เขาอาทรต่อหล่อน ถามไถ่อย่างอ่อนโยน แตะหลังมือที่หน้าผากและซอกคอของหล่อน สัมผัสแบบนั้นน่าจะทำให้หล่อนวูบวาบได้บ้างแต่ไม่มีเลย….มันไม่มีจะวูบวาบสักนิด
มันเย็นชืดสนิท…ก็ช่างเหลือเชื่อที่หล่อนกับภากรคบหากันมานานเหลือเกิน ทุกอย่างก็ไม่เคยมีรุกล้ำไปถึงความสัมพันธ์ทางเพศ มันไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนหนุ่มสาวยุคไฮเทคอีกหลายคู่
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาหรือหล่อนกันแน่….เขาอาจจะปรารถนาเกินไปจนไม่ล่วงละเมิดต่อวัยสาวของหล่อนและภคินีเองก็ไม่เคยแน่ใจว่าชายคนนี้หล่อนรักเขาหรือเปล่า….หรือเพียงแต่หลงใหลกับความมีเงินของเขา หล่อนบูชาเงิน…ภคินีเชื่อว่าเงินคือพระเจ้าของชีวิต เงินจะซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
แล้วที่หล่อนเห็นมาล่าสุดก็คือเงินซื้อได้กระทั่งชีวิตคนตาย…อย่างเรื่องแม่คนนั้นที่ตายกลางถนนและเด็กหนุ่มที่จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ เป็นอย่างไร คืนนั้นหากไม่ใช่เพราะครอบครัวภากรมีเงินมีอิทธิพลแล้ว หล่อนอาจจะเข้าคุก แม้ภากรจะรับสมอ้างว่าเขาขับรถ แต่คนอย่างคุณนายแสงเดือนหรือจะยอมเชื่อง่าย ๆ เธอจะต้องขุดและคุ้ยจนหล่อนต้องรับสารภาพ
นึกถึงแล้วภคินีก็ขนลุกซู่ หล่อนกลัวคุก…หล่อนกลัวการถูกจองจำให้หมดอิสรภาพ กลัวมากที่สุด
“ตัวสั่นอีกด้วยแน่ะ”
น้ำเสียงของภากรบอกมาอีก เขาห่วงใยหล่อนจริง ๆ จัง ๆ ภคินีปัดมือของเขาออกไป
“นีไม่เป็นอะไร” ฝืนเสียงให้เป็นปกติ “นี่เราจะไปกันถึงไหน”
“ก็หาของอร่อยกิน ฟังเพลง แล้วก็จะพาไปส่งบ้าน” รถยนต์ของเขาไม่มีรอยบุบสลาย แต่ภคินีก็นั่งอยู่บนรถคันนี้อย่างปอด ๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์คืนนั้น แล้วหล่อนก็เอ่ยถามออกมาลอย ๆ
“เด็กนั่นเป็นยังไงบ้าง”
“ก็เข้าไปอยู่ในบ้านแล้ว พ่อกรุณาเด็กนั่นมาก….”
“ก็ต้องรับภาระไปอีกนานซินะ”
“เทียนไม่มีใครอีกแล้ว”
หล่อนไม่ชอบน้ำเสียงของภากรยามนี้เลย มันอ่อนโยนและนุ่มหูมากเกินไป อารมณ์แบบผู้หญิงกลับเข้าครอบงำหล่อนอีกหนหนึ่ง แล้วภคินีก็เกือบจะไม่รู้สึกตัวว่าหล่อนทำเสียงน่าชังออกไป
“คงจะไม่ถึงกับยกย่องเชิดชูกันเป็นคุณชายคนใหม่ประจำคฤหาสน์เสียล่ะ”
ภากรหันมามองแวบหนึ่งก่อนจะหันมองตรงไปข้างหน้า เขาไม่เข้าใจกับน้ำเสียงแบบนั้นของหล่อนเลย
“เด็กนั่นน่าสงสารมากนะ นี แกไม่มีพ่อ และนี่ก็ไม่มีแม่อีกแล้วด้วย ญาติพี่น้องก็ไม่มี บ้านก็ยังงั้น ๆ จะให้ไปอยู่คนเดียวได้ยังไง”
“ท่าทางกรจะอินังขังขอบเด็กนั่นมากอยู่”
“ผมไม่เคยมีน้อง” เขาบอก “ผมรู้ว่าการเป็นลูกคนเดียวนี่มันเหงานะ” เขาไม่เห็นว่าภคินีมองไปข้างรถนั่น เพราะหล่อนแอบเบ้ปาก หล่อนซิอยากเป็นลูกคนเดียว หล่อนไม่อยากมีพี่น้องยั้วเยี้ยที่เกิดมาเหมือนช่วยกันทึ้งช่วยกันแทะส่วนที่ควรจะเป็นของหล่อนคนเดียวไปจนหมดกระนั้น….
“ผมอยากมีพี่หรือน้องอีกสักคน…ผมอยากมีจริง ๆ นะ ได้เทียนมาเป็นน้องอีกคนก็ยังดี….อาทิตย์หน้าแกจะไปโรงเรียน ผมก็กะว่าจะรับส่งแก”
ภคินีหันขวับมา “รับส่ง…” เสียงหล่อนแหลม
“ใช่”
คนตอบยังภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองจะทำ จนไม่ทันสังเกตอารมณ์ของแฟนสาว
ภคินีหงุดหงิดจนอยากจะร้องกรี๊ด ๆ ให้ลั่นรถ หล่อนได้แต่กำมือซ้ายเข้าด้วยกันแน่น เล็บเจียนมนยาวกดลงกลางผ่ามือจนรู้สึกเจ็บ
“ตอนเช้าก็ไปส่ง เย็นไปรับ นี่ผมก็กะว่าจะติวให้แกนะ…แกจะสอบเอนทรานซ์ปลายปีนี้ เสียดายตรงที่ผมจะไม่ได้อยู่ถึงตอนนั้น…ผมคงจะเดินทางไปเสียก่อน แต่ผมก็เห็นเชาว์ปัญญาของแกอยู่แกคงจะเอนได้ แต่ถ้าเอนไม่ได้ พ่อก็คงจะส่งให้แกเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน”
“แหม…”
กว่าจะทอดเสียงออกมาให้ฟังเหมือนหล่อนไม่ได้ขุ่นข้องหมองใจได้ ภคินีต้องพยายามเกือบสุดความสามารถ “อยู่ ๆ ก็ได้โชคมหาศาลนะ เสียแค่แม่ตายไปคนเดียวก็แจคพอท…ร่ำรวยเป็นเศรษฐีน้อย ๆ ขึ้นมาทีเดียว เด็กนั่นคงจะดีใจจนเนื้อเต้น…แต่รักอย่างน้องน่ะได้นะ กร ให้ได้แค่นั้น เอ็นดูได้แค่น้อง แต่อย่าทำอะไรออกนอกลู่นอกทางไปกว่านั้นเป็นอันขาด”
ภากรตกใจ “เทียนเป็นเด็กผู้ชายนะ นี พูดอะไร”
ภคินีถึงเงียบไป
นั่นสิ หล่อนพูดอะไรออกไป
เพื่อน ๆ พารัฐยามาส่งถึงที่รถ เขาไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือ และเขาก็อยากให้รัฐยาช่วยเหลือตัวเอง เด็กหนุ่มส่งยิ้มให้เขามาแต่ไกล การก้าวเดินโดยมีไม้คอยช่วยพยุงตัวนั้น รัฐยาทำได้ดีมากแล้วเขารับเพื่อนของรัฐยาอีกสองคนติดรถมาด้วย…เป็นหน้าที่ที่เขากระทำไม่มีตกหล่นมาเป็นเดือน ๆ แล้ว และเป็นสิ่งที่รัฐยาซาบซึ้งเป็นที่สุด ตนแรกก็คิดว่าเขาจะทำได้ไม่กี่วันแล้วก็เลิกราไป แต่ภากรเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายอย่างยิ่ง เมื่อเขาเริ่มต้นสิ่งใดแล้วเขาก็ปฏิบัติต่อไปได้โดยไม่ทิ้งขว้างไปเสียกลางคันเสียงพวกสาว ๆ คุยกันลั่นรถ ใหม่ ๆ ก็ไม่เคยได้ยินเสียงสักแอะ เดี๋ยวนี้อาจจะเป็นเพราะเริ่มคุ้นกับเขามากขึ้น เขามองดูทางกระจกแล้วก็อมยิ้ม…เขาเหงา…ชายหนุ่มรู้ว่าการเป็นลูกคนเดียวเป็นชีวิตเงียบเหงาและบางครั้งอับเฉาเหลือเกิน เขาอยากมีพี่น้องมานานแล้วเมื่อสบโอกาสตอนที่รัฐยาเข้ามาอยู่ร่วมบ้าน เขาจึงคิดว่านี่เป็นน้องชายของเขา น้องที่เขาเคยอยากได้เป็นนักหนาส่งพวกเพื่อน ๆ ของรัฐยาไปหมดแล้ว เขาก็หยิบกล่องเล็ก ๆ จากกระเป๋าเสื้อไปข้างหลัง รัฐยาทำตาโตมองดูอย่างงงงัน“อะไรฮะ คุณกร”“พี่ซื้อมาฝากเทียน รับไปซิ”รัฐยาพนมมือไหว้เขา รับไปถือไว้
หล่อนยังเปราะบางเกินกว่าจะไปรบรากันคุณนายแสงเดือนได้ คุณนายพูดแต่ละคำแสบไปถึงไหน ๆ ยังแววตาที่ดูถูกเหยียดหยามหล่อนปานนั้นทำให้ภคินีไม่ปรารถนาจะเข้าไปเป็นสะใภ้ ไม่อยากรับคุณนายมาเป็นแม่ผัวให้เกิดศึกสงครามยืดเยื้อแต่หล่อนก็ยังไม่อาจจะตัดภากรทิ้งไปได้ง่ายนัก ในระหว่างที่เขายังไม่เดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ การมีเขาก็เท่ากับมีกระเป๋าเงินใบใหญ่ไว้เนรมิตแก้วแหวนเงินทองสารพัดนึกที่หล่อนปรารถนาจะได้ให้กับหล่อนภคินีไม่โง่…ไม่หยิ่งจะยอมรับของกำนัล…มันไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน แถมภากรก็ยังไม่เคยล่วงเกินหล่อนอีกด้วย เขาทุ่มให้โดยไม่หวังของตอบแทน บางเวลาภคินีมองว่าภากรเป็นไอ้หนุ่มหน้าโง่คนหนึ่ง หล่อนเคยอยากให้เขาโดดเข้าใส่หล่อน…แต่เขาก็ไม่เคยทำ และหากหล่อนเริ่มก่อนภากรอาจจะลับลอยไปทันทีก็เป็นได้ เขาเป็นหนุ่มที่สมถะกับเรื่องทำนองนี้จนชวนฉงนว่าเขาเป็นปกติหรือเปล่า เลือดเนื้อของเขาไม่เคยเดือดพล่านเลยสักหน“กร...” น้ำเสียงของหล่อนอ่อนโยนลง “สั่งอาหารเถิด ค่ำแล้วเดี๋ยวจะพาไปดูแหวน…ผ่านไปเห็นวันก่อนซ้วยสวย…ไพลินจ้ะ”“ไปดูตอนค่ำ ๆ อย่างนี้น่ะหรือ”“ก็ไปดูเอาไว้ก่อนไง…ค่อยซื้อให้วันหลังก็ได้…คงไม่กี่ตังค์ล
รัฐยาทำให้เขาใจแป้ว และชายหนุ่มก็พยายามทดแทนให้อย่างมากที่สุด เขาพารัฐยาลงจากรถเข้าไปในโรงเรียน ออกจะเป็นภาพที่แปลกตาในสายตาของเพื่อน ๆ ร่วมโรงเรียนที่รู้จักรัฐยาเมื่อเขามาถึงด้วยรถยนต์คันใหญ่โก้หรู ยังจะผู้ชายที่ประคับประคองมาก็เป็นผู้ชายมาดโก้ที่พวกนักเรียนสาวรุ่นตาโตกิ๊วก๊าวกันได้อยู่ห่าง ๆ พอคล้อยหลังภากรแล้ว รัฐยาก็ได้ยินเสียงถามแซ่ดไปหมดเขายิ้มแย้มเมื่อพูดถึงภากร อดภาคภูมิใจแทนเขาไม่ได้ที่เขาเป็นหนุ่มซึ่งสาวน้อยเริ่มผลิเนื้อสาวพากันให้ความสนใจ“คุณภากร เป็นผู้มีพระคุณกับเรามาก ตอนนี้เราอยู่บ้านเขา พ่อเขารับอุปการะเรา จากอุบัติเหตุ”มีแต่ยกย่องเทิดทูนเขา ยิ่งภากรทำดีกับเขาเท่าไหร่ รัฐยาก็ทั้งเทิดทูนนับถือเขานักหนา เขาคิดว่าพร้อมจะตอบแทนในพระคุณที่เขามีเหนือหัวนี้ได้…แม้ชีวิตตัวเองก็สามารถให้กับเขาได้ โดยที่รัฐยามองไม่เห็นวันข้างหน้า วันที่คิดในสิ่งตรงกันข้ามนี้โดยสิ้นเชิง///////////////////////////////////////////////////////////////“คุณมาช้าอีกแล้ว”ภคินียกมือขึ้นมองเวลา จากนาฬิกาเรือนบอบบางราคาแพงลิบลิ่วเพราะนี่เป็นของขวัญชิ้นหนึ่ง ที่ภากรซื้อหาให้เป็นของกำนัลหล่อนง สีหน้าขอ
“เพราะลูกของเรา…”เพียงได้ยินเท่านี้ เธอก็ยกมือขึ้นเหมือนจะห้ามปรามไม่ให้เขาพูดต่อสีหน้ายังไม่สู้จะดีนัก“ก็เพราะอย่างนี้น่ะซิคะ…ดิฉันถึงพูดไม่ออก แต่ดิฉันไม่อยากให้ลูกเข้าไปสนิทสนมอี๋อ๋อ นายเทียนไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ เป็นหนุ่มแล้ว”“ก็ยังเพิ่งจะอายุสิบหก อีกอย่างหนุ่มแล้วไง ไม่ใช่สาว” เขาแย้ง“อุ๊ย…สิบหกนี่ไม่เด็กแล้วค่ะ คุณ กำลังใช้การใช้งานได้ดีทีเดียว อีกอย่างเดี๋ยวนี้ชายกับชายก็เยอะไป…ถมไป”“เฮ้ย...” นายดำรงแทบสำลัก “อย่าคิดนอกลู่นอกทาง”ริมฝีปากของคุณนายเชิดขึ้นเหมือนปราศจากความเชื่อถือโดยสิ้นเชิง“ดิฉันเคยเห็น ลูกเพื่อนมี ติดใจเด็กผู้ชาย นายเทียนทำตัวเป็นเด็กใส ๆ แต่ใจอาจจะกำลังคิดจับตากรอยู่ก็ได้”เขาเลยได้แต่ถอนใจ คุณนายแสงเดือนไม่รู้ว่าเอาความคิดทำนองนี้มาใส่ในหัวตั้งแต่เมื่อไหร่“ให้ไปจับผู้ชายคนอื่นเถอะนะคะ อย่ามาจับตากรเข้าเชียว ดิฉันเอาถึงแตกหักไปข้างแน่ ๆ”แต่เธอก็ไม่ได้พูดเรื่องที่บังคับให้รัฐยาได้สาบาน แม้เป็นเพียงคำสาบานก็ยังทำให้เธออุ่นใจได้บ้างนิดหน่อยว่าหากรัฐยายังกล้าดีข้องเกี่ยวกับภากร รัฐยาก็จะมีอันต้องพินาศฉิบหายไปเอง เธอจะไม่ยอมเห็นเด็กข้างถนนขึ้นมาเสมอหน้ากับลู
“ขาเป็นไงมั่ง”“เทียนพอจะเดินได้มากแล้ว”“ก็ดีนี่เธอ ฉันอยากจะเตือนสักเรื่องหนึ่ง ภากรน่ะเป็นหนุ่มแล้ว เขาไม่เคยมีน้อง เขาอาจจะเอาใจใส่เธอมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไยดีเธอแบบสายเลือดแท้ๆ พี่น้องแท้ๆ เข้าใจไหม”รัฐยาร้อนไปทั่วกาย เขายังไม่เคยมีแฟน“เทียนสาบานได้ว่าไม่เคยคิดตีเสมอ”เขาละล่ำละลักบอกปากสั่นไปหมดแล้ว“เทียนนับถือคุณภากร”“ขอให้เป็นอย่างนี้ตลอดไปเถิดนะ…ฉันน่ะกลัว…เพราะเห็นมาเยอะแล้ว และก็ไม่อยากให้ลูกชายมีพี่มีน้องที่เป็นคนนอก”“เทียนไม่ได้คิด”เขาบอกย้ำ….ดวงหน้าเผือด“นี่นายเทียน….”คุณนายเข้ามาใกล้อีกนิด….มื้อเอื้อมมาข้างหน้าแล้วแตะคางมองเด็กหนุ่มขึ้นมา รัฐยาตัวแข็งทื่อ เขารับรู้จากสัมผัสนั่นว่าเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์…และแววตาของคุณนายที่เขามองเห็นก็ดูน่ากลัว ปราศจากความเป็นมิตร และก็ยังแปลความไม่ได้ว่านอกจากรังเกียจไม่เป็นมิตร ยังมีอะไรที่แอบซ่อนอยู่ เพราะรัฐยายังเยาว์วัยเกินไปนั่นเอง“ฉันขออะไรเธอสักอย่างนะ”“ครับ”เขารับคำด้วยเสียงแผ่ว ๆ รู้สึกแรงดันจากมือนั่นจะผลักคางของหล่อนให้แหงนเชิดขึ้น ดวงตาของเขาสาดกระทบไฟ เหมือนหวาดกลัว ไม่แน่ใจแต่คุณนายก็ยังไม่ปร
เธอเอื้อมมือมาแตะบ่าเขา จากสัมผัสบอกเธอว่าเขาทำตัวแข็งมากกว่าระดับปกติไปสักนิดหนึ่ง“เพราะลูกชายคนนี้ของแม่เป็นหนุ่มหน้าตาดี เรียนดี ฐานะก็ดีจะเอาอะไรมากไปกว่านี้อีกเล่า จริงไหมจ๊ะ”เขาเดินขึ้นมาข้างบนได้อย่างไร ภากรก็ไม่อยากจะแน่ใจเหมือนกัน เขารู้สึกสะเทือนใจกับคำพูดที่คุณนายแสงเดือนบอกว่าตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง หลังจากที่เขาเคยเลิกคิดเรื่องนี้มาแล้ว ภคินีก็เคยทำให้เขาคิดมาก หล่อนดูแปลก ๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องนี้ บางครั้งหล่อนก็หวานฉ่ำกับเขา แต่บางครั้งหล่อนก็เฉยเมยเหมือนคนแปลกหน้าไม่ใช่คนรักชายหนุ่มสลัดศีรษะแรง ๆ เขาไม่อยากจะเก็บเอามาคิดมาก แม่ไม่ชอบภคินีต่างหากเล่า แม่ถึงพูดออกไปแบบนั้นแม่กำลังเฉไฉแต่เขาจะไม่เฉไฉตามแม่เป็นอันขาดกำลังเดินไปตามทางที่จะไปห้องของเขา ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงไม้กุกกักดังเป็นจังหวะ เขาชะงักก่อนจะเห็นรัฐยากำลังเดินมา ดึกแล้วน่าจะอยู่บนเตียงมากกว่ารัฐยายังไม่เห็นเขา ได้ยินแต่เสียงแต่เสียงถามอยู่ใสๆ“พี่ส้ม อย่างนี้เรียกว่าเทียนเดินได้ดีหรือยัง”“ไปวิ่งแข่งได้เลยละค่ะ”“กีฬาคนพิการน่ะซิ”เขาเดินเข้าไป และรัฐยาก็เบือนหน้ามามองเห็น ยิ้มหวานให้กับเขา ลักยิ้