บทที่ 9
เขาทรุดลงคุกเข่าข้างเดียว มือขวากดแน่นที่อก คล้ายกำลังฝืนรับความเจ็บปวดที่แล่นผ่านสติ ผ้าคลุมหนาทึบปิดบังตั้งแต่ศีรษะจรดไหล่ เหลือเพียงเศษเสี้ยวที่เผยออกมา แต่ก็ยังซ่อนด้วย หน้ากากเงินครึ่งซีก แม้ไร้ถ้อยคำใดเล็ดรอด แต่แววตาที่ลอดผ่านหน้ากากนั้น… เย็นชาประหนึ่งธารน้ำแข็งพันปี แผ่กระแสกดดันบาดลึกเข้าถึงจิตวิญญาณ หลินเยว่ซินรู้สึกได้ทันทีนี่มิใช่เพียงมือสังหารธรรมดา หากแต่เป็นศัตรูที่น่าหวั่นเกรงยิ่งนัก ปลายนิ้วของบุรุษในชุดดำสะบัดเบาๆ แสงขาววาบหนึ่งพุ่งแหลมคมออกมา กลิ่นอายสังหารหนาแน่น ปะปนราวกับจะฉีกทึ้งทุกสิ่งตรงหน้า นางขมวดคิ้วแน่นใบหน้าเคร่งขรึมลงทันใด นางเบี่ยงกายด้วยฝีเท้าแปลกพิสดาร ก้าวแต่ละก้าวราวกับซ้อนเงากับแสง แวบหายแล้วปรากฏใหม่ในชั่วพริบตา แม้จะหลบได้ แต่หลินเยว่ซินก็รู้หากเป็นการโจมตีเต็มพลังของเขา นางเกรงว่าจะมิอาจรอดพ้นได้เช่นนี้แน่นอน เสียงเข้มเย็นของนางดังขึ้นท่ามกลางแรงกดดัน “เจ้าคือผู้ใดกันแน่!” เสียงก้องในความเงียบกลางราตรี แววตาสีม่วงคมกริบฉายประกายเย็นยะเยือก ในยามดึกเช่นนี้ยังมีผู้กล้าบุกรุกเข้ามาในเรือน แถมทำร้ายสาวใช้คนสนิทของตน แล้วหันคมสังหารใส่นางอีก มีหรือที่นางจะอารมณ์ดีได้ บุรุษในชุดดำคล้ายหมดสิ้นเรี่ยวแรงไปจริงๆ การโจมตีเมื่อครู่ ได้กลืนพลังเฮือกสุดท้ายของเขาไป ร่างกายเขาโงนเงน ก่อนจะล้มฟาดลงนอนแนบพื้นโดยไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน หลินเยว่ซินยืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจสาวเท้าเข้าใกล้ ทว่าก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าว นางก็หยุดลง นิ้วเรียวเคลื่อนไหวว่องไว เข็มเงินสิบกว่าเล่มถูกปล่อยออกมาราวสายฝน พุ่งแทงเข้าจุดสำคัญทั่วร่างตรงหน้ารวดเร็ว แม่นยำ! เมื่อผนึกชีพจรเสร็จสิ้น นางสะบัดฝ่ามือปัดฝุ่นเบาๆ แววตาพึงพอใจ ก่อนย่อตัวลงนั่งยองๆ ข้างร่างชายผู้นั้น ใครก็ตามที่แต่งกายมิดชิดในยามวิกาลเช่นนี้ หากไม่ใช่ ‘นักฆ่า’ จะเป็นใครไปได้ เสื้อคลุมดำสนิท หน้ากากเงินปิดบังใบหน้า ปรากฏกายในเรือนนางกลางค่ำคืนชัดเจนยิ่งกว่าดวงจันทร์บนฟ้า เพื่อความปลอดภัย นางจำเป็นต้องผนึกเขาไว้ก่อน ดวงตาสีม่วงก้มลงจับจ้อง ไล่สายตามองจากศีรษะลงไปจนถึงปลายเท้า ทุกสิ่งที่เขาสวมใส่ตั้งแต่ผ้าเนื้อดี จนถึงอาภรณ์ที่ตัดเย็บอย่างประณีตบ่งบอกฐานะที่ไม่ธรรมดา ค่าตัวสูงลิ่วเกินกว่านักฆ่ารับจ้างทั่วไป มุมปากของนางแย้มยิ้มเย็นบางๆ นางขยับมือ ล้วงค้นตรวจตามเนื้อตัวโดยไม่สนใจสายตาใคร พูดตามตรงนางยังไม่ชินกับชุดโบราณเหล่านี้นัก จึงใช้เพียงสัมผัสปลายนิ้วเป็นหลักในการตรวจค้น บุรุษหน้ากาก รับรู้สิ่งแรกที่นางทำ กลับเป็น… ลูบไล้ทั่วร่างเขา! เลือดในกายแทบเดือดพล่าน ดวงตาที่โผล่พ้นหน้ากากเงินแทบพ่นไฟออกมา หากไม่ติดที่ถูกปิดจุดจนขยับไม่ได้ เขาคงจะบีบคอนางให้ตายคามือไปแล้ว! เขากัดฟันแน่น เสียงตะคอกลอดไรฟันดังลั่น! “เจ้าคิดจะทำอะไร!?”หลินเยว่ซินเอียงคอยิ้มเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน “ทำอะไรน่ะหรือ ท่านบุกรุกเข้ามากลางวิกาล ยังกล้าทำร้าย สาวใช้ของข้า เช่นนี้ มิสมควรต้องชดใช้ทั้งค่ารักษาและค่าทำขวัญบ้างหรือ?” น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบแต่แฝงรอยหยอกเหย้า มือเรียวยังคงลูบไล้ตามร่างชายในชุดดำ ราวกับกำลังค้นหาเงินทองหรือสมบัติล้ำค่าโดยไม่สนใจความอึดอัดของเจ้าของร่างเลยสักนิด บุรุษหน้ากากสะอึกดวงตาแทบพ่นไฟด้วยโทสะ โกรธจนเส้นเลือดปูดขึ้นบนขมับ นาง… นาง… พฤติกรรมเช่นนี้ใช่สิ่งที่สตรีพึงกระทำกับผู้บาดเจ็บหรือไม่! “เจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร!” เสียงของเขาแหบต่ำ กัดฟันกรอด หลินเยว่ซินคลำอยู่เกือบทั่วทั้งร่าง กลับไม่พบแม้แต่เหรียญเดียว ใบหน้างดงามเริ่มฉายแววไม่พอใจ นางฟาดมือลงบนอกเขาเสียงดัง ปัง! แล้วเชิดหน้าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “สมัยนี้นักฆ่าออกงาน ไม่พกแม้แต่เงินติดตัวเลยหรือยังไง!“ นางมิได้ใส่ใจด้วยซ้ำว่าผู้เบื้องหน้าจะเป็นใคร น้ำเสียงเต็มไปด้วยความยโสโอหัง คล้ายไม่คิดลดตัวถามไถ่ให้ต้องหงุดหงิดใจ ทว่าทันใดนั้นที่บริเวณเอวของ บุรุษหน้ากาก กลับแผ่วกระจายกลิ่นอายแปลกประหลาดออกมา… สายตาคมกริบของหลินเยว่ซินวูบไหว นางเอื้อมมือไปคว้าอย่างว่องไวและแม่นยำ ก่อนจะดึงบางสิ่งออกมาได้สำเร็จ ภายใต้แสงจันทร์สีเงินอาบทั่วเรือน หญิงสาวยกสิ่งนั้นขึ้นมาพลิกดูด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หยกสีม่วงใสบริสุทธิ์ ขนาดราวฝ่ามือส่องประกายราวแก้วผลึกอันล้ำค่า ตรงกลางแกะสลักลวดลายประหลาดที่บ่งบอกว่าไม่ใช่ของสามัญ เพียงมองแวบเดียวก็รู้ นี่คือของล้ำค่าหาที่เปรียบมิได้! หลินเยว่ซินหัวเราะเบาๆ ยกหยกขึ้นสูงแล้วเอ่ยเสียงใสปนหยอกเย้า “เฮ้~~ ของดีเช่นนี้ ข้อขอนะ อยู่ในมือของข้าพอดีเลย~” เสียงหวานแฝงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่ก็ยังคงความขี้เล่นน่าหมั่นไส้ที่สุดไว้ หญิงสาวแกว่งหยกในมือไปมาอย่างยียวน แววตาเล่นสนุกปนความเย่อหยิ่ง ยิ้มระรื่นราวกับเด็กน้อยที่เพิ่งได้ของเล่นใหม่ ในเมื่อพรุ่งนี้นางก็ตั้งใจจะหนีออกจากจวนอยู่แล้ว ก็ไม่เห็นความจำเป็นใดต้องรักษามารยาทอีกต่อไป ที่นี่… ไม่มีสิ่งใดให้นางต้องจดจำเลยแม้แต่น้อย “คอยดูเถอะ วันใดที่ข้ากลับมาอีกครั้ง หึหึ” รอยยิ้มเย็นที่แต้มบนเรียวปากในเงามืด ราวกับมารร้ายในร่างสตรีน้อย พลันเผยเจตนาน่าขนลุก “ถึงตอนนั้น…ทุกคนจะได้เห็น ‘ตัวตนที่แท้จริง’ ของข้าว่าเป็นเยี่ยงไร! ฮ่าๆๆ” บุรุษชุดดำกัดฟันกรอด เลือดแทบพุ่งขึ้นหน้า ชั่วชีวิต เขาไม่เคยพบสตรีใดที่อวดดี หน้าไม่อายถึงเพียงนี้! ปล้นหยกอันล้ำค่าของเขาไปหน้าตาเฉย แล้วยังกล้าสำราญ นั่งยิ้มเยาะอยู่ตรงหน้า ราวกับเป็นเรื่องขบขัน! “นั่นเป็นของข้า! เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะแตะต้อง!” เสียงของเขาดุดันกร้าวแกร่ง ประหนึ่งหยกชิ้นนั้นมีค่ามากกว่าลมหายใจของเขาเอง หลินเยว่ซินกลับหัวเราะในลำคอ เบนสายตามองอย่างดูแคลน “คำพูดเช่นนี้ของท่าน ข้าไม่ปลื้มเลยนะ” นางเอนกายนั่งอย่างสบายอารมณ์ มือยังควงหยกเล่นไปมาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “แต่เอาเถิด ถ้าเจ้าคิดว่าข้าไม่มีคุณสมบัติ… เชิญสิ มาชิงคืนไปด้วยมือของเจ้าเอง~” จะให้ชิงคืน? นางบ้าไปแล้วรึ! ยังมีหน้าพูดได้อีกหรือ! ใครกันที่เพิ่งผนึกจุดชีพจรเขาจนขยับไม่ได้ แม้แต่ตอนนี้ต่อให้ไม่ถูกผนึกชีพจร เขาเองก็ยังไร้เรี่ยวแรงจะลุกขึ้น… เพราะพิษเย็นที่กัดกินในกาย กำลังแผลงฤทธิ์อย่างบ้าคลั่ง! “เจ้าจะต้องเสียใจในสิ่งที่ทำในคืนนี้!” เสียงชายหนุ่มก้องต่ำ เต็มไปด้วยโทสะสะท้านในอกขบฟันแน่นราวจะบดขยี้ แต่หญิงสาวกลับหัวเราะเบาๆ รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนเรียวปากงาม “เจ้า… เป็นใครกันแน่เล่า คลุมหน้าคลุมตาซะราวกับมัมมี่…” ม่านตาสีม่วงของนางหรี่ลง จ้องอีกฝ่ายเขม็ง ราวกับจะมองทะลุทุกสิ่งที่เขาพยายามปกปิดไว้ “หรือว่า… เจ้าแท้จริงมิใช่บุรุษ ข้าเริ่มสงสัยแล้วนะ ว่าเจ้าอาจเป็นสาวงามปลอมเพศ!” คำว่า ‘สาวงามปลอมเพศ’ หลุดจากเรียวปากดุจคมมีดเชือดเฉือนศักดิ์ศรีกรีดลึกถึงกระดูก! ใต้หน้ากากเงินครึ่งหน้า สีหน้าชายหนุ่มมืดดำในบัดดล ดวงตาสีเลือดวาวโรจน์ด้วยโทสะจนแทบระเบิด! ‘นางผู้นี้เป็นใครกันแน่ ถึงกล้าลบหลู่เขาถึงเพียงนี้!’ ‘ช่างปากกล้าเกินไปยิ่งนัก!’ เสียงทุ้มของบุรุษดังขึ้นเต็มไปด้วยโทสะ “เจ้าจะต้องชดใช้!” เขาสาบานในใจว่าจะทำให้สตรีตรงหน้า ต้องชดใช้จนไร้หนทางหวนกลับ! เพียงแค่เสี้ยวลมหายใจ หลินเยว่ซินกลับแย้มรอยยิ้มบางเบา มือพลันฉวยโอกาสกระชากผ้าคลุมของเขาออกอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้ทันตั้งตัว พรึ่บ! เส้นผมสีเงินยาวสลวยจรดเอว พลันสยายออกมาดั่งม่านน้ำตก ทอประกายเจิดจ้าภายใต้แสงจันทร์ยามราตรี ราวหยกเงินต้องแสงพร่างพราย แสงเงาสะท้อนบนหน้ากากเงินที่เคยปิดบังใบหน้า ทำให้ภาพเบื้องหน้างดงามเยียบเย็นจนแทบหยุดลมหายใจ ม่านตาสีม่วงของหลินเยว่ซินเบิกกว้าง “เรือนผม…สีเงิน!?” โลกปัจจุบันก็แทบไม่มีผู้ใดจะควบคุมโทนสีเช่นนี้ได้ง่ายๆ จะมีแต่พวกที่หลุดโลกหรือแหวกแนวสุดขั้วเท่านั้น แต่บุรุษตรงหน้ากลับมิได้ดูตลกหรือแปลกตา… ตรงกันข้าม มันช่างงามจับตาเสียจนยากจะละสายตา! มุมปากของนางกระตุกเบาๆ พลางพึมพำ “ดูท่าคงเป็นบุรุษรูปงามโดยแท้…” ว่าพลาง นางยื่นมือออกหมายจะถอดหน้ากากของเขาออกให้ได้! “เจ้า! หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงเย็นเยียบเฉกเช่นน้ำแข็งพันปี แผ่ซ่านออกจากปากชายหนุ่ม ราวกับอุณหภูมิรอบกายลดต่ำลงทันใด “หืม?” หลินเยว่ซินเลิกคิ้ว ยิ้มมุมปากยียวน “ข้าไม่หยุดหรอก” นางเป็นเช่นนี้เสมอ ใครบอกให้ไปทิศตะวันตก นางจะหันไปตะวันออก ใครบอกห้าม นางกลับยิ่งอยากทำ มือเล็กเคลื่อนไหวฉับไว หน้ากากเงินถูกถอดออกในพริบตา! ชายหนุ่มเบือนหน้าออกเล็กน้อย สีหน้าฝืนราวกับไม่ต้องการเผชิญสายตารังเกียจจากสตรีตรงหน้า แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม หลินเยว่ซินถึงกับกลั้นลมหายใจไปชั่วขณะ เส้นผมสีเงินสยายพลิ้ว ดวงตาสีโลหิตสดราวโลหิตส่องประกายกลางความมืด… สวรรค์! นางถึงกับตะลึงงัน “งดงาม งดงามมากๆ…” คำพูดพรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว บุรุษตรงหน้าในชุดดำสนิท ผมสีเงินยาวสลวย นัยน์ตาแดงฉานราวอัญมณีสีเลือด ใบหน้าคมกริบดั่งสลักจากมีดเทพ ทุกสัดส่วนช่างไร้ที่ติ เสมือนบุรุษที่ถูกวาดขึ้นมาจากภาพฝัน เป็นความงามที่โลกยากจะหาเทียบ! ดวงตาสีม่วงของหลินเยว่ซินพร่างพราย ด้วยประกายอิจฉาและทึ่งในเวลาเดียวกัน ใช่ใช่ ชายหนุ่มชะงักไปทั้งร่าง “…งดงาม?” เขาหันกลับมามองนางอีกครั้งด้วยแววตาซับซ้อน ริมฝีปากขยับแผ่ว “เจ้า…ไม่กลัวข้าหรือ?”บทที่ 77หลินเยว่ซินหัวเราะเบาๆในลำคอ นางยกมือขวาขึ้นอย่างเชื่องช้าปลายนิ้วขาวซีด เรียวยาวราวหยกสลัก เผยฝ่ามือที่แบออกในมือนั้น คือเข็มทองสองเล่ม สิ่งที่เขารู้จักดียิ่งกว่าผู้ใดในใต้หล้า ดวงตาดำสนิทของเขาฉายแววบางอย่างวูบไหว แต่ยังแสร้งยิ้มบางประหนึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราว “เข็มทองรึ…หน้าตาก็แปลกดี” เสแสร้งหรือ? หลินเยว่ซินเพียงยิ้มเล็กน้อยอย่างรู้ทัน แต่หาได้เอ่ยวาจาเปิดโปงหรือกดดันใดๆ นางเพียงหยิบเข็มเล่มหนึ่งขึ้นมาช้าๆ หมุนปลายเรียวอย่างแผ่วเบาในระหว่างนิ้ว “งั้นหรือ… ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” เสียงของนางเยียบเย็นดุจหิมะตกกลางฤดูร้อน แฝงรอยประชดประชันที่คมกริบเกินกว่าจะถูกจับผิดได้ “ของบางอย่าง ต่อให้ภายนอกงดงามเพียงใด ก็อาจซ่อนพิษร้ายในทุกเสี้ยวของเนื้อแท้” กล่าวจบ นางก้าวขึ้นอีกก้าว ยืนประจันหน้ากับเขาในระยะประชิดใกล้เสียจนได้ยินแม้เสียงลมหายใจ หลินเยว่ซินมองเขานิ่งๆ ในใจกลับยกย่องอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ บุรุษผู้นี้… ไม่สิ เด็กหนุ่มผู้นี้ กลับมีจิตใจลึกซึ้งเกินวัย ราวกับเคยผ่านศึกหนักนับร้อยสนาม ชั้นเชิงของเขา… ไม่ใช่สิ่งที่เด็กคนหนึ่งควรมี หากแต่ลึกล้ำประหนึ่งสืบทอดจากบรรพชน
บทที่ 76คิ้วเรียวของหลินอวี้เฉิงขมวดแน่นเล็กน้อย ก่อนจะถอดผ้าคลุมไหล่ออกแล้วค่อยๆ คลี่มันออกด้วยมืออันอ่อนโยน โอบคลุมร่างที่สั่นไหวของมารดาไว้แน่น แววตาที่ทอดมองเต็มไปด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด มีเพียงความเงียบงันที่อ่อนโยนปกคลุมอยู่รอบตัวทันใดนั้น เสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้น“เจ้ามาทำอะไรที่นี่!”หลินเทียนหยู่ตวาดลั่น แววตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะที่แทบจะระเบิดออกมาเสียให้ได้ ความขุ่นเคืองในอกพลันพุ่งพล่านราวอยากทำลายทุกสิ่งตรงหน้าให้พินาศในขณะที่บรรยากาศตึงเครียดถึงขีดสุด เสียงหัวเราะเบาๆ พลันดังขึ้นหลินเยว่ซินก้าวเข้ามาอย่างสงบนิ่ง แขนข้างหนึ่งพาดอยู่บนไหล่ของหลินเทียนเฟิงด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนัก แม้จะเผชิญหน้ากับบิดาโดยตรง แต่ดวงตาคู่นั้นกลับไม่เหลือบมองแม้แต่น้อยนางยกมือขึ้นช้าๆ ปลายนิ้วเรียวยาวลูบไล้เล็บสีแดงที่แต้มไว้อย่างประณีต ท่าทางเหมือนไม่พอใจนัก แต่คำพูดที่หลุดออกจากปากกลับแทงใจผู้เป็นบิดาเข้าอย่างจัง“ฝีมือของท่านพ่อ… พวกเราลูกๆ ล้วนได้ประจักษ์กับตาแล้วเจ้าค่ะ”เสียงของหลินเยว่ซินเยียบเย็นดุจน้ำค้างยามเหมันต์ ล่องลอยอยู่กลางอากาศ เงียบงันราวกับคมดาบกรีดลงกลางอ
บทที่ 75ขณะนั้นเอง ขุนนางวัยกลางคนผู้หนึ่งเบียดฝูงชนเข้ามา ชุดขุนนางของเขาเบียดเสียดกับแขนเสื้อผู้อื่นอย่างไม่เกรงใจในมือมีห่อเอกสารถูกพับอย่างดี“ฮ่ะฮ่าๆ! มาแล้ว มาแล้ว ทุกท่านทั้งหลาย พวกท่านอยากรู้เรื่องนี้มากใช่หรือไม่ เช่นนั้น ดูสิ! ดูสิ่งนี้คืออะไร!”ผู้คนแย่งกันไปหยิบอ่าน พอเพียงกวาดตาไปไม่กี่บรรทัดก็พากันหัวเราะเสียงดังไม่หยุดทุกสายตา หันขวับไปยังชายผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อม โดยไร้ซึ่งความเข้าใจใดๆสายตาเหล่านั้นเจือทั้งความเวทนา เสียดสี และความสะใจ…ปะปนกันจนยากแยกแยะหลินเทียนหยู่คิ้วกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่หัวใจจะเต้นแรงขึ้น สัญชาตญาณของแม่ทัพผู้ผ่านศึกนับไม่ถ้วนกำลังกระซิบบอกเขาว่า…ในเอกสารนั้น ต้องมีเรื่องอัปยศเกี่ยวกับเขาอย่างแน่นอนเขาพุ่งมือไปคว้ากระดาษแผ่นหนึ่ง ดวงตาคมกริบไล่กวาดตัวอักษรทีละบรรทัด…“ภรรยาคนแรกของท่านกั๋วกงตระกูลหลิน คือแม่นางสกุลโหว หลินเทียนหยู่รักนางดั่งชีวิต แต่ไม่ได้ใส่ใจสกุลหลี่แม้เพียงน้อยหลี่อวี้หรงเฝ้าเรือนอย่างเดียวดาย อกอัดตันใจจนต้องระบายกับคนรับใช้ในจวนจากนั้น…ไม่นาน นางก็ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดหลินอวี้ซิง…”ราวกับฟ้าผ่าลงตรงกล
บทที่ 74 “ท่านแม่รอง…” เสียงของหลินเยว่ซินอ่อนลง พลางยกมือลูบหว่างคิ้วด้วยท่าทีปวดหัว “ขอเถิด…วันหนึ่งจะปล่อยให้ข้าอยู่อย่างสงบบ้างไม่ได้หรือ?” คำพูดที่ทั้งเฉื่อยชาและรำคาญนั้น เล่นเอาหลี่อวี้หรงถึงกับจุกอก พูดไม่ออกสักคำ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยโทสะ แทบจะสำลักโลหิตออกมา! นางผู้นี้…ยังจะกล้าแสร้งไม่รู้เรื่อง อยู่อีกหรือ! หลี่อวี้หรงกัดฟันแน่น พยายามข่มกลั้นโทสะที่แทบปะทุขึ้นมาท่วมอก นางจ้องเขม็งไปยังหญิงสาวตรงหน้าอย่างโกรธเคือง “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะถามให้ชัด!” “เมื่อคืน…มีคนเห็นสาวใช้ของเจ้าลอบออกไปข้างนอก แล้วกลับมาช้ามาก! จากนั้น เช้าวันนี้ ใบปลิวก็ว่อนเมือง! เรื่องเมื่อคืนกับเรื่องฐานะบุตรสาวข้าก็ถูกพูดกันให้ทั่ว! เจ้ายังจะกล้าปฏิเสธอีกหรือว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าแม้แต่น้อย!” หลินเยว่ซินยกมุมปากนิดๆ เอ่ยเสียงเนิบไม่ทุกข์ร้อน “เมื่อวาน…ท่านแม่รองเพิ่งกล่าวหาว่าข้าเป็นลูกนอกสมรสไม่ใช่หรือ? วันนี้…ก็รีบร้อนมาแต่เช้าเพื่อด่าข้าว่าปล่อยข่าวลือใส่พี่รอง ท่านไม่เหนื่อยบ้างหรือ หรือว่าหากวันใดไม่ได้หาเรื่องข้า ท่านจะกินไม่ได้ นอนไม่หลับเสียกระมัง” “เจ้า…!” “ท่านนี่สมกับเป็นมารด
บทที่ 72 ณ เรือนเยว่หยวน หลังจากเสี่ยวถิงจัดเตียงของคุณหนูเรียบร้อยแล้ว นางก็ลอบม้วนตัวกลับไปยังเรือนข้างอย่างเงียบงัน เพื่อพักผ่อน ในห้องที่เงียบมืดสนิท หลินเยว่ซินขยับนิ้วเพียงน้อยร่างของนาง ก็เลือนหายเข้าสู่มิติลับในพริบตา ภายในบ่อน้ำแห่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไออุ่นลอยคลุ้งบางเบา ปกคลุมทั่วผืนอากาศ สตรีนางหนึ่งนั่งพิงแผ่นหินใหญ่ด้วยท่วงท่าเกียจคร้าน ร่างเปลือยเปล่าแช่อยู่ในน้ำอย่างไม่ไยดี ริมฝีปากโค้งรอยยิ้มจางคล้ายเบื่อหน่าย มือหนึ่งของนาง ลูบไล้ไข่อสูรเบาๆ ไข่ใบนั้นมีขนาดใหญ่เกือบเท่าเด็กวัยห้าขวบ เนื้อไข่โปร่งแสงบางส่วน แผ่พลังหม่นลึกลับที่หมุนวนอยู่ภายในอย่างแผ่วพลิ้ว พลังนั้น…เหมือนมีชีวิตของตน “เจ้านี่…โตช้าชะมัด โตช้าจนข้าเริ่มรำคาญแล้วนะ” เสียงบ่นของนางเบาแผ่ว ทว่าแฝงด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม คล้ายตำหนิของเล่นไร้ประโยชน์ที่ยังไม่ยอมเผยบทบาทสำคัญ ดวงตาสีม่วงเฉียบคมเหลือบมองไข่ใบนั้น ประกายหยอกล้อผสานแววเยาะหยันฉายชัดในดวงตาคู่งามหมั่นไส้ปนเอ็นดู… น้ำและดินในมิติแห่งนี้…หาใช่สิ่งของธรรมดาที่พบเห็นในโลกภายนอกไม่แต่กลับอวลไปด้วยพลังแห่งฟ้าดินอันมิอาจลบล้างได้ง่ายแ
บทที่ 71สายตาคมกริบดั่งคมของหนานกงเยี่ยนหลัว จับจ้องไปยังอ่างปลาทรงประหลาดใบหนึ่ง สิ่งเดียวที่ดูไม่เข้ากับบรรยากาศเรียบสงบภายในเรือนในน้ำนิ่งใสสะอาดเรียบเย็น…เศษหยกโลหิตนั้น ที่แตกละเอียดก่อนหน้านี้ กำลังค่อยๆรวมตัวกลับเป็นรูปลักษณะเดิมอย่างเชื่องช้า ทว่า ดูลี้ลับยิ่งนัก เขาขมวดคิ้วเบาๆ เบิกตากว้างอย่างอดใจไม่ไหว“นี่มัน… อะไรกันแน่?”เสียงหัวเราะแผ่วเบาๆดังขึ้นจากข้างกายหลินเยว่ซิน หญิงสาวผู้สงบนิ่งคล้ายไม่แยแสสิ่งใด มือขาวเรียวเอื้อมไปหยิบหยกโลหิตขึ้นจากอ่างน้ำ ก่อนกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ ดูคล้ายเรื่องไร้สาระ“ก็แค่ หยกโลหิต อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้จัก”นางพลิกหยกโลหิตไปมาในมือราวกับของเล่น แสงจากโคมไฟสาดกระทบผิวหยกจนสะท้อนประกายสีเลือดงดงาม กลับดูไร้รอยตำหนิ งดงามยิ่งกว่าก่อนจะแตกเสียอีก“ดูเหมือนว่า สายน้ำในมิติของข้า จะมีคุณวิเศษเกินคาด” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงรอยขบขัน ขณะมองชายหนุ่มที่เริ่มทำหน้าเคร่งเครียดเขารู้จักหยกโลหิต แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจที่สุด กลับไม่ใช่หยก เขายกมือชี้ไปยังอ่างปลาทรงประหลาดนั้นทันที “ข้าหมายถึง เจ้านั่นต่างหาก!”นางปรายตามองตามนิ้ว ก่อนจะหัวเราะ