แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านม่านไหมบางเบาในห้องนั่งเล่นของบ้านทรงไทยหลังงาม ทว่าบรรยากาศกลับอบอวลไปด้วยความตึงเครียดและเงียบงัน แพรไหม นั่งกอดเข่ามองเอกสารในมือด้วยดวงตาที่พร่าเลือน ตัวเลขหนี้สินที่สูงจนน่าตกใจราวกับโซ่ตรวนที่กำลังรัดคอครอบครัวของเธอ
เสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังมาจากร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม ผู้เป็นมารดา ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำจากการร้องไห้ ส่วนผู้เป็นบิดา นั่งกุมมือภรรยาแน่น ราวกับต้องการส่งผ่านความเข้มแข็งทั้งหมดที่มีไปให้ "พ่อคะ แม่คะ..." แพรไหมเอ่ยเสียงสั่นเครือ พยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอ "เรา...เราหมดหนทางแล้วใช่ไหมคะ" ผู้เป็นบิดาเงยหน้าขึ้น มองลูกสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจ "พ่อขอโทษนะลูก ที่ไม่สามารถรักษาสมบัติของบรรพบุรุษไว้ได้ โรงงานของเรา..." เสียงของเขาขาดหายไป มารดาของแพรไหมรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปกอดลูกสาวแน่น น้ำตาไหลอาบแก้ม "ไม่ใช่ความผิดของลูกเลยแพรไหม ทุกอย่างมัน...มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป" แพรไหมซบหน้าลงบนไหล่มารดา ความรู้สึกสิ้นหวังถาโถมเข้าใส่ แต่ในส่วนลึกของจิตใจกลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ราวกับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ "แต่ว่า..." แพรไหมผละออกจากอ้อมกอดมารดา ดวงตาของเธอมุ่งมั่นขึ้น "ยังมีอีกทางค่ะ" ผู้เป็นบิดามองลูกสาวอย่างสงสัย "ทางไหนลูก?" "บริษัท MJ ค่ะ" แพรไหมตอบเสียงหนักแน่น "บริษัทเสื้อผ้าหรูนั่น พวกเขาต้องการผ้าไหมคุณภาพดีจำนวนมาก ถ้าเราได้โปรเจ็กต์นั้น...เราจะสามารถใช้หนี้และกอบกู้โรงงานของเราได้ค่ะ" มารดาของแพรไหมขมวดคิ้ว "บริษัทใหญ่ขนาดนั้น...เขาจะสนใจโรงงานเล็กๆ ของเราเหรอแพรไหม?" "ต้องลองดูค่ะแม่" แพรไหมลุกขึ้นยืน สีหน้าแน่วแน่ "ไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้ว" วันรุ่งขึ้น แพรไหมในชุดสุภาพแต่เรียบง่าย ยืนอยู่หน้าอาคารสูงระฟ้าของบริษัท MJ หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความประหม่าและความหวัง เธอไม่รู้เลยว่าคนที่กุมบังเหียนบริษัทแห่งนี้คือ เพทาย ชายหนุ่มที่เคยเข้ามาในชีวิตเธอเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย และถูกเธอปฏิเสธรักไปอย่างไม่ไยดี เมื่อเข้าไปติดต่อประชาสัมพันธ์ แพรไหมได้รับการนัดหมายให้เข้าพบผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ด้วยความหวังเต็มเปี่ยม เธอเตรียมเอกสารและตัวอย่างผ้าไหมที่ดีที่สุดของโรงงานไปอย่างตั้งใจ ในห้องทำงานที่ตกแต่งอย่างหรูหรา แพรไหมนั่งรอด้วยใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ เสียงเปิดประตูดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มร่างสูงสง่า ใบหน้าคมคายที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี...เพทาย ดวงตาของแพรไหมเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย "คุณ...คุณเพทาย?" เพทายเลิกคิ้วเล็กน้อย มองสำรวจหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "คุณคือ...?" "แพรไหมค่ะ...จากโรงงานทอผ้าไหม..." เธอพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น "อ้อ..." เพทายพยักหน้าช้าๆ แววตาของเขาฉายแววเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด "จำได้แล้ว...คุณนักศึกษาพาร์ทไทม์ที่ผับเก่าสินะ" ความทรงจำในอดีตหวนคืนมาในความคิดของแพรไหม ภาพชายหนุ่มที่คอยตามตอแยเธอในสมัยเรียนผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน "ค่ะ" แพรไหมตอบเสียงเบาลง "แล้วมีธุระอะไรกับผมเหรอครับ คุณแพรไหม" น้ำเสียงของเพทายเปลี่ยนไปเล็กน้อย เจือไปด้วยความเย้ยหยัน "ดิฉัน...เอ่อ...ต้องการเสนอโปรเจ็กต์ผ้าไหมให้กับบริษัทของคุณค่ะ" แพรไหมรีบเปิดกระเป๋าและหยิบเอกสารออกมาวางบนโต๊ะ เพทายมองเอกสารเหล่านั้นด้วยสายตาที่ไม่ใส่ใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ผมเสียใจด้วยนะครับ คุณแพรไหม บริษัทของเรามีซัพพลายเออร์อยู่แล้ว และผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยน" ความหวังของแพรไหมราวกับถูกดับวูบลงทันที "แต่ว่า...ผ้าไหมของเราเป็นผ้าไหมแท้คุณภาพดี..." "คุณภาพดีอย่างเดียวมันไม่พอหรอกครับ" เพทายพูดแทรกขึ้นมา ดวงตาของเขามองจ้องแพรไหมอย่างมีความหมาย "บางครั้ง...ความสัมพันธ์ที่ดีก็สำคัญกว่า" แพรไหมรู้สึกถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวเขา เธอเข้าใจได้ทันทีว่าการปฏิเสธรักในอดีตของเธอ กำลังส่งผลมาถึงปัจจุบันอย่างรุนแรง "ดิฉัน...ดิฉันมั่นใจว่าผ้าไหมของเราจะตอบโจทย์ความต้องการของบริษัทคุณได้ค่ะ" แพรไหมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ผมบอกแล้วว่าไม่สนใจ" เพทายลุกขึ้นยืน เดินไปยังหน้าต่างบานใหญ่ มองออกไปข้างนอก "เชิญคุณกลับได้แล้วครับ ผมมีงานต้องทำต่อ" แพรไหมมองตามแผ่นหลังกว้างของเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งผิดหวัง เสียใจ และความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ เธอจะไม่ยอมให้ความเย่อหยิ่งในอดีตของตัวเองมาทำลายอนาคตของครอบครัว "ฉันจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกค่ะ คุณเพทาย" แพรไหมเอ่ยเสียงดัง ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องทำงานนั้นไปด้วยความแน่วแน่หลายเดือนผ่านไป ความสัมพันธ์ระหว่างอิงฟ้ากับคิณณ์ค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นอย่างมั่นคงและลึกซึ้ง อิงฟ้าได้เห็นคิณณ์ในมุมที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขาไม่ใช่แค่เจ้านายผู้เย็นชา แต่เป็นผู้ชายที่อบอุ่น อ่อนโยน และใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ เขามักจะสังเกตเห็นเมื่อเธอเหนื่อยล้า และหาทางมาทำให้เธอผ่อนคลายอย่างแนบเนียน ไม่ว่าจะเป็นการสั่งกาแฟแก้วโปรดมาให้ หรือแค่เดินผ่านมาทักทายด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ใจเธอสั่นไหวส่วนคิณณ์เองก็ตกหลุมรักอิงฟ้ามากขึ้นทุกวัน เขารู้สึกทึ่งกับความเข้มแข็ง ความอดทน และความสดใสที่เธอมี แม้จะเผชิญกับปัญหามากมายเพียงใด เธอก็ยังคงยิ้มและเดินหน้าต่อไปได้เสมอ เขามั่นใจแล้วว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่เขาตามหามาตลอดชีวิตความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ใช่ความลับในที่ทำงานอีกต่อไป แม้จะไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่การกระทำของคิณณ์ที่แสดงออกถึงความใส่ใจต่ออิงฟ้าอย่างเห็นได้ชัด ก็ทำให้เพื่อนร่วมงานต่างเข้าใจตรงกันว่าความสัมพันธ์ของพวกเขากำลังก้าวไปไกลกว่าแค่เจ้านายกับลูกน้อง"พี่อิงฟ้าคะ เมื่อไหร่จะมีข่าวดีคะเนี่ย ท่านประธานดูรักพี่อิงฟ้าจะแย่แล้วนะ" น้องเมย์แซวพลางยิ้มกว้
กุญแจบ้านที่คิณณ์คืนให้ยังคงอยู่ในมือของอิงฟ้า เอกสารสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ที่ไร้ดอกเบี้ยก็วางอยู่บนโต๊ะ ใบหน้าของคิณณ์ที่เต็มไปด้วยความจริงใจและความหวังผุดขึ้นในห้วงความคิด เธอใช้เวลาครุ่นคิดตลอดคืนเกี่ยวกับคำพูดของเขา ทุกคำพูดของเขา แม้จะเริ่มต้นจากความลับและการปิดบัง แต่ก็ดูเหมือนจะซ่อนความปรารถนาดีและความรู้สึกที่จริงใจเอาไว้"หนูจะลองดูค่ะแม่" อิงฟ้าพูดกับแม่ในเช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่เธอกำลังจัดเตรียมอาหารเช้า "หนูจะลองให้โอกาสคุณคิณณ์"แม่มองหน้าอิงฟ้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโล่งใจและกังวลในคราวเดียวกัน "อิงฟ้ามั่นใจแล้วเหรอลูก?""หนูไม่รู้ว่าหนูมั่นใจแค่ไหนค่ะแม่" อิงฟ้าสารภาพ "แต่หนูเชื่อว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเราจริงๆ แล้วหนูก็อยากรู้ว่าเขาต้องการอะไรจากหนูจริงๆ"พ่อเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา "ถ้าลูกตัดสินใจแล้ว พ่อกับแม่ก็อยู่ข้างลูกเสมอนะ" พ่อพูดพลางตบไหล่ลูกสาวเบาๆ "แต่ถ้ามันไม่ดีอย่างที่คิด ลูกต้องรีบบอกพ่อกับแม่นะ เราจะช่วยกันหาทางออก""ค่ะพ่อ" อิงฟ้ายิ้มให้กับพ่อและแม่ คำพูดของท่านทำให้เธอรู้สึกเข้มแข็งขึ้นเมื่อมาถึงบริษัท อิงฟ้าเดินตรงไปยังห้องทำงานของคิณณ์ด้วยหัวใจที่เ
กุญแจบ้านในมือของอิงฟ้าเย็นเฉียบ แต่กลับร้อนรุ่มราวกับเปลวไฟในใจของเธอ คำสารภาพรักและการเสนอจะยกเลิกสัญญาจำนองของคิณณ์ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท มันทั้งเป็นความหวังที่ริบหรี่และกับดักที่เธอไม่อาจเข้าใจ เธอเดินออกมาจากห้องทำงานของคิณณ์ด้วยความรู้สึกที่ปั่นป่วน เธอต้องการเวลาเพื่อลำดับความคิดและทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนเกินกว่าจินตนาการตลอดทางเดินกลับบ้าน ภาพของคิณณ์ปรากฏขึ้นในหัวเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งในมุมของนักธุรกิจที่เย็นชา เจ้าระเบียบ นายทุนลึกลับ และผู้ชายที่คุกเข่าสารภาพรักอย่างจริงจัง เธอจะเชื่อคำพูดของเขาได้มากแค่ไหน? หรือนี่เป็นเพียงกลลวงอันแยบยลของนักธุรกิจที่ช่ำชอง?เมื่อกลับถึงบ้าน พ่อกับแม่ก็รีบเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ากังวล"เป็นยังไงบ้างอิงฟ้า? คุณคิณณ์ว่ายังไงบ้าง?" แม่ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนอิงฟ้าเงียบไปครู่หนึ่ง เธอหยิบกุญแจบ้านออกมาจากกระเป๋าและวางลงบนฝ่ามือของแม่"เขา... เขายกเลิกสัญญาจำนองแล้วค่ะแม่" อิงฟ้าตอบเสียงเบา ใบหน้าของเธอไร้อารมณ์พ่อกับแม่มองหน้ากันด้วยความตกใจและไม่เชื่อหู"จริงเหรออิงฟ้า! ยกเลิกจริงเหรอ! แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายเขา!" พ่อถามเส
มือของคิณณ์ที่จับมือของอิงฟ้าไว้แน่นยังคงอุ่นซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย คำสารภาพที่ว่า "ผมต้องการคุณจริงๆ คุณอิงฟ้า ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน" และการที่เขาเอากุญแจบ้านมาคืน มันทำให้โลกทั้งใบของอิงฟ้าหมุนคว้าง เธอไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี ระหว่างความโกรธที่ยังคงคุกรุ่น กับความรู้สึกประหลาดที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ"ท่านประธาน... พูดอะไรคะ" อิงฟ้าถามเสียงสั่น ร่างกายยังคงแข็งทื่อคิณณ์กระชับมือเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมกริบของเขาจ้องมองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจและความรู้สึกผิดที่ยากจะปิดซ่อน"ผมรู้ว่ามันอาจจะยากที่จะเชื่อ" คิณณ์พูดเสียงทุ้มต่ำ "แต่ผมพูดความจริงทุกอย่าง" เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ "ผมขอเริ่มต้นอธิบายทุกอย่างให้คุณฟังอย่างละเอียดอีกครั้งได้ไหมครับ"อิงฟ้าเงียบไป เธอสับสนเกินกว่าจะปฏิเสธได้ในตอนนี้ เธอแค่พยักหน้ารับช้าๆ คิณณ์จึงค่อยๆ ปล่อยมือของเธอออก และเดินกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานของเขา พลางผายมือเชิญให้อิงฟ้าไปนั่งที่เก้าอี้รับรองฝั่งตรงข้าม"ผมเข้าใจว่าคุณคงรู้สึกโกรธและผิดหวังในตัวผมมาก" คิณณ์เริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าปกติ "ผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังความจ
คำสารภาพของ คิณณ์ ที่ว่า "ผมต้องการคุณจริงๆ คุณอิงฟ้า ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน" ยังคงดังก้องอยู่ในหัวใจของอิงฟ้า เธอแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ความรู้สึกหลากหลายตีกันมั่วไปหมด ทั้งโกรธที่ถูกหลอก เจ็บปวดที่โดนปิดบัง และประหลาดใจกับคำพูดที่เขาเอ่ยออกมา สถานการณ์นี้มันซับซ้อนเกินกว่าที่เธอจะรับไหวจริงๆอิงฟ้ามองหน้าคิณณ์ ใบหน้าของเขาจริงจัง แต่แววตากลับฉายแววปรารถนาและอ่อนโยนที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน"ท่านประธานกำลังพูดเรื่องอะไรคะ! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ท่านประธานเป็นเจ้าหนี้ของดิฉัน! ท่านประธานหลอกให้ดิฉันจำนองบ้านกับบริษัทของท่านประธานเอง! แล้วท่านประธานจะมาพูดว่าต้องการดิฉันได้ยังไงคะ!" อิงฟ้าพูดเสียงสั่นเครือ น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้ม เธอรู้สึกเหมือนโดนเล่นตลกกับชีวิตคิณณ์ยื่นมือออกไปราวกับจะแตะใบหน้าของเธอ แต่อิงฟ้าก็สะบัดหน้าหนีอย่างรวดเร็ว"ผมรู้ว่าผมทำผิดที่ไม่ได้บอกความจริงกับคุณตั้งแต่แรก" คิณณ์พูดเสียงเรียบ แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "แต่ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายคุณเลยแม้แต่น้อย""ไม่ทำร้ายเหรอคะ! การที่ดิฉันต้องมานั่งกินไม่ได้นอนไม่หลับ กังวลเรื่องบ้านแทบตาย โดยที่ท่านปร
คำสารภาพของคิณณ์ที่ว่า "ผมคิดว่าผม... สนใจในตัวคุณ คุณอิงฟ้า" ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของอิงฟ้า เธอแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ความรู้สึกหลากหลายตีกันมั่วไปหมด ทั้งตกใจ สับสน และประหลาดใจ ยิ่งเขาบอกว่า "ผมคิดว่าคุณคือคนที่ผมตามหามาตลอด" ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหลุดเข้าไปในโลกอีกใบที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน"ท่านประธาน... คือ... ดิฉันไม่เข้าใจค่ะ" อิงฟ้าตอบเสียงแผ่ว ใบหน้าร้อนผ่าว เธอไม่รู้ว่าจะต้องตอบสนองต่อสถานการณ์นี้อย่างไรคิณณ์ยิ้มบางๆ ที่มุมปาก ดวงตาคมกริบของเขายังคงจ้องมองเธอด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดา "คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจในตอนนี้หรอกครับ แค่รู้ไว้ว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะเอาเปรียบคุณ" เขาพูด พลางลดมือลงจากไหล่ของเธอ "และที่สำคัญ ผมหวังว่าการช่วยเหลือในครั้งนี้จะทำให้คุณมองผมในแง่ดีขึ้นบ้าง"อิงฟ้ายังคงยืนนิ่ง เธอรู้สึกเหมือนโดนดึงเข้าไปในเกมที่เธอไม่รู้จักกฎ คิณณ์เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ทำงานของเขา ราวกับว่าบทสนทนาอันแสนประหลาดเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องปกติทั่วไป"เอาล่ะ... กลับไปทำงานได้แล้ว" คิณณ์พูดเสียงเรียบ แต่แววตาของเขากลับดูมีนัยยะบางอย่างที่อิงฟ้าอ่านไม่ออกอิงฟ้าเด