เขาอาทรต่อหล่อน ถามไถ่อย่างอ่อนโยน แตะหลังมือที่หน้าผากและซอกคอของหล่อน สัมผัสแบบนั้นน่าจะทำให้หล่อนวูบวาบได้บ้างแต่ไม่มีเลย….มันไม่มีจะวูบวาบสักนิด
มันเย็นชืดสนิท…ก็ช่างเหลือเชื่อที่หล่อนกับภากรคบหากันมานานเหลือเกิน ทุกอย่างก็ไม่เคยมีรุกล้ำไปถึงความสัมพันธ์ทางเพศ มันไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนหนุ่มสาวยุคไฮเทคอีกหลายคู่
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาหรือหล่อนกันแน่….เขาอาจจะปรารถนาเกินไปจนไม่ล่วงละเมิดต่อวัยสาวของหล่อนและภคินีเองก็ไม่เคยแน่ใจว่าชายคนนี้หล่อนรักเขาหรือเปล่า….หรือเพียงแต่หลงใหลกับความมีเงินของเขา หล่อนบูชาเงิน…ภคินีเชื่อว่าเงินคือพระเจ้าของชีวิต เงินจะซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
แล้วที่หล่อนเห็นมาล่าสุดก็คือเงินซื้อได้กระทั่งชีวิตคนตาย…อย่างเรื่องแม่คนนั้นที่ตายกลางถนนและเด็กหนุ่มที่จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ เป็นอย่างไร คืนนั้นหากไม่ใช่เพราะครอบครัวภากรมีเงินมีอิทธิพลแล้ว หล่อนอาจจะเข้าคุก แม้ภากรจะรับสมอ้างว่าเขาขับรถ แต่คนอย่างคุณนายแสงเดือนหรือจะยอมเชื่อง่าย ๆ เธอจะต้องขุดและคุ้ยจนหล่อนต้องรับสารภาพ
นึกถึงแล้วภคินีก็ขนลุกซู่ หล่อนกลัวคุก…หล่อนกลัวการถูกจองจำให้หมดอิสรภาพ กลัวมากที่สุด
“ตัวสั่นอีกด้วยแน่ะ”
น้ำเสียงของภากรบอกมาอีก เขาห่วงใยหล่อนจริง ๆ จัง ๆ ภคินีปัดมือของเขาออกไป
“นีไม่เป็นอะไร” ฝืนเสียงให้เป็นปกติ “นี่เราจะไปกันถึงไหน”
“ก็หาของอร่อยกิน ฟังเพลง แล้วก็จะพาไปส่งบ้าน” รถยนต์ของเขาไม่มีรอยบุบสลาย แต่ภคินีก็นั่งอยู่บนรถคันนี้อย่างปอด ๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์คืนนั้น แล้วหล่อนก็เอ่ยถามออกมาลอย ๆ
“เด็กนั่นเป็นยังไงบ้าง”
“ก็เข้าไปอยู่ในบ้านแล้ว พ่อกรุณาเด็กนั่นมาก….”
“ก็ต้องรับภาระไปอีกนานซินะ”
“เทียนไม่มีใครอีกแล้ว”
หล่อนไม่ชอบน้ำเสียงของภากรยามนี้เลย มันอ่อนโยนและนุ่มหูมากเกินไป อารมณ์แบบผู้หญิงกลับเข้าครอบงำหล่อนอีกหนหนึ่ง แล้วภคินีก็เกือบจะไม่รู้สึกตัวว่าหล่อนทำเสียงน่าชังออกไป
“คงจะไม่ถึงกับยกย่องเชิดชูกันเป็นคุณชายคนใหม่ประจำคฤหาสน์เสียล่ะ”
ภากรหันมามองแวบหนึ่งก่อนจะหันมองตรงไปข้างหน้า เขาไม่เข้าใจกับน้ำเสียงแบบนั้นของหล่อนเลย
“เด็กนั่นน่าสงสารมากนะ นี แกไม่มีพ่อ และนี่ก็ไม่มีแม่อีกแล้วด้วย ญาติพี่น้องก็ไม่มี บ้านก็ยังงั้น ๆ จะให้ไปอยู่คนเดียวได้ยังไง”
“ท่าทางกรจะอินังขังขอบเด็กนั่นมากอยู่”
“ผมไม่เคยมีน้อง” เขาบอก “ผมรู้ว่าการเป็นลูกคนเดียวนี่มันเหงานะ” เขาไม่เห็นว่าภคินีมองไปข้างรถนั่น เพราะหล่อนแอบเบ้ปาก หล่อนซิอยากเป็นลูกคนเดียว หล่อนไม่อยากมีพี่น้องยั้วเยี้ยที่เกิดมาเหมือนช่วยกันทึ้งช่วยกันแทะส่วนที่ควรจะเป็นของหล่อนคนเดียวไปจนหมดกระนั้น….
“ผมอยากมีพี่หรือน้องอีกสักคน…ผมอยากมีจริง ๆ นะ ได้เทียนมาเป็นน้องอีกคนก็ยังดี….อาทิตย์หน้าแกจะไปโรงเรียน ผมก็กะว่าจะรับส่งแก”
ภคินีหันขวับมา “รับส่ง…” เสียงหล่อนแหลม
“ใช่”
คนตอบยังภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองจะทำ จนไม่ทันสังเกตอารมณ์ของแฟนสาว
ภคินีหงุดหงิดจนอยากจะร้องกรี๊ด ๆ ให้ลั่นรถ หล่อนได้แต่กำมือซ้ายเข้าด้วยกันแน่น เล็บเจียนมนยาวกดลงกลางผ่ามือจนรู้สึกเจ็บ
“ตอนเช้าก็ไปส่ง เย็นไปรับ นี่ผมก็กะว่าจะติวให้แกนะ…แกจะสอบเอนทรานซ์ปลายปีนี้ เสียดายตรงที่ผมจะไม่ได้อยู่ถึงตอนนั้น…ผมคงจะเดินทางไปเสียก่อน แต่ผมก็เห็นเชาว์ปัญญาของแกอยู่แกคงจะเอนได้ แต่ถ้าเอนไม่ได้ พ่อก็คงจะส่งให้แกเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน”
“แหม…”
กว่าจะทอดเสียงออกมาให้ฟังเหมือนหล่อนไม่ได้ขุ่นข้องหมองใจได้ ภคินีต้องพยายามเกือบสุดความสามารถ “อยู่ ๆ ก็ได้โชคมหาศาลนะ เสียแค่แม่ตายไปคนเดียวก็แจคพอท…ร่ำรวยเป็นเศรษฐีน้อย ๆ ขึ้นมาทีเดียว เด็กนั่นคงจะดีใจจนเนื้อเต้น…แต่รักอย่างน้องน่ะได้นะ กร ให้ได้แค่นั้น เอ็นดูได้แค่น้อง แต่อย่าทำอะไรออกนอกลู่นอกทางไปกว่านั้นเป็นอันขาด”
ภากรตกใจ “เทียนเป็นเด็กผู้ชายนะ นี พูดอะไร”
ภคินีถึงเงียบไป
นั่นสิ หล่อนพูดอะไรออกไป
รายงานจากคนติดตามภากรมาถึงเธอแล้ว คุณนายแสงเดือนเม้มปากแน่นเข้าหากันด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งผู้หญิงคนนั้นไม่คู่ควรกับภากรเลยจนนิดเดียวมองด้านใดก็ไม่เห็น เธอไม่ปรารถนาจะรับภคินีมาเป็นลูกสะใภ้ ภคินีสอบไม่ผ่าน“เอาล่ะ” เธอบอกออกมาในที่สุด “ยังไม่ต้องเลิกติดตามเขานะ โดยเฉพาะเวลาที่เขามีแม่คนนั้นไปด้วย” แต่เธอก็บอกว่าเธอจะต้องไปพบภคินีอีกหนหนึ่ง โดยที่ภากรไม่รู้เรื่อง เธอไม่อยากให้ผู้หญิงคนนั้นก้าวเข้ามายุ่งกับลูกชายของเธอ อนาคตของภากรยังอีกยาวไกลนัก แต่เธอจะทำออกนอกหน้าไม่ได้ด้วยเธอไม่อยากจะเสียความเข้าใจอันดี ระหว่างตัวเองกับภากรไปเพราะเขาเป็นลูกคนเดียวที่เธอมีและภากรก็กลับมาถึงเกือบจะสี่ทุ่ม คุณนายยังไม่ได้ขึ้นนอนภากรโผล่เข้ามาเห็น สีหน้าของชายหนุ่มแสงเดือนนัก “แม่ยังไม่นอนอีกรึนั่น” เขาเดินเข้ามา นับแต่เติบโตแล้วเขาไม่ค่อยจะใกล้ชิดกับเธอนัก หากมีเวลาภากรมักจะขลุกกับพ่อมากกว่า “หน้าตาแม่เหมือนคิดอะไรอยู่”“มีเรื่องที่แม่คิดไม่ตก นั่งก่อนซิ แม่อยากคุยด้วย เรื่องจะไปเรียนน่ะรีบไปไม่ดีหรือ ไปทำตัวให้คุ้นเคยเสียก่อน”“ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรให้ปรับตัว ภาษาก็ไม่มีปัญหาอีกด้วย”“แม่เองคิดว่า
เธอเอื้อมมือมาแตะบ่าเขา จากสัมผัสบอกเธอว่าเขาทำตัวแข็งมากกว่าระดับปกติไปสักนิดหนึ่ง“เพราะลูกชายคนนี้ของแม่เป็นหนุ่มหน้าตาดี เรียนดี ฐานะก็ดีจะเอาอะไรมากไปกว่านี้อีกเล่า จริงไหมจ๊ะ”เขาเดินขึ้นมาข้างบนได้อย่างไร ภากรก็ไม่อยากจะแน่ใจเหมือนกัน เขารู้สึกสะเทือนใจกับคำพูดที่คุณนายแสงเดือนบอกว่าตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง หลังจากที่เขาเคยเลิกคิดเรื่องนี้มาแล้ว ภคินีก็เคยทำให้เขาคิดมาก หล่อนดูแปลก ๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องนี้ บางครั้งหล่อนก็หวานฉ่ำกับเขา แต่บางครั้งหล่อนก็เฉยเมยเหมือนคนแปลกหน้าไม่ใช่คนรักชายหนุ่มสลัดศีรษะแรง ๆ เขาไม่อยากจะเก็บเอามาคิดมาก แม่ไม่ชอบภคินีต่างหากเล่า แม่ถึงพูดออกไปแบบนั้นแม่กำลังเฉไฉแต่เขาจะไม่เฉไฉตามแม่เป็นอันขาดกำลังเดินไปตามทางที่จะไปห้องของเขา ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงไม้กุกกักดังเป็นจังหวะ เขาชะงักก่อนจะเห็นรัฐยากำลังเดินมา ดึกแล้วน่าจะอยู่บนเตียงมากกว่ารัฐยายังไม่เห็นเขา ได้ยินแต่เสียงแต่เสียงถามอยู่ใสๆ“พี่ส้ม อย่างนี้เรียกว่าเทียนเดินได้ดีหรือยัง”“ไปวิ่งแข่งได้เลยละค่ะ”“กีฬาคนพิการน่ะซิ”เขาเดินเข้าไป และรัฐยาก็เบือนหน้ามามองเห็น ยิ้มหวานให้กับเขา ลักยิ้
“ขาเป็นไงมั่ง”“เทียนพอจะเดินได้มากแล้ว”“ก็ดีนี่เธอ ฉันอยากจะเตือนสักเรื่องหนึ่ง ภากรน่ะเป็นหนุ่มแล้ว เขาไม่เคยมีน้อง เขาอาจจะเอาใจใส่เธอมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไยดีเธอแบบสายเลือดแท้ๆ พี่น้องแท้ๆ เข้าใจไหม”รัฐยาร้อนไปทั่วกาย เขายังไม่เคยมีแฟน“เทียนสาบานได้ว่าไม่เคยคิดตีเสมอ”เขาละล่ำละลักบอกปากสั่นไปหมดแล้ว“เทียนนับถือคุณภากร”“ขอให้เป็นอย่างนี้ตลอดไปเถิดนะ…ฉันน่ะกลัว…เพราะเห็นมาเยอะแล้ว และก็ไม่อยากให้ลูกชายมีพี่มีน้องที่เป็นคนนอก”“เทียนไม่ได้คิด”เขาบอกย้ำ….ดวงหน้าเผือด“นี่นายเทียน….”คุณนายเข้ามาใกล้อีกนิด….มื้อเอื้อมมาข้างหน้าแล้วแตะคางมองเด็กหนุ่มขึ้นมา รัฐยาตัวแข็งทื่อ เขารับรู้จากสัมผัสนั่นว่าเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์…และแววตาของคุณนายที่เขามองเห็นก็ดูน่ากลัว ปราศจากความเป็นมิตร และก็ยังแปลความไม่ได้ว่านอกจากรังเกียจไม่เป็นมิตร ยังมีอะไรที่แอบซ่อนอยู่ เพราะรัฐยายังเยาว์วัยเกินไปนั่นเอง“ฉันขออะไรเธอสักอย่างนะ”“ครับ”เขารับคำด้วยเสียงแผ่ว ๆ รู้สึกแรงดันจากมือนั่นจะผลักคางของหล่อนให้แหงนเชิดขึ้น ดวงตาของเขาสาดกระทบไฟ เหมือนหวาดกลัว ไม่แน่ใจแต่คุณนายก็ยังไม่ปร
“ผมดื่มไม่ไหวแล้ว”ภากรเบือนหน้าหลบจากแก้วที่ยื่นเข้ามาจ่อถึงปากแต่มือนุ่ม ๆ ก็ยังไม่ยอมปล่อยจากต้นคอทางด้านหลังของเขา พยายามจะรั้งให้เขาหันหน้ากลับมาพร้อมกับเสียงปะเหลาะ ๆ“น่าอีกนิด คนเก่งนะ.”ไม่เพียงแต่พูดเฉย ๆ คนพูดยังยื่นจมูกมาแตะแก้มของเขาอีกด้วย กลิ่นหอมจากเรือนกายของหล่อนเหมือนเดินหลงเข้าไปในดงดอกไม้ จนเขาเคลิบเคลิ้มและเขาก็ไม่อยากให้ดวงตาคู่นั้นหม่นแสงลงเลยแข็งใจดื่มเข้าไปอีกอึกหนึ่ง“นั่นซิจ๊ะเป็นผู้ชายก็ต้องดื่มเหล้า จะดื่มแต่น้ำหวานได้ยังไง้ เสียหายหมด”ภคินีวางแก้วลง ตบมือให้กับเขาสองสามแปะ ดวงตาฉายประกายซุกซนสนุกสนาน หล่อนไม่ใช่หญิงสวยเรียกได้ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงเท่คนหนึ่ง ดวงหน้าเรียวเห็นเส้นจมูกเด่นที่สุดบนใบหน้า จมูกที่โดดเด่นจนเหมือนว่าหล่อนไปทำศัลยกรรมมาใหม่ และหลายหนที่หล่อนท้าทายให้มีการจับกระดูกที่ขึ้นสันนั่นเป็นของแท้ ๆ ที่หล่อนอ้างว่าเป็นกันทั้งครอบครัว“ไปเต้นรำกันดีกว่า”หล่อนลากเขาออกไปสู่เวทีเต้นรำเล็ก ๆ ของสนามหน้าบ้านหลังนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองหลังพิธีรับปริญญาเพื่อนฝูงที่รับปริญญารุ่นเดียวกันล้วนแล้วแต่เบิกบาน และคู่ของเขากับหล่อนก็เป็นคู่ที่ถูกจับตามองมากท
“ฝนตกทุกวันเลย เบื๊อเบื่อ”น้ำเสียงใส ๆ อ่อน ๆ บ่นออกมาเมื่อออกจากร้านหมอ เปิดประตูกระจกก้าวออกสู่ทางเท้าด้านนอก ก็เห็นเม็ดฝนกำลังเปาะแปะอยู่ หนุ่มน้อยยื่นมือออกไปก่อนจะหดกลับมา“ไม่ได้เอาร่มมาด้วยซิฮะ”หันมาทางมารดาที่ยังดูสาวพริ้งสำหรับการจะมีลูกชายอายุสิบหก แม้วัยของปรารถนาจะเข้าไปสามสิบแปดแล้ว หล่อนก็ยังดูสาวอยู่มาก จนลูกชายวัยสิบหกเหมือนน้องชายมากกว่าจะเป็นลูก“เอาหนังสือบังไปก่อนจะได้ไหม”“ได้ฮะ แม่ซิฮะจะไม่สบาย ขายิ่งไม่ค่อยจะดีอยู่ด้วย”เด็กหนุ่มมองมารดาอย่างห่วงใยที่สุด ปรารถนาเป็นโรคกระดูกเสื่อม มันมาไวเกินไปสำหรับอายุขนาดนี้ แต่หล่อนก็ต้องอยู่ในความดูแลของหมอ หล่อนต้องระมัดระวังค่อนข้างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้“กลับแท็กซี่ดีไหมฮะ”เสียงใส ๆ ถามต่อ แต่ปรารถนาส่ายหน้าโดยเร็ว หล่อนต้องประหยัด แม่ม่ายอย่างหล่อนไม่มีเงินมากนักนอกจากเงินเดือนประจำจากหน้าที่การงานที่ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดเพื่อตัวและลูกชายสองชีวิตกับเงินเดือนสองหมื่น ปรารถนารู้ว่าเป็นภาระแสนสาหัสและเมื่อหันมองรอบตัวหล่อนพบว่ามีกันแค่สองชีวิตที่จะเกื้อกูลกันได้รัฐยาก็ยังเด็กเหลือเกินเพิ่งเรียนมอปลาย กำลังจะสอบเข้ามห
“เทียน…”เสียงของหล่อนกรีดแหลม…แล้วหล่อนก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ดวงตาของหล่อนยังลืมกว้าง และมือก็ไขว่คว้ายืนออกไปหล่อนไม่เห็นว่าห่างจากหล่อนไปไม่มากนัก รัฐยากระเด็นไปตกลงตรงนั้น…รัฐยายังรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้…แต่เขาขยับตัวอีกไม่ได้ รู้สึกมึนงง ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองก็เหมือนจะมาจากที่อันไกลแสนไกล เขาจำได้ว่าเป็นเสียงแม่… แต่เขาขานรับไม่ได้… เหมือนมีอะไรจุกอยู่ในลำคอของเขานี่เองและเขาก็เห็นใครคนหนึ่ง…ผู้หญิง…เห็นเป็นเงาพร่า ๆ เลือน ๆ จนมองหน้าไม่ถนัด เห็นผู้หญิงคนนั้นย่อตัวลงมามองเขาใกล้ ๆ และทำให้ได้เห็นอะไรบางอย่างวูบวาบเข้านัยน์ตาของเขารัฐยายกมือขึ้น แล้วก็คว้าจับเอาไว้ได้สร้อยข้อมือนั่นเอง ที่เป็นแวววับนั่น ในสำนึกที่ขาดวิ่นไป เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่แปลกตา เป็นแบบที่เขาไม่ค่อยจะคุ้นเคยนัก มันมีลูกกระพรวนเล็ก ๆ เกือบจะรอบวงแล้วเขาก็กระตุกมืออย่างแรง เม็ดเล็ก ๆ ของกระพรวนนั่นเม็ดหนึ่งอยู่ในมือของเขาแล้วรัฐยาก็แน่นิ่งไปภคินีผวาลุกขึ้น สร้อยไม่ทันขาดแต่ก็ทำให้หล่อนตกใจสุดขีด… พอดีกับภากรตามเข้ามา เขาเห็นหล
“ลูกจ๋า…กลับแล้วหรือ”คุณนายก้าวเข้ามา ร่างที่ยังระหงอยู่ในชุดผ้าไหมสีน้ำทะเล…ทำให้ห้องทั้งห้องสดสว่างขึ้น ดวงหน้าที่พอกเครื่องสำอางหนา มองดูภคินีเขม็ง…ไม่เคยชอบภคินี เพราะมองเท่าไหร่ก็ไม่เคยเห็นความคู่ควรกับลูกชายคนเดียวของเธอเลย“ยังไม่กลับบ้านอีกหรือ นี่กี่ทุ่มเข้าไปแล้ว” เธอยกข้อมือดูเวลา… “เที่ยงคืนกว่าแล้วนะ…เธอจ๋า…หรือว่าจะนอนค้างเสียที่นี่ พ่อแม่เธอรู้หรือเปล่า อย่าให้เป็นว่าเช้าก็มาแย้ว ๆ กันหน้าบ้านล่ะ”ภคินีสะอึก หล่อนไม่เคยพูดเถียงทันคุณนายเลยสักหน“มีอุบัติเหตุครับแม่”ภากรรายงานเบา ๆ ทำให้คุณนายเบิกตากว้าง ยกมือทาบอก“อย่าบอกนะว่ารถใหม่นั่น…”เขาไม่ประหลาดใจเลยหากแม่เขาจะห่วงรถมากกว่าห่วงคน…คุณนายแสงเดือนเป็นผู้หญิงมั่งคั่ง แต่เธอก็เค็มอย่างหาตัวจับยากทีเดียว“รถไม่เป็นไรหรอกฮะ”“โล่งอกไปที… แต่อุบัติเหตุก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาแม่ภคินีมาค้างที่บ้านเราน่ะ”“มันมากกว่านั้น”เสียงของชายหนุ่มยิ่งเบาลงไปอีก แล้วเมื่อเขาบอกต่อ คุณนายก็ทำท่าเหมือนจะเป็นลม ถอยไปนั่งที่เก้าอี้ ดวงตาเบิกกว้างตะลึงงัน“กรน่ะหรือขับรถชนคนตาย…แล้วก็ยังเจ็บสาหัสอีกหนึ่ง ไม่หรอก…ไม่จริง”เธอปฏิเสธ นึก
ตีสาม…ภากรผวาขึ้นจากเก้าอี้ยาวตรงนี้ ลุกขึ้นเหมือนมีสปริงติดกับตัวเมื่อได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามา…เขาออกมาถึงเทอเรซหินอ่อนด้านหน้า พ่อเป็นคนแรกที่เขามองเห็น พ่อเดินเข้ามาใกล้เขา เสียงของแม่ตามมา เสียงเอะอะตามเคย…แม่มักจะเป็นคนที่พูดมากเสมอ“ฉันไม่เห็นด้วยเลยนะคุณ… ทำไมต้องไปเป็นผู้อุปการะเด็กนั่นด้วย ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายสังคมสงเคราะห์ของบ้านเมืองซิ คนไข้อนาถาน่ะรัฐบาลดูแลได้… แล้วญาติโยมเด็กนั่นก็คงจะมี… เราจะเสนอตัวเข้าไปทำไม ดีไม่ดีมันก็จะคิดเอาได้ว่าลูกเราส่วนเข้าไปพัวพัน”พ่อแตะบ่าเขาเบา ๆ มองเข้าไปในดวงตาของเขา แล้วพูดเสียงทุ้มเสมอกัน เป็นน้ำเสียงที่เขาเคยชินเสมอมา“พ่อยากคุยด้วย ในห้องสมุดนะ เดี๋ยวนี้”แล้วพ่อก็เดินเร็ว ๆ เข้าไปในตัวบ้าน เขากำลังจะตามเข้าไปแต่คุณนายคว้ามือของเขาเอาไว้ได้ กระตุกหมับทำให้เขาต้องหยุดเดิน หันกลับมามอง“ไม่น่าเลยนะ…เพราะดื่มเหล้าใช่ไหม ลูกถึงคะนองจนเกิดเรื่องขึ้น คนตายคนหนึ่ง บาดเจ็บอีกคนหนึ่ง…เด็กเพิ่งอายุสิบหก…ยังแต่งเครื่องแบบนักเรียนอยู่เลยนะ”“อาการหนักมากไหมฮะ”เขาถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เหมือนไม่ใช่ตัวของเขาเองอีกสืบไป…เด็กคนนั้น…ใช่…แม่ข
“ขาเป็นไงมั่ง”“เทียนพอจะเดินได้มากแล้ว”“ก็ดีนี่เธอ ฉันอยากจะเตือนสักเรื่องหนึ่ง ภากรน่ะเป็นหนุ่มแล้ว เขาไม่เคยมีน้อง เขาอาจจะเอาใจใส่เธอมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไยดีเธอแบบสายเลือดแท้ๆ พี่น้องแท้ๆ เข้าใจไหม”รัฐยาร้อนไปทั่วกาย เขายังไม่เคยมีแฟน“เทียนสาบานได้ว่าไม่เคยคิดตีเสมอ”เขาละล่ำละลักบอกปากสั่นไปหมดแล้ว“เทียนนับถือคุณภากร”“ขอให้เป็นอย่างนี้ตลอดไปเถิดนะ…ฉันน่ะกลัว…เพราะเห็นมาเยอะแล้ว และก็ไม่อยากให้ลูกชายมีพี่มีน้องที่เป็นคนนอก”“เทียนไม่ได้คิด”เขาบอกย้ำ….ดวงหน้าเผือด“นี่นายเทียน….”คุณนายเข้ามาใกล้อีกนิด….มื้อเอื้อมมาข้างหน้าแล้วแตะคางมองเด็กหนุ่มขึ้นมา รัฐยาตัวแข็งทื่อ เขารับรู้จากสัมผัสนั่นว่าเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์…และแววตาของคุณนายที่เขามองเห็นก็ดูน่ากลัว ปราศจากความเป็นมิตร และก็ยังแปลความไม่ได้ว่านอกจากรังเกียจไม่เป็นมิตร ยังมีอะไรที่แอบซ่อนอยู่ เพราะรัฐยายังเยาว์วัยเกินไปนั่นเอง“ฉันขออะไรเธอสักอย่างนะ”“ครับ”เขารับคำด้วยเสียงแผ่ว ๆ รู้สึกแรงดันจากมือนั่นจะผลักคางของหล่อนให้แหงนเชิดขึ้น ดวงตาของเขาสาดกระทบไฟ เหมือนหวาดกลัว ไม่แน่ใจแต่คุณนายก็ยังไม่ปร
เธอเอื้อมมือมาแตะบ่าเขา จากสัมผัสบอกเธอว่าเขาทำตัวแข็งมากกว่าระดับปกติไปสักนิดหนึ่ง“เพราะลูกชายคนนี้ของแม่เป็นหนุ่มหน้าตาดี เรียนดี ฐานะก็ดีจะเอาอะไรมากไปกว่านี้อีกเล่า จริงไหมจ๊ะ”เขาเดินขึ้นมาข้างบนได้อย่างไร ภากรก็ไม่อยากจะแน่ใจเหมือนกัน เขารู้สึกสะเทือนใจกับคำพูดที่คุณนายแสงเดือนบอกว่าตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง หลังจากที่เขาเคยเลิกคิดเรื่องนี้มาแล้ว ภคินีก็เคยทำให้เขาคิดมาก หล่อนดูแปลก ๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องนี้ บางครั้งหล่อนก็หวานฉ่ำกับเขา แต่บางครั้งหล่อนก็เฉยเมยเหมือนคนแปลกหน้าไม่ใช่คนรักชายหนุ่มสลัดศีรษะแรง ๆ เขาไม่อยากจะเก็บเอามาคิดมาก แม่ไม่ชอบภคินีต่างหากเล่า แม่ถึงพูดออกไปแบบนั้นแม่กำลังเฉไฉแต่เขาจะไม่เฉไฉตามแม่เป็นอันขาดกำลังเดินไปตามทางที่จะไปห้องของเขา ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงไม้กุกกักดังเป็นจังหวะ เขาชะงักก่อนจะเห็นรัฐยากำลังเดินมา ดึกแล้วน่าจะอยู่บนเตียงมากกว่ารัฐยายังไม่เห็นเขา ได้ยินแต่เสียงแต่เสียงถามอยู่ใสๆ“พี่ส้ม อย่างนี้เรียกว่าเทียนเดินได้ดีหรือยัง”“ไปวิ่งแข่งได้เลยละค่ะ”“กีฬาคนพิการน่ะซิ”เขาเดินเข้าไป และรัฐยาก็เบือนหน้ามามองเห็น ยิ้มหวานให้กับเขา ลักยิ้
รายงานจากคนติดตามภากรมาถึงเธอแล้ว คุณนายแสงเดือนเม้มปากแน่นเข้าหากันด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งผู้หญิงคนนั้นไม่คู่ควรกับภากรเลยจนนิดเดียวมองด้านใดก็ไม่เห็น เธอไม่ปรารถนาจะรับภคินีมาเป็นลูกสะใภ้ ภคินีสอบไม่ผ่าน“เอาล่ะ” เธอบอกออกมาในที่สุด “ยังไม่ต้องเลิกติดตามเขานะ โดยเฉพาะเวลาที่เขามีแม่คนนั้นไปด้วย” แต่เธอก็บอกว่าเธอจะต้องไปพบภคินีอีกหนหนึ่ง โดยที่ภากรไม่รู้เรื่อง เธอไม่อยากให้ผู้หญิงคนนั้นก้าวเข้ามายุ่งกับลูกชายของเธอ อนาคตของภากรยังอีกยาวไกลนัก แต่เธอจะทำออกนอกหน้าไม่ได้ด้วยเธอไม่อยากจะเสียความเข้าใจอันดี ระหว่างตัวเองกับภากรไปเพราะเขาเป็นลูกคนเดียวที่เธอมีและภากรก็กลับมาถึงเกือบจะสี่ทุ่ม คุณนายยังไม่ได้ขึ้นนอนภากรโผล่เข้ามาเห็น สีหน้าของชายหนุ่มแสงเดือนนัก “แม่ยังไม่นอนอีกรึนั่น” เขาเดินเข้ามา นับแต่เติบโตแล้วเขาไม่ค่อยจะใกล้ชิดกับเธอนัก หากมีเวลาภากรมักจะขลุกกับพ่อมากกว่า “หน้าตาแม่เหมือนคิดอะไรอยู่”“มีเรื่องที่แม่คิดไม่ตก นั่งก่อนซิ แม่อยากคุยด้วย เรื่องจะไปเรียนน่ะรีบไปไม่ดีหรือ ไปทำตัวให้คุ้นเคยเสียก่อน”“ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรให้ปรับตัว ภาษาก็ไม่มีปัญหาอีกด้วย”“แม่เองคิดว่า
เขาอาทรต่อหล่อน ถามไถ่อย่างอ่อนโยน แตะหลังมือที่หน้าผากและซอกคอของหล่อน สัมผัสแบบนั้นน่าจะทำให้หล่อนวูบวาบได้บ้างแต่ไม่มีเลย….มันไม่มีจะวูบวาบสักนิดมันเย็นชืดสนิท…ก็ช่างเหลือเชื่อที่หล่อนกับภากรคบหากันมานานเหลือเกิน ทุกอย่างก็ไม่เคยมีรุกล้ำไปถึงความสัมพันธ์ทางเพศ มันไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนหนุ่มสาวยุคไฮเทคอีกหลายคู่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาหรือหล่อนกันแน่….เขาอาจจะปรารถนาเกินไปจนไม่ล่วงละเมิดต่อวัยสาวของหล่อนและภคินีเองก็ไม่เคยแน่ใจว่าชายคนนี้หล่อนรักเขาหรือเปล่า….หรือเพียงแต่หลงใหลกับความมีเงินของเขา หล่อนบูชาเงิน…ภคินีเชื่อว่าเงินคือพระเจ้าของชีวิต เงินจะซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วที่หล่อนเห็นมาล่าสุดก็คือเงินซื้อได้กระทั่งชีวิตคนตาย…อย่างเรื่องแม่คนนั้นที่ตายกลางถนนและเด็กหนุ่มที่จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ เป็นอย่างไร คืนนั้นหากไม่ใช่เพราะครอบครัวภากรมีเงินมีอิทธิพลแล้ว หล่อนอาจจะเข้าคุก แม้ภากรจะรับสมอ้างว่าเขาขับรถ แต่คนอย่างคุณนายแสงเดือนหรือจะยอมเชื่อง่าย ๆ เธอจะต้องขุดและคุ้ยจนหล่อนต้องรับสารภาพนึกถึงแล้วภคินีก็ขนลุกซู่ หล่อนกลัวคุก…หล่อนกลัวการถูกจองจำให้หมด
ปรารถนาไม่โกหกลูก หล่อนได้เอาความผิดพลาดในชีวิตไว้เตือนใจตัวเองและเตือนใจลูกชายด้วยปรารถนาไม่เคยดุด่าถึงชายคนที่ทำให้ได้กำเนิดรัฐยา ไม่มีการพูดถึงเขา แม้รัฐยาจะเคยอยากรู้จักชายคนนั้นสักเพียงใด ปรารถนาก็ปิดปากสนิท หล่อนเคยบอกกล่าวแก่รัฐยามากที่สุดก็แค่ชื่อและนามสกุลของชายคนนั้น ชายคนที่รัฐยาเชื่อมั่นว่าเขาได้หายสาปสูญไปแล้ว เหมือนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง เขาไม่เคยเห็นนามสกุลนั้น ไม่เคยได้ยินอีกเลยและมันก็จบลงแค่นั้นด้วย เขานมีแม่ที่ให้หล่อนทุกอย่างโดยไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดแคลนนักจะยากจนรัฐยาก็ชินกับมันเสียแล้ว ชินจนไม่รู้สึกรู้สมว่าจะต้องเคืองแค้นในชีวิตของตัวเองแต่อย่างใดและนี่เขาจะมีพ่อเขายังสงสัย“คุณจะหาพ่อให้เทียนหรือฮะ”เขาถามออกไป เป็นคำถามตลกหรือไร เพราะเห็นเขาหัวเราะ ชายวัยสี่สิบกว่าแต่ยังเป็นชายที่คงความสง่างาม เส้นผมที่ไม่ได้ย้อมมีสีขาวแทรกประปรายข้างหูกลับทำให้เขาดูดี….และรัฐยาก็นึกออกแล้วว่าภากรเหมือนใคร….เขามีความอ่อนโยนเหมือนชายคนนี้นี่เอง“คุณจะไปหาเจอที่ไหน”เขาไม่ได้ใส่ใจกับเสียงหัวเราะที่ว่านั่นเลย” แม่บอกว่าเขาหายไปแล้ว หายไปจากชีวิตแม่ เขาไม่สนใจแม่ ไม่สนใจเทียนอีก
วิถีชีวิตของเขาแตกต่างออกไป เมื่อทอดสายตามองดูรอบ ๆ ตัวมันคือสิ่งที่รัฐยาไม่เคยมีมาก่อนเลยในชีวิตนี้ มันเหมือนฝัน….แล้วเขาก็จะตื่นในเร็ว ๆ นี้ ตื่นลืมตายอมรับความจริงว่าทั้งหมดที่เห็นและครอบครองเป็นเจ้าของอยู่มันไม่ได้เป็นของเขา แต่ส้มก็ปลุกภวังค์นึกคิดของเขากลับคืนมา เด็กหนุ่มกระพริบตาถี่ ๆ กับตัวเองเมื่อได้ยินน้ำเสียงของส้ม“คุณหิวไหม?”สรรพนามที่ส้มเรียกเขาทำให้รัฐยาขนลุก เขาได้รับการยกย่องมากเกินไป“พี่ไม่ต้องเรียกเทียนว่าคุณหรอก”เขาบอกความจริงใจออกมา ส้มมองอย่างฉงน เด็กหนุ่มที่ส้มเห็นรูปงามนักแม้จะดูเศร้าสร้อย ส้มได้รับการบอกเล่ามาว่าเพราะเด็กนี่เป็นกำพร้า ไม่มีพ่อและแม่ก็ถูกรถชนตาย ท่านไปเจอเข้าเลยรับมาอุปการะส่งส้มมาเป็นคนใช้ส่วนตัวท่าทางของเขาดูอ่อนโยน จริงใจนัก“ไม่เป็นไรค่ะ”ส้มได้รับการอบรมมาแล้วอย่างดี คุณนายแสงเดือนไม่ชอบให้สาวใช้กระด้างกระเดื่องกับเธอ และส้มก็อยู่บ้านนี้ได้นานปีด้วยความอดทนของตัวเอง ส้มเป็นคนเรียนรู้ไวและค่อนข้างจะเงียบขรึมไม่พูดไม่จามากนัก“ให้เทียนเรียกพี่ส้มก็แล้วกันนะ….”เมื่อส้มไม่ยอม รัฐยาก็สรุปในที่สุด อาหารของเขาถูกจัดขึ้นมาบนห้อง….จานชุดสวย แล
ภากรอึ้งไป และก่อนที่จะได้ขยับตัว เสียงฝีเท้าก็ซอยออกมาจากข้างในกระทบถูกพื้นหินอ่อน…กลิ่นหอมฉุยโชยผ่านมา เขารู้ได้ทันทีว่าเป็นแม่ของเขา การปรากฏตัวของคุณนายแสงเดือนด้วยกลิ่นหอมกระจายกรุ่น และเธอก็สวยสดออกมาในชุดที่เตรียมพร้อมจะออกไปนอกบ้านได้ ดวงหน้าเนียนผ่องเต่งตึง….ไม่มีรอยเหี่ยวย่นตีนกาไม่เคยขึ้นตรงปลายตาของเธอ“นั่นอะไรกัน” เสียงเธอแหลมเมื่อมองไปเห็นลูกชายคุกเข่าอยู่กับพื้นหินอ่อน และบนเก้าอี้คือร่างบอบบางของรัฐยาที่นั่งอยู่…ขาอยู่ในเฝือกทั้งสองข้าง“กร...”เธอเรียกเขาด้วยเสียงหนัก ๆ คิดปราดไปไกล…กลัวนักว่าลูกชายจะมาหลงใหลได้ปลื้มกับเด็กคนนี้มิใช่ญาติ จะสนิทสนมทำไม“ลงไปนั่งแบบนั้นทำไม”เธอมองดูรัฐยา ดวงตาคมที่ระบายสีเอาไว้สดและเขียนรอบขอบตาด้วยสีดำเข้มจัดไปทั้งหมด เมื่อแสงจากกึ่งกลางดวงตาของเธอจ้าออกปานนั้นรัฐยาเมินหลบ ใจเต้นแรง เขากลัวผู้หญิงคนนี้….กลัวจนใจมันเต้นไม่เป็นจังหวะ และมื่อก็สั่นไปหมดแล้วภากรลุกขึ้นยืนช้า ๆ แล้วถอยไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง“มาแล้วหรือ…จะมาอยู่ในบ้านนี้ใช่ไหม…” เธอถามรัฐยาโดยตรง “ขาเธอนั่นน่ะอีกนานไหมกว่าจะหาย”“หมอว่าอีกสองเดือนก็ถอดเฝือกได้ฮะ”เข
“หมอบอกว่าเธอจะออกไปได้วันจันทร์นี้”นายดำรงออกมาจากที่นั่งของเขา ไกลออกไปตรงเก้าอี้ยาวชิดผนัง ท่านั่งของเขาดูสบาย ๆ แต่เหมือนมีบารมีบางอย่างแผ่กระจายรอบตัวเขา เป็นชายที่ไปไหนมาไหนโดยไม่มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง แต่เขาก็มีสิ่งหนึ่งที่บอกว่าเขาเป็นคนมีอำนาจชวนให้ยำเกรง รัฐยารู้สึกได้เหมือนเห็นเขา แล้วยำเกรงต่อเขารัฐยาเรียนรู้อีกด้วยว่าเขาจะเป็นที่พึ่งที่ใหม่ของเขาต่อจากแม่….แววตาของเขาที่แสดงออกจึงเปล่งแสงวิงวอนโดยที่เขาไม่รู้ตัวเหมือนกัน“เธอจะต้องไปเรียนหนังสือ….ต้องใช้ไม้ค้ำรักแร้ไปก่อน…เธอหัดเดินไปบ้างหรือยัง”“ยังเลยฮะ”“หมอคงจะหัดให้เธอเร็ว ๆ นี้ ฉันไปโรงเรียนของเธอ ทางโน้นบอกว่าเธอจะขาดเรียนได้แต่ไม่มากจนเกินไป เดี๋ยวจะเรียนไม่ทัน”“เทียนก็ไม่อยากขาดเรียน”รัฐยาบอก แม่เคยสอนเสมอว่าแม่ยากจน แม่ให้ได้แค่ส่งเสียให้เขาเรียนมาก ๆ ให้มีความรู้เป็นสิ่งพาตัวเองให้ทระนงองอาจ และหาเลี้ยงตัวเองสืบไปในวันข้างหน้า รัฐยาตั้งใจเรียนเสมอ ผลการเรียนของเขาอยู่ในระดับดีมาก แม้จะเป็นโรงเรียนย่านชานเมืองไม่ใช่โรงเรียนที่โด่งดังมากนักก็เถิดนายดำรงไปสอบถามเรื่องเกี่ยวกับเขามาแล้ว หากเขาจะต้องอุปการะเด็กส
รัฐยาไม่ใส่ใจกับเรื่องนั้น เขายังไม่อยากจะคิดอะไรอีก เขาอยากจะไปพบแม่อีกสักหนหนึ่ง“เทียนอยากเจอแม่ฮะ…อยากไปงานของแม่…”คุณนายแสงเดือนทำท่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินรัฐยาสวนออกมาแบบนั้น“แหม…เธอนี่” เธอทำเสียงรำคาญอย่างเปิดเผย “ก็เดินไม่ได้ ขาเป็นอย่างนี้แล้ว ยังมีแก่ใจจะเดินไปงานแม่ตัวอีกหรือ…ฉันน่ะไม่บริการเธอถึงกับไปหารถเข็นมาพาเธอไปหรอกจ้ะ…นอนรักษาตัวก่อนเถิด นอนคิดสำนึกว่ามีคนใจดีขนาดนี้ ก็เป็นบุญคุณท่วมหัวแล้ว เรื่องแม่เธอก็ไม่ถึงกับเป็นศพไม่มีญาติ…ฉันถึงว่าบุญของเธอมันยังดี แถวนั้นออกจะเป็นบ้านนอก ยังมีคนไปพบเจอที่ใจบุญ”คุณนายไปแล้ว ทิ้งรัฐยาโศกเศร้าอย่างรุนแรง แล้วเธอก็ลากภากรกลับไปด้วยของอย่างนี้เธอคิดว่าต้องแยกลูกชายออกไปให้รวดเร็ว เธอไม่แน่ใจเพราะภากรของเธอเป็นคนใจอ่อนและแสนดีเกินไป“กลับบ้านกับแม่จ้ะ”////////////////////////////////////////////////////////ภากรไปหาภคินีที่บ้าน เมื่อหล่อนหายหน้าไปเลย พอเห็นเขา ภคินีก็ทำท่าเหมือนสะดุ้ง ก่อนจะยอมเข้ามาหา…ท่าทางของหล่อนยังขวัญเสียเมื่อดึงมือของเขาหลบออกไปจากสายตาของแม่ที่มองอย่างสนใจ“เป็นไงบ้าง…”เรื่องนั้นยังรบกวนหล