลัวของคนเหล่านี้ จึงไม่กล้าทำให้พวกนาง ทหารยาม และองครักษ์ทั้งหลายลำบากใจ ได้แต่เฝ้ามองเงาร่างของอีกฝ่ายหายลับไปจากประตูวงเดือนด้วยความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมดนางได้พูดกับเขาแล้วรึยัง ว่านางเองก็อยากให้เขาดูแลตนเองให้ดี และปลอดภัยกลับมาเช่นกัน...แต่...คนผู้นั้นคือแม่ทัพใหญ่ฝ่ายศัตรู...
หยางหยางลูบผมของนางเบาๆ ก่อนปัดปอยปมที่ระใบหน้านางออกอย่างอ่อนโยนดีใจ...อย่างนั้นหรือ...?จริงก็ช่าง เท็จก็ช่าง...เขาไม่สนใจนางคือสตรีของเขา ทุกคำพูดมีไว้เพื่อเขา ทุกสายตา...ก็ควรมีไว้เพื่อเขาเช่นกันต่อให้นางยังไม่ตระหนักในตอนนี้ แต่สุดท้ายแล้วนางจะรู้...ชีวิตนี้นางไม่อาจถอยห่างจากเขาได้หยางหยางกระชับอ้อมแขนโอบรอบนางแน่นเข้าอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาฉายแวววูบไหวลึกซึ้งเมื่อนึกถึงตอนที่นางกำลังจะเอื้อนเอ่ยว่าเขาเป็นคนสำคัญแต่เขาฟังไม่ได้ เขาไม่อาจทนฟังได้เพราะเขารู้ว่านางจะบอกว่าเขาคือคนสำคัญ นางจะต้องพูดเช่นนั้นเพื่อบ้านเมืองของนาง เพื่ออาณาประชาราษฎร์ของนาง เพื่อความถูกต้อง...ทว่าเขาไม่มีทางรู้เลยว่านางพูดด้วยความรู้สึกที่แท้จริงด้วยหรือไม่ หากใช่ เทียบกันแล้ว ระหว่างเขากับ ‘คนอื่น’ ค่าของเขาในใจนางแท้จริงแล้วนับว่ามีน้ำหนักน้อยมากเพียงใด จึงได้แต่ใช้การกระทำที่ตรงไปตรงมาที่สุดบีบให้นางแสดงความปรารถนาในส่วนลึกออกมาเท่านั้นอย่างน้อยเรื่องที่นางเป็นของเขาเพียงผู้เดียวก็เป็นเรื่องจริง
หนิงซินไม่อยากฟังถ้อยคำน่าอายใดใดทั้งนั้น นางขยับสะโพกเคลื่อนไหวให้รวดเร็วขึ้นอีก ทว่าอีกฝ่ายกลับพูดพร่ำคำหวานอย่างที่ไม่เคยกระทำ กระซิบกระซาบถ้อยคำเหล่านั้นกรอกหูนางต่อจนได้“ตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ ข้าไม่เคยรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ หรือรู้สึกอบอุ่นเช่นนี้มาก่อน...ไม่เคยรู้สึกเหมือนได้ลิ้มรสหวานละไมชุ่มฉ่ำไปทั้งวิญญาณเช่นนี้มาก่อน...” เขาโอบกอดนางไว้แน่นขณะที่ขยับสะโพกเข้าหาตามจังหวะที่นางควบคุม “แต่เมื่อพบเจ้า ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...มันเปลี่ยนไปทั้งหมด...หนิงซิน เจ้าคิดว่าสิ่งนี้ใช่ความสุขหรือไม่"หนิงซินชะงักเพราะประโยคสุดท้ายเหตุใดจู่ๆ นางจึงรู้สึกหวิวโหวงในอก สะท้อนใจนางไม่เคยรู้มาก่อน...ไม่เคยรู้ว่าชายตรงหน้านางเคยผ่านชีวิตเช่นใดมา ไม่เคยรู้ว่าเขาเคยเจ็บช้ำตรอมตรมหรือลำบากยากเข็ญเพียงใดถึงกระนั้น ในตอนนี้ ยามนี้...นางเพียงแต่อยากให้คนผู้นี้มีความสุขหนิงซินไล้กรอบหน้าหล่อเหลาคมคายอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยนุ่มนวลราวกับต้องการปลอบขวัญคนตรงหน้า"หากท่านสบายใจ อบอุ่นในหัวใจ ยิ้มได้ และรู้สึกได้อย่างที่ว่า เช่
“ข้า...” นางพยายามจะตอบ แต่กลับกลายเป็นว่าพูดไม่ออก “ท่าน...สำหรับข้า...”หยางหยางคำรามเสียงแผ่วต่ำ ก่อนเคลื่อนตัวออกหนิงซินร้อนใจ หวาดผวา กลัวว่าความสับสนฟุ้งซ่านชั่วขณะจะทำให้เสียเรื่องกำลังจะเค้นเสียงตอบ กลับถูกหยัดเอวเข้าหานางอย่างรุนแรงแนบแน่น“อ๊า!!!” นางถึงกับหลุดเปล่งเสียงน่าอายออกมาดังลั่น“เป็นหรือไม่...” เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อย...ก่อนจะกระแทกกลับเข้ามาอีกครั้ง “ตอบสิ...”“ฮึก...หยะ...หยุดนะ...มัน...ข้า...” คนผู้นี้กำลังจะทำให้นางเป็นบ้า!“หรือว่าที่ไม่ตอบ เพราะอยากให้ข้าถามย้ำบ่อยๆ”น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเย้าหยอก ขณะที่ช่วงล่างถอยห่างออกเกือบสุดแล้วกระแทกกลับเข้าไปอีกครั้ง ครั้งนี้มันช่างรวดเร็ว รุนแรงกว่าครั้งไหนๆ“ฮึก...” หนิงซินน้ำตาคลอหน่วย มือทั้งสองเกาะไหล่เขาเอาไว้ ริมฝีปากอ้าค้าง ได้แต่หอบหายใจ ก่อนครวญครางออกมาอีกครั้งอย่างไร้ความหมายเมื่อเขาพัวพันขยับเขยื้อนอีกครา อีกครา และอีกครา ท้ายที่สุด