ตอนที่ 8
ตรงของหน้าเขา… คือหญิงสาวในชุดคลุมยาวเหยียด ใบหน้าเรียบสงบ แต่กลับแต้มรอยยิ้มเย็นชา ปลายแขนเสื้อปาดคราบเลือดที่ไหลเปื้อนแก้มอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีม่วงที่ครั้งหนึ่งเคยว่างเปล่า แต่บัดนี้ กลับเยือกเย็นจนเขาไม่อาจกล้าสบตา นางก้มลงอย่างช้าๆ มองร่างที่หายใจรวยรินใต้เท้า พลางแสยะยิ้มเหยียดหยัน องครักษ์ผู้นั้นเปล่งเสียงแผ่วสั่น “เจ้า เจ้ายังไม่ตาย..” ใช่ หญิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้า หาใช่วิญญาณหรือเงาผี แต่คือคนจริงๆ เลือดเนื้อจริงๆ ลมหายใจที่เย็นเยียบแต่หนักแน่นจริงๆ! ดวงตาเขาสั่นระริก พึมพำราวคนเสียสติ “แต่ว่า… เจ้าเป็นเพียงคนโง่ ไม่ใช่รึ! เจ้ามันก็แค่เศษสวะ ไร้ค่า ขี้ขลาดไม่ใช่รึ! คนอย่างเจ้า… จะมีฝีมือเช่นนี้ได้อย่างไร!” แต่คำถามเหล่านั้น…จะไม่มีวันได้รับคำตอบอีกต่อไป หญิงสาวหัวเราะเบาๆ มือที่จับดาบบิดแรง ผลักคมดาบให้จมลึกลงกลางอกจนเลือดพุ่งทะลัก ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มเย็นเยียบ ก่อนเปล่งเสียงสั้นเพียงคำเดียว “ลาก่อน” ความเจ็บแล่นผ่านร่าง องครักษ์ผู้นั้นทรุดฮวบลงกับพื้น ไร้ลมหายใจ ดวงตาที่เบิกโพลงยังคงค้างคา เต็มไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ และเขาจะไม่มีวันล่วงรู้เลยว่าหญิงสาวที่เขาเคยหยามเหยียด ด่าว่าโง่เขลานั้น ได้เปลี่ยนไปแล้ว หาใช่นางคนเดิมไม่! หลินเยว่ซินฉีกชายแขนเสื้อผืนหนึ่ง เช็ดเลือดออกจากมือด้วยท่าทางใจเย็น พลันหันกลับมองสาวใช้ร่างเล็กเสี่ยวถิง ผู้ที่ยืนนิ่งงันราวรูปปั้น ปากอ้าเป็นรูปตัวโอ ใบหน้าซีดเผือดราวกระดาษ สั่นสะท้านจนแทบหมดสติ รอบตัวนางยังมีเศษอาหารและอาเจียนเกลื่อนกลาดบนพื้น บ่งบอกว่าความสยองเมื่อครู่เกินกว่าร่างเล็กๆ จะรับไหว หลินเยว่ซินก้าวเข้าไปใกล้ ร่างเล็กของเสี่ยวถิงถึงกับแข็งทื่อโดยอัตโนมัติ ราวกับถูกตรึงด้วยโซ่ล่องหน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นช้าๆ จ้องดิ่งเข้าไปในดวงตาของสาวใช้ ใบหน้าที่ไร้รอยยิ้ม เอ่ยถามด้วยเสียงเย็นเฉียบ “เจ้ากลัวข้าหรือ?” เสี่ยวถิงสะดุ้งสุดตัว เสียงตะกุกตะกักสั่นระริก “มะ…ไม่เจ้าค่ะ…” แต่ในใจนาง… มิใช่เพียงแค่กลัว หากเป็นความรู้สึกเกินกว่าจะบรรยาย สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเกินคาดหมายไปมาก คุณหนูของนางทำได้อย่างไรกัน! หลินเยว่ซินดึงแขนเสี่ยวถิงที่สั่นระริก มาวางไว้ข้างๆ ฮูหยินรอง ผู้สลบไร้สติอยู่หน้าประตู ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่ทรงอำนาจ “ดี! วันนี้เรามีแค้น ต้องชำระแค้น! และเจ้าจะต้องช่วยข้าล้างแค้น! ลงมือกับนางเสีย ตีมัน!” “หาาา!?” เสี่ยวถิงเบิกตากว้าง ยืนอึ้งไปทั้งตัว “คุณหนู…” น้ำเสียงสั่นพร่าอย่างกล้าๆ กลัวๆ สีหน้าของหลินเยว่ซินกลับมืดหม่นลงทันควัน แววตาแข็งกร้าวดั่งคมดาบ “หรือว่า เจ้าเองก็คิดจะไม่ฟังคำสั่งข้าอีกงั้นรึ!” เสี่ยวถิงหน้าซีด รีบก้มหน้าร้องเสียงหลง “มะ…ไม่ใช่นะเจ้าคะคุณหนู! เสี่ยวถิงจะอยู่ข้างคุณหนูตลอดไป! เพียงแต่… หากนางฟื้นขึ้นมาอีก ข้ากลัวว่า คุณหนูจะถูกทำร้าย…เสี่ยวถิงไม่อยากเห็นคุณหนูเจ็บตัวอีก…” คำพูดนั้นพรั่งพรูออกมาเสียงสั่น ขณะที่หัวใจสั่นระรัวเต็มไปด้วยทั้งความหวาดหวั่นและความจงรักภักดี… นสายตาของเสี่ยวถิง ฮูหยินรองเป็นสตรีประเภทที่ไม่มีวันยอมแพ้ และจะต้องหาทางแก้แค้นกลับมาอย่างแน่นอน “วางใจได้… นางยังไม่ฟื้นง่ายๆ หรอก” เสียงของหลินเยว่ซินเย็นชา เรียบง่าย “หากเจ้าเลือกเป็นคนของข้า ก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า หากไม่… ก็ไสหัวไปเสีย ข้าไม่ต้องการคนที่ไม่ภักดี!” นางไม่ใช่สตรีโง่เขลาที่เคยให้ใครรังแกได้อีกต่อไป ชีวิตที่ต้องก้มหน้าอย่างอับจนหนทางจะไม่มีวันย้อนกลับมาอีก! ต่อไปข้างหน้า นางจะต้องเจอเรื่องเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากเสี่ยวถิงยังคงอ่อนแอ ขี้ขลาดเช่นนี้… ก็มีแต่จะถูกเหยียบซ้ำซากจนตายเปล่า ในใจลึกๆ หลินเยว่ซินเกลียดที่สุดก็คือความอ่อนแอ นี่จึงเป็นบททดสอบครั้งแรกสำหรับ เสี่ยวถิง หากผ่านไม่ได้…ก็ไม่มีคุณสมบัติจะอยู่เคียงข้างนาง แม้เสี่ยวถิงจะยังไม่เข้าใจเลยว่า ภาพลวงตาเมื่อครู่คุณหนูสร้างขึ้นมาได้อย่างไร แต่ความศรัทธาในตัวคุณหนูก็ยังคงแรงกล้า สายตาสีม่วงที่เปล่งแสงราวเปลวไฟทำให้นางเม้มปากแน่น ก่อนจะตัดสินใจเด็ดเดี่ยว เสี่ยวถิงทรุดกายลงคร่อมร่างฮูหยินรองที่สลบยังไม่ฟื้น แล้วระดมกำลังซัดหมัดและตบแรงๆ ชก! ฟาด! ตบ! ทุบ! เสียงกระแทกดังถี่รัวสะท้อนก้องไปทั้งเรือน หลินเยว่ซินมองภาพนั้นด้วยดวงตาเจือรอยยิ้ม มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ราวกับชมละครที่บันเทิงใจยิ่งนัก นิ้วเรียวยาวแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากของตน “เสี่ยวถิง…ตีด้วยมือเปล่าไม่เจ็บรึ ข้างตัวเจ้านั่นไง มีอุปกรณ์ช่วยอยู่ทั้งอัน” เสี่ยวถิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนสายตากลมจะเบิกกว้างเป็นประกายเมื่อมองเห็นไม้ที่ฮูหยินรองหล่นไว้ “คุณหนู สุดยอดเจ้าค่ะ!” นางรีบแย่งไม้จากมือของฮูหยินรอง ที่ยังจับแน่นไม่ยอมปล่อย ก่อนจะเงื้อขึ้นแล้วฟาดลงไม่ยั้ง “นี่! นี่คือบทเรียนสำหรับที่กล้ามารังแกคุณหนูของข้า! และไม่ยอมให้คุณหนูกินข้าว! และแกล้งตัดเบี้ยเลี้ยงคุณหนู! สมควรแล้ว! ฮ่าๆ!” เสียงหวดกระแทกหนักหน่วงไม่หยุด แม้ฤดูหนาวจะหนาวเหน็บ แต่เหงื่อของเสี่ยวถิงกลับท่วมร่าง หอบหายใจแรงจนต้องนั่งแผ่หลาลงกับพื้น ยังไม่วายใช้เท้าเตะร่างที่แน่นิ่งอยู่อีกสองครั้งอย่างสะใจ หลินเยว่ซินจ้องนางด้วยรอยยิ้มตาหยี “สะใจหรือไม่?” เสี่ยวถิงยิ้มกว้าง หัวเราะหอบๆ “สะใจเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความปลดปล่อย ราวกับยกภูเขาออกจากอก อย่างน้อยต่อให้ตาย ก็ยังได้แก้แค้นแทนคุณหนูอย่างเต็มที่ แววตาที่เด็ดเดี่ยวของสาวใช้ ทำให้หลินเยว่ซินเหลือบมองอย่างพอใจ… ‘เด็กคนนี้ ไม่เลวเลยจริงๆ’ ทันใดนั้น หลินเยว่ซินยกฝ่ามือตบไปบนไหล่ของฮูหยินรอง อย่างแรง เสียงโลหะ “ฉัวะ!” ดังลั่น เข็มเงินสองเล่มพุ่งออกจากแขนเสื้อของนางเสียบทะลุเสาไม้ข้างเรือนอย่างแม่นยำ เสี่ยวถิงตะลึงตาค้าง รีบยกมือปิดปาก “คุณหนู… ท่านเก่งถึงเพียงนี้เลยหรือ!” หลินเยว่ซินหัวเราะเบาๆ สายตาสีม่วงลึกล้ำหันกลับมาจ้องนางตรงๆ “แล้วเจ้าชอบข้าในตอนนี้ หรือชอบข้าในอดีตที่โง่เขลากันเล่า” เสี่ยวถิงกลืนน้ำลาย รีบยกมือช่วยทำแผลให้คุณหนูเสียงสั่น “ไม่ว่า จะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้… คุณหนูก็คือคนที่ข้าจะติดตามไปชั่วชีวิต ข้าไม่มีวันเปลี่ยนใจเด็ดขาดเจ้าค่ะ!” ไม่ทันไร ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นก็เริ่มไหวเล็กน้อย ฮูหยินรอง ค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความเจ็บแปลบที่แผ่ซ่านไปทั่วกาย เสียงสูดหายใจแรงลอดออกมา นางพยายามยันกายลุกขึ้น แต่เพียงขยับก็ต้องกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บปวดที่แล่นถึงกระดูกเอว เสียงสะอื้นของเสี่ยวถิงยังดังสะท้อนอยู่ข้างหู ในขณะที่ประตูเรือนไม่รู้เปิดออกตั้งแต่เมื่อไร ลมหนาวพัดกรูเข้ามาเต็มแรง เสียงหน้าต่างไม้เก่าก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดต่อเนื่อง ราวกับเป็นสัญญาณต้อนรับเหตุการณ์วุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้น… “อ๊าา! อย่าเข้ามา! อย่า ข้าไม่รู้! ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น! ไม่ใช่ข้า! ไม่ใช่ข้าที่ทำ!” เสียงหวีดร้องปนความหวาดกลัวดังลั่นฮูหยินรอง คลานกระเสือกกระสนออกจากเรือนเหมือนคนเสียสติ ร่างนางสั่นระริก ราวกับกำลังถูกปีศาจตามหลอกหลอน เสี่ยวถิงมองภาพนั้นด้วยหัวใจเต้นแรง ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเป็นครั้งแรกในชีวิต ความสะใจผสมความแปลกใหม่เอ่อท้นในอก นางเหลือบตามองคุณหนูผู้เป็นนายด้วยสายตาเคารพ และตกตะลึงใบหน้านั้นคุ้นเคยนัก แต่กลับให้ความรู้สึกแตกต่างเสียจนไม่อาจเชื่อว่านี่คือคนคนเดิม ไม่เพียงคำพูด… แม้แต่ท่วงท่าก็เปลี่ยนไป ราวกับสตรีตรงหน้ากลายเป็นอีกคนโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไร ความรู้สึกยินดีในใจเสี่ยวถิงก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ’ดีแล้ว… ต่อจากนี้ คุณหนูจะไม่ถูกเหยียบย่ำอีก ไม่ต้องทนยอมจำนนอีกต่อไป แม้จะต้องใช้เล่ห์กล แม้จะต้องอาบมือด้วยเลือด…ก็แล้วอย่างไรเล่า สิ่งที่พวกนั้นทำกับคุณหนู สมควรได้รับ! ถึงขนาดจะกล้าเผาคุณหนูทั้งเป็นงั้นรึ! ช่างโหดเหี้ยมเสียจริง!’ ตราบใดที่คุณหนูของนางยังยืนหยัด ไม่ถูกรังแกอีก… เสี่ยวถิงก็พร้อมจะวางหัวใจไว้ให้โดยไม่ลังเล แต่กระนั้น “คุณหนูเจ้าคะ! ฮูหยินรองอาจหนีไปก็จริง แต่ข้าเกรงว่าอีกไม่นาน นางต้องย้อนกลับมาแก้แค้นแน่ๆ เราควรรีบหลบหนีดีกว่านะเจ้าคะ!” เสียงเล็กสั่นพร่าด้วยความกังวล แววตาของสาวใช้เต็มไปด้วยห่วงใยจริงใจ ราวกับแม่เด็กที่หวงแหนลูกในอ้อมอก หญิงสาวทั้งสองร่วมแรงกันจัดการกับร่องรอยซาก เลือดและความวุ่นวายถูกลบจนหมดสิ้น ห้องเรือนกลับคืนสู่ความเงียบสงบดังเดิม กระทั่ง ยามหงส์หลับ เที่ยงคืนเงียบงัน… “โครม!” ประตูไม้หน้าห้องที่ปิดสนิทกลับถูกกระแทกเสียงดังสนั่นกลางรัตติกาล เสี่ยวถิงที่กำลังจะเข้ามาพักผ่อน ร่างเล็กถึงกับทรุดฮวบลงตรง ธรณีประตู ลมหายใจขาดห้วง ราวกับถูกแรงลึกลับบีบรัด ม่านตาสีม่วงลึกล้ำของหลินเยว่ซินเบิกกว้างทันที นางผุดลุกขึ้น สายตาเย็นเฉียบวูบผ่าน ความเงียบที่ปกคลุมพลันแหลกสลายราวกับฝันร้ายครั้งใหม่กำลังจะเริ่มต้น… ‘เวลานี้เองรึ นางผู้นั้น… ถึงกับส่งมือสังหารมาเร็วถึงเพียงนี้เชียว!’ เพราะเคยเป็นนักฆ่ามือหนึ่งมาก่อน การนอนหลับนางจึงเบาดุจขนนก เพียงลมแผ่วพลิ้วก็สามารถปลุกให้นางลืมตาตื่นได้ทันที หลินเยว่ซินกลั้นลมหายใจ ย่างเท้าแผ่วเบาไร้สุ้มเสียง เคลื่อนกายไปยังหน้าประตูอย่างระแวดระวัง ประตูไม้ผุพังเปิดแง้มอยู่แล้ว และสิ่งที่ปรากฏตรงนั้น… ม่านตาสีม่วงของนางหรี่ลงทันใด สาวใช้ตัวน้อย นอนแน่นิ่งไร้สติบนพื้นธรณีประตู ราวกับถูกโจมตีเพียงชั่วขณะที่ผลักบานประตูเข้ามา และข้างกายร่างนั้นคือ บุรุษในชุดดำ ผู้หนึ่งบทที่ 77หลินเยว่ซินหัวเราะเบาๆในลำคอ นางยกมือขวาขึ้นอย่างเชื่องช้าปลายนิ้วขาวซีด เรียวยาวราวหยกสลัก เผยฝ่ามือที่แบออกในมือนั้น คือเข็มทองสองเล่ม สิ่งที่เขารู้จักดียิ่งกว่าผู้ใดในใต้หล้า ดวงตาดำสนิทของเขาฉายแววบางอย่างวูบไหว แต่ยังแสร้งยิ้มบางประหนึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราว “เข็มทองรึ…หน้าตาก็แปลกดี” เสแสร้งหรือ? หลินเยว่ซินเพียงยิ้มเล็กน้อยอย่างรู้ทัน แต่หาได้เอ่ยวาจาเปิดโปงหรือกดดันใดๆ นางเพียงหยิบเข็มเล่มหนึ่งขึ้นมาช้าๆ หมุนปลายเรียวอย่างแผ่วเบาในระหว่างนิ้ว “งั้นหรือ… ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” เสียงของนางเยียบเย็นดุจหิมะตกกลางฤดูร้อน แฝงรอยประชดประชันที่คมกริบเกินกว่าจะถูกจับผิดได้ “ของบางอย่าง ต่อให้ภายนอกงดงามเพียงใด ก็อาจซ่อนพิษร้ายในทุกเสี้ยวของเนื้อแท้” กล่าวจบ นางก้าวขึ้นอีกก้าว ยืนประจันหน้ากับเขาในระยะประชิดใกล้เสียจนได้ยินแม้เสียงลมหายใจ หลินเยว่ซินมองเขานิ่งๆ ในใจกลับยกย่องอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ บุรุษผู้นี้… ไม่สิ เด็กหนุ่มผู้นี้ กลับมีจิตใจลึกซึ้งเกินวัย ราวกับเคยผ่านศึกหนักนับร้อยสนาม ชั้นเชิงของเขา… ไม่ใช่สิ่งที่เด็กคนหนึ่งควรมี หากแต่ลึกล้ำประหนึ่งสืบทอดจากบรรพชน
บทที่ 76คิ้วเรียวของหลินอวี้เฉิงขมวดแน่นเล็กน้อย ก่อนจะถอดผ้าคลุมไหล่ออกแล้วค่อยๆ คลี่มันออกด้วยมืออันอ่อนโยน โอบคลุมร่างที่สั่นไหวของมารดาไว้แน่น แววตาที่ทอดมองเต็มไปด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด มีเพียงความเงียบงันที่อ่อนโยนปกคลุมอยู่รอบตัวทันใดนั้น เสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้น“เจ้ามาทำอะไรที่นี่!”หลินเทียนหยู่ตวาดลั่น แววตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะที่แทบจะระเบิดออกมาเสียให้ได้ ความขุ่นเคืองในอกพลันพุ่งพล่านราวอยากทำลายทุกสิ่งตรงหน้าให้พินาศในขณะที่บรรยากาศตึงเครียดถึงขีดสุด เสียงหัวเราะเบาๆ พลันดังขึ้นหลินเยว่ซินก้าวเข้ามาอย่างสงบนิ่ง แขนข้างหนึ่งพาดอยู่บนไหล่ของหลินเทียนเฟิงด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนัก แม้จะเผชิญหน้ากับบิดาโดยตรง แต่ดวงตาคู่นั้นกลับไม่เหลือบมองแม้แต่น้อยนางยกมือขึ้นช้าๆ ปลายนิ้วเรียวยาวลูบไล้เล็บสีแดงที่แต้มไว้อย่างประณีต ท่าทางเหมือนไม่พอใจนัก แต่คำพูดที่หลุดออกจากปากกลับแทงใจผู้เป็นบิดาเข้าอย่างจัง“ฝีมือของท่านพ่อ… พวกเราลูกๆ ล้วนได้ประจักษ์กับตาแล้วเจ้าค่ะ”เสียงของหลินเยว่ซินเยียบเย็นดุจน้ำค้างยามเหมันต์ ล่องลอยอยู่กลางอากาศ เงียบงันราวกับคมดาบกรีดลงกลางอ
บทที่ 75ขณะนั้นเอง ขุนนางวัยกลางคนผู้หนึ่งเบียดฝูงชนเข้ามา ชุดขุนนางของเขาเบียดเสียดกับแขนเสื้อผู้อื่นอย่างไม่เกรงใจในมือมีห่อเอกสารถูกพับอย่างดี“ฮ่ะฮ่าๆ! มาแล้ว มาแล้ว ทุกท่านทั้งหลาย พวกท่านอยากรู้เรื่องนี้มากใช่หรือไม่ เช่นนั้น ดูสิ! ดูสิ่งนี้คืออะไร!”ผู้คนแย่งกันไปหยิบอ่าน พอเพียงกวาดตาไปไม่กี่บรรทัดก็พากันหัวเราะเสียงดังไม่หยุดทุกสายตา หันขวับไปยังชายผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อม โดยไร้ซึ่งความเข้าใจใดๆสายตาเหล่านั้นเจือทั้งความเวทนา เสียดสี และความสะใจ…ปะปนกันจนยากแยกแยะหลินเทียนหยู่คิ้วกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่หัวใจจะเต้นแรงขึ้น สัญชาตญาณของแม่ทัพผู้ผ่านศึกนับไม่ถ้วนกำลังกระซิบบอกเขาว่า…ในเอกสารนั้น ต้องมีเรื่องอัปยศเกี่ยวกับเขาอย่างแน่นอนเขาพุ่งมือไปคว้ากระดาษแผ่นหนึ่ง ดวงตาคมกริบไล่กวาดตัวอักษรทีละบรรทัด…“ภรรยาคนแรกของท่านกั๋วกงตระกูลหลิน คือแม่นางสกุลโหว หลินเทียนหยู่รักนางดั่งชีวิต แต่ไม่ได้ใส่ใจสกุลหลี่แม้เพียงน้อยหลี่อวี้หรงเฝ้าเรือนอย่างเดียวดาย อกอัดตันใจจนต้องระบายกับคนรับใช้ในจวนจากนั้น…ไม่นาน นางก็ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดหลินอวี้ซิง…”ราวกับฟ้าผ่าลงตรงกล
บทที่ 74 “ท่านแม่รอง…” เสียงของหลินเยว่ซินอ่อนลง พลางยกมือลูบหว่างคิ้วด้วยท่าทีปวดหัว “ขอเถิด…วันหนึ่งจะปล่อยให้ข้าอยู่อย่างสงบบ้างไม่ได้หรือ?” คำพูดที่ทั้งเฉื่อยชาและรำคาญนั้น เล่นเอาหลี่อวี้หรงถึงกับจุกอก พูดไม่ออกสักคำ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยโทสะ แทบจะสำลักโลหิตออกมา! นางผู้นี้…ยังจะกล้าแสร้งไม่รู้เรื่อง อยู่อีกหรือ! หลี่อวี้หรงกัดฟันแน่น พยายามข่มกลั้นโทสะที่แทบปะทุขึ้นมาท่วมอก นางจ้องเขม็งไปยังหญิงสาวตรงหน้าอย่างโกรธเคือง “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะถามให้ชัด!” “เมื่อคืน…มีคนเห็นสาวใช้ของเจ้าลอบออกไปข้างนอก แล้วกลับมาช้ามาก! จากนั้น เช้าวันนี้ ใบปลิวก็ว่อนเมือง! เรื่องเมื่อคืนกับเรื่องฐานะบุตรสาวข้าก็ถูกพูดกันให้ทั่ว! เจ้ายังจะกล้าปฏิเสธอีกหรือว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าแม้แต่น้อย!” หลินเยว่ซินยกมุมปากนิดๆ เอ่ยเสียงเนิบไม่ทุกข์ร้อน “เมื่อวาน…ท่านแม่รองเพิ่งกล่าวหาว่าข้าเป็นลูกนอกสมรสไม่ใช่หรือ? วันนี้…ก็รีบร้อนมาแต่เช้าเพื่อด่าข้าว่าปล่อยข่าวลือใส่พี่รอง ท่านไม่เหนื่อยบ้างหรือ หรือว่าหากวันใดไม่ได้หาเรื่องข้า ท่านจะกินไม่ได้ นอนไม่หลับเสียกระมัง” “เจ้า…!” “ท่านนี่สมกับเป็นมารด
บทที่ 72 ณ เรือนเยว่หยวน หลังจากเสี่ยวถิงจัดเตียงของคุณหนูเรียบร้อยแล้ว นางก็ลอบม้วนตัวกลับไปยังเรือนข้างอย่างเงียบงัน เพื่อพักผ่อน ในห้องที่เงียบมืดสนิท หลินเยว่ซินขยับนิ้วเพียงน้อยร่างของนาง ก็เลือนหายเข้าสู่มิติลับในพริบตา ภายในบ่อน้ำแห่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไออุ่นลอยคลุ้งบางเบา ปกคลุมทั่วผืนอากาศ สตรีนางหนึ่งนั่งพิงแผ่นหินใหญ่ด้วยท่วงท่าเกียจคร้าน ร่างเปลือยเปล่าแช่อยู่ในน้ำอย่างไม่ไยดี ริมฝีปากโค้งรอยยิ้มจางคล้ายเบื่อหน่าย มือหนึ่งของนาง ลูบไล้ไข่อสูรเบาๆ ไข่ใบนั้นมีขนาดใหญ่เกือบเท่าเด็กวัยห้าขวบ เนื้อไข่โปร่งแสงบางส่วน แผ่พลังหม่นลึกลับที่หมุนวนอยู่ภายในอย่างแผ่วพลิ้ว พลังนั้น…เหมือนมีชีวิตของตน “เจ้านี่…โตช้าชะมัด โตช้าจนข้าเริ่มรำคาญแล้วนะ” เสียงบ่นของนางเบาแผ่ว ทว่าแฝงด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม คล้ายตำหนิของเล่นไร้ประโยชน์ที่ยังไม่ยอมเผยบทบาทสำคัญ ดวงตาสีม่วงเฉียบคมเหลือบมองไข่ใบนั้น ประกายหยอกล้อผสานแววเยาะหยันฉายชัดในดวงตาคู่งามหมั่นไส้ปนเอ็นดู… น้ำและดินในมิติแห่งนี้…หาใช่สิ่งของธรรมดาที่พบเห็นในโลกภายนอกไม่แต่กลับอวลไปด้วยพลังแห่งฟ้าดินอันมิอาจลบล้างได้ง่ายแ
บทที่ 71สายตาคมกริบดั่งคมของหนานกงเยี่ยนหลัว จับจ้องไปยังอ่างปลาทรงประหลาดใบหนึ่ง สิ่งเดียวที่ดูไม่เข้ากับบรรยากาศเรียบสงบภายในเรือนในน้ำนิ่งใสสะอาดเรียบเย็น…เศษหยกโลหิตนั้น ที่แตกละเอียดก่อนหน้านี้ กำลังค่อยๆรวมตัวกลับเป็นรูปลักษณะเดิมอย่างเชื่องช้า ทว่า ดูลี้ลับยิ่งนัก เขาขมวดคิ้วเบาๆ เบิกตากว้างอย่างอดใจไม่ไหว“นี่มัน… อะไรกันแน่?”เสียงหัวเราะแผ่วเบาๆดังขึ้นจากข้างกายหลินเยว่ซิน หญิงสาวผู้สงบนิ่งคล้ายไม่แยแสสิ่งใด มือขาวเรียวเอื้อมไปหยิบหยกโลหิตขึ้นจากอ่างน้ำ ก่อนกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ ดูคล้ายเรื่องไร้สาระ“ก็แค่ หยกโลหิต อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้จัก”นางพลิกหยกโลหิตไปมาในมือราวกับของเล่น แสงจากโคมไฟสาดกระทบผิวหยกจนสะท้อนประกายสีเลือดงดงาม กลับดูไร้รอยตำหนิ งดงามยิ่งกว่าก่อนจะแตกเสียอีก“ดูเหมือนว่า สายน้ำในมิติของข้า จะมีคุณวิเศษเกินคาด” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงรอยขบขัน ขณะมองชายหนุ่มที่เริ่มทำหน้าเคร่งเครียดเขารู้จักหยกโลหิต แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจที่สุด กลับไม่ใช่หยก เขายกมือชี้ไปยังอ่างปลาทรงประหลาดนั้นทันที “ข้าหมายถึง เจ้านั่นต่างหาก!”นางปรายตามองตามนิ้ว ก่อนจะหัวเราะ