ย้อนไปเมื่อสี่ปีก่อน
หลังสอบปลายภาคเสร็จ ชญานิศก็ตกลงมานั่งดื่มกับเพื่อนในผับแห่งหนึ่งหลังเพื่อนเคยชวนมาหลายครั้ง แต่เธอบ่ายเบี่ยง เพราะไม่อยากจะมาสถานที่อโคจรตามที่พ่อเคยสอนไว้ ทว่าหลังเรียนจบปีสี่ เธอโตพอที่จะดูแลตัวเองและลองเปิดประสบการณ์ใหม่ดู อีกทั้งเธอก็มีเพื่อนที่ดี หากเกิดอะไรขึ้นมาน่าจะพอพึ่งพากันได้
“เจี๊ยบ แกนี่มันเรียกสายตาผู้ชายดีชะมัด นั่งแป๊บเดียว ผู้ชายก็มองใหญ่เลย” สรศักดิ์ เพื่อนสาวประเภทสองบ่นจิ๊จ๊ะหลังจากเพิ่งสั่งเครื่องดื่มไป
ผับนี้ตกแต่งสไตล์เรโทรก็จริง แต่ก็ดูหรูหรา คลาสสิค โซฟาหุ้มด้วยหนังเนื้อดี โต๊ะเป็นโลหะสีทองแวววาวล้อแสงไฟสีเหลืองบนเพดาน
“แหม นี่ใคร เพื่อนเราเป็นดาวคณะนะยะ” อารีรัตน์พูดเสริม “นอกจากผู้ชายจะมองจนลูกตาแทบถลน ผู้หญิงก็ยังอิจฉานาง ดูอย่างกลุ่มพวกยายดาวฝันสิ ชอบพูดป้ายสียายเจี๊ยบใหญ่ว่าเด็กเสี่ยบ้าง เด็กไซด์ไลน์บ้าง บ้าบอชะมัด…อ้าว ดูมัน โดนว่าขนาดนี้ยังมีหน้ามาหัวเราะอีก”
ดาวคณะขำ แทนที่จะรู้สึกโกรธ เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเพียงแค่ข่าวลือ ไม่ใช่เรื่องจริงเลยสักนิด ทำไมเธอต้องเดือดร้อนด้วย
“ก็มันตลกนี่ ฉันเนี่ยนะเด็กไซด์ไลน์” แค่นุ่งน้อยห่มน้อยและออกมาเที่ยวกลางคืนอย่างนี้ เธอยังไม่ชอบเลย จะให้เธอไปทำงานอย่างนั้นได้ยังไง
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอยอมมาสถานที่อย่างนี้ตามคำชวนของเพื่อน เพราะเห็นว่าไหนๆ ก็เป็นวันสุดท้ายของภาคเรียนปีที่สี่ ถือว่ามาสังสรรค์ส่งท้ายก่อนเรียนจบ
“ย่ะ ยายแม่ไร้เดียงสา ดู ดูมันทำหน้าเข้า เหมือนมันใสซื่ออยู่คนเดียวแล้วมีเพื่อนเลวๆ อย่างเราอ่ะ” สรศักดิ์เบะปาก ก่อนจะเหลือบเห็นร่างสูงที่เหมือนมีออร่ารอบตัวจนสาวๆ ในสถานที่นี้ต่างพากันมอง
“นั่นมันพี่พลับปะ รุ่นพี่พวกเราใช่ปะ!” สรศักดิ์ถองศอกกระแซะชญานิศ
“ใช่ๆ พี่พลับ ฉันจำได้ โอ๊ยหล่อ รวย เท่ระเบิดกว่าเมื่อก่อนอีกอ่ะ” อารีรัตน์ยกมือขึ้นปิดปากกรีดร้องเบาๆ “เขาเพิ่งกลับมาจากการไปเรียนต่อที่อเมริกานี่ โอ๊ย เฟี๊ยตมาก อุ๊ยๆ เขามองมาทางนี้ด้วยอ่ะ มองใครวะ”
ชญานิศไม่รู้เหมือนกันว่าเขามองใคร แต่เธอสบตากับเขา กินเวลาเกือบนาทีกว่าเธอจะเบือนสายตาหลบ
“เฮ้ยๆ เขาเดินมาตรงนี้ด้วย!” เพื่อนของเธอหวีดร้องกันใหญ่ ในขณะที่ชญานิศยังคงเงียบ เพราะคิดว่าเขาคงเดินมาหาใครสักคนใกล้ๆ
แต่ใครจะคิดว่าร่างสูงสง่าในเสื้อเชิ๊ตสีฟ้าอ่อนจะมาหยุดตรงโต๊ะของพวกเธอ
“พี่ขอนั่งด้วยได้ไหม” สายตาเขาจับจ้องชญานิศ
“ชะ เชิญค่ะ” สรศักดิ์ขยับมาเบียดเธอเพื่อให้พื้นที่ให้รุ่นพี่หนุ่มนั่ง
“คุ้นหน้าน้องๆ จังเลยนะครับ เราเคยเจอกันรึเปล่า”
“ค่ะ เคยค่ะ” สรศักดิ์ออกตัวก่อน “ในงานสัมมนาของคณะไงคะ พี่พลับไปเป็นวิทยากรให้กลุ่มพวกหนูค่ะ เรื่องโปรเจ็คร้านกาแฟ”
“อ้อ จำได้แล้วครับ” เขาฉีกยิ้มให้รุ่นน้องทุกคน แต่กลับยิ้มให้ชญานิศนานที่สุด “แต่ละคนชื่ออะไรกันบ้าง แนะนำให้เป็นเกียรติพี่อีกครั้งจะได้ไหม”
คล้ายว่าจะเสียมารยาท แต่คำพูดของเขาดูถ่อมตัวจนพวกเธอไม่อาจทำใจโกรธได้
“แหม ไม่ต้องขนาดให้เกียรติอะไรหรอกค่ะ เป็นเราต่างหากที่ต้องขอเกียรติจากพี่พลับ” สาวประเภทสองยิ้มเขินอย่างมีจริตจก้าน “นี่เจี๊ยบ นี่อูน ส่วนหนูชื่อริชชี่ค่ะ”
“ชื่อน่ารักกันจังเลย”
เขายิ้มชื่นชม ก่อนชวนพวกเธอคุย รวมถึงชญานิศด้วย แต่สาวน้อยไม่ได้พูดมากนัก เหมือนว่าเธอไม่อยากสนทนากับเขาเท่าไร ตรงกันข้ามกับแก้มที่เห่อร้อน
รุ่นพี่หนุ่มจะรู้ไหมว่าเธอแอบชอบเขามานานแล้ว และก็แอบปลื้มเขามากด้วย ยิ่งอยู่ต่อหน้าแบบนี้ก็ยิ่งเขินหนัก
ฮือออออดีตตตมันแอบมีความหอมหวาน แต่มันจะขมมากกว่านี้ไหมมน้าาา
เมื่อปพนธีร์กลับไปกรุงเทพฯ เพื่อประชุมเกือบทั้งวัน เขาก็แวะเข้าไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาล ตอนนี้อาการของท่านดีขึ้นมากแล้ว พอเห็นหน้าเขา พ่อกลับไม่ได้พูดอะไรมาก ไม่ได้มีท่าทีโหยหาอย่างที่เลขาบอกเลย ทว่าปพนธีร์ก็พอใจ เพราะนั่นนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีนี่คือการพบหน้ากันครั้งแรกในรอบหลายปี พ่อดูแก่และโทรมลงไปมาก ร่างกายที่เคยสง่าตอนนี้ก็ผอม หนังเริ่มเหี่ยวย่น ผมบนศีรษะเริ่มขาวโพลนอย่างเห็นได้ชัดท่านดูไร้ชีวิตชีวา ต่างจากตอนที่มีผู้หญิงคนนั้นอยู่เคียงข้างเช่นเดียวกับเขาในตอนนี้ หากแต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้ นอกจากกลับมาจังหวัดเชียงรายอีกครั้ง และทันทีที่ออกมาจากสนามบิน เขาก็ขับรถตรงไปยังร้าน Kenkoi และจอดเยื้องกับหน้าร้าน มองจากมุมนี้ เขาเห็นไปยังเคาน์เตอร์ร้านได้เลย เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงปพนธีร์นิ่วหน้า ปกติเขาต้องเห็นบางคนยืนอยู่ตรงนั้นบ้างแล้วสิ แต่วันนี้ทำไมมีแต่พนักงานของเธอ ชายหนุ่มจึงลงมาจากรถ สองขาตั้งท่าจะก้าวไปที่ร้าน แต่…ไม่ได้ เขาจึงเงยหน้าขึ้น สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามอดกลั้นอดทนไว้ด้วยการมองรอบๆ เพื่อให้อารมณ์สงบแ
หลังเดินตรวจไซต์งานเรียบร้อย ปพนธีร์ก็เดินทางกลับไปโรงแรมเพื่อประชุมทางไกล จนเสร็จช่วงบ่ายสาม โทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น “คุณพบออกจากห้องซีซียูแล้วครับ…” ก่อนหน้านี้พ่อของเขาเข้าโรงพยาบาลเนื่องด้วยโรคหัวใจกำเริบ“ทันทีที่ท่านฟื้น ท่านถามหาคุณพลับเลยครับ” นี่เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีเลยล่ะมั้งที่ได้ยินพ่อพูดถึงเขา“ครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมจะรีบเข้าไปเยี่ยม” ปพนธีร์ไถ่ถามอาการท่านอีกสองสามประโยค ก่อนจะวางสาย ความจริงอาการของพ่อหายไปนานแล้ว แต่จู่ๆ กลับกำเริบขึ้นมาปพนธีร์นึกโทษตัวเองในบางคราบางทีท่านอาจจะไม่เป็นอะไรเลย ถ้าเขาไม่ทำร้ายคนที่พ่อรัก และหล่อนคนนั้นยังคงอยู่กับพ่อ เธอคือผู้หญิงที่เขาเกลียดฝังใจ หลังพ่อของเขาประสบอุบัติเหตุ หล่อนก็ได้เข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิดในฐานะพยาบาล กว่าแม่จะรู้ว่าทั้งสองคนเป็นรักแรกของกันและกัน และแอบสานสัมพันธ์ลับๆ ทั้งที่ท่านยังเป็นภรรยาอยู่ ทุกอย่างก็สายไปแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ของเขาเป็นโรคซึมเศร้ กินยาเกินขนาดเพื่อฆ่าตัวตาย ซ้ำพอแม่จากไป พ่อของเขาก็พาผู้หญิงเข้ามาในบ้าน หล่อนเข้ามาทำหน้าที่แทนแม่ของเขา ฉะนั้นพอเขาได้สืบประวัติหล่อน รู้ว
หลังปพนธีร์ขอแต่งงานชญานิศ และฉลองกันอย่างหวานชื่นทั้งคืน ปพนธีร์ก็พาชญานิศลงมาชั้นล่างเพื่อเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมระหว่างทางที่พวกเขาเดินเคียงกัน ชญานิศสัมผัสได้ว่ามีสายตาหลายคู่มองมาที่เธอกับปพนธีร์และนั่นก็ไม่ใช่ความยินดี แต่กระนั้นก็ไม่มีใครกล้าพูดหรือทำอะไร เพราะข้างกายเธอคือผู้บริหารใหญ่ของที่นี่ชายหนุ่มบอกว่าครอบครัวของเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ห้างสรรพสินค้าและโรงแรม รวมถึงโรงแรมที่มาพักด้วย ซึ่งชญานิศก็รับรู้เพียงเท่านั้น ไม่เคยซักไซ้ หรือไปค้นหาสืบประวัติชีวิตของเขาเลย หากไม่ได้รู้จักชายหนุ่มในฐานะรุ่นพี่ที่มาสอนตอนเธอกับเพื่อนต้องทำโปรเจ็ค เธอก็คงไม่ได้มีโอกาสรู้จักคนระดับเขาขณะทั้งสองคนกำลังเดินออกจากโรงแรม โทรศัพท์ของปพนธีร์ก็ดังขึ้น ชายหนุ่มขอตัวเดินไปคุยเป็นการส่วนตัว ให้เธอนั่งรออยู่ตรงโซนรับแขกด้านหน้าโรงแรม“เจี๊ยบ” นั่งไม่ทันไร หญิงวัยกลางคนแต่งชุดงามสง่า ผมเป็นดัดลอนสวย ในมือถือกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงเดินเข้ามาหาเธอ แน่นอนว่าเธอรู้จักหล่อนเป็นอย่างดี แม้จะไม่ได้เจอกันหลายปี แต่เธอก็ยังจำหล่อนได้“แม่”หล่อนกวาดสายตามองเธอในชุดเดรสสายเดี่ยวที่ด้านบนคลุ
เมื่อเช้าทางร้าน Kenkoi โทรมาว่า Snack box พร้อมส่งมอบให้ลูกค้าแล้ว พรพงศ์จึงขับรถไปรับของที่ร้านและขับไปยังไซต์งานต่อ เขาแจกจ่ายกล่องของว่างให้เหล่าคนทำงาน“หูย ขนมร้านคุณเจี๊ยบเหรอครับ” อัจฉริยะที่เพิ่งกลับมาหลังตรวจโครงการภาคใต้เดินเข้ามาดูขนมว่าง เขาเห็นชื่อร้านบนกล่องสีน้ำตาลในมือผู้ช่วยของรุ่นพี่หนุ่ม“ครับ ตอนแรกจะสั่งอาหารครับ แต่ทางร้านไม่รับทำ รับทำแต่ของว่าง” “หืมมม งบจากไหนครับ นี่พี่พงศ์คงไม่ได้เองเลี้ยงเองหรอกนะครับ ราคาต่อกล่องไม่ใช่เล่นๆ นะ เหมามากี่กล่องเนี่ย” ครัวซองส์สองอัลมอนต์ราดด้วยน้ำตาลไอซ์ซิ่งและตกแต่งด้วยผลไม้สองชิ้น กับน้ำแอปเปิ้ลร้อยเปอร์เซ็นต์อีกหนึ่งขวด“ไม่ใช่ผมหรอกครับ แต่มีคนฝากผมสั่ง ฝากแจกอีกทีน่ะ”“ฮึ? ใครเหรอครับ”“คุณพลับครับ” เจ้านายเขาน่าจะชอบกาแฟร้านนี้มาก ทุกครั้งที่มาจังหวัดนี้ ปพนธีร์จะฝากซื้อกาแฟจากร้านนี้อย่างน้อยวันละสองแก้ว“หืม” อัจฉริยะเลิกคิ้ว จำได้ว่าวันนั้นปพนธีร์รีบกลับ ยังไม่ทันได้ดื่มกาแฟ “กลับไปกินด้วยกันหลังจากวันนั้นเหรอครับ”“ครับ” ผู้จัดการรับคำ ส่วนคนเพิ่งมาถึงก็หยิบกล่องของว่างมาแกะแล้วหยิบขนมเข้าปาก “อร่อยจัง กินไปก็นึก
ที่ผ่านมาชญานิศมองว่าปพนธีร์มีชีวิตที่เพียบพร้อมมาตลอด จนรู้สึกมาตลอดว่าระหว่างเรามีช่องว่างทางสังคมและฐานะ ไม่เหมาะสมกันเลยสักนิด ทว่าหลังจากเธอได้รู้ว่าเขาเคยผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจมายิ่งกว่าเธอ สูญเสีย เสียใจ และเขาเลือกจะเปิดเผยมันกับเธอนั่นก็ทำให้เธอเห็นใจเขา รักเขา อยากโอบกอดเขาไว้ด้วยความรักทั้งหมดที่เธอมี และพลันสำนึกว่าที่ผ่านมาเธอไม่ควรประเมินจากเพียงแค่เห็นเพียงเปลือกนอกเลย ฐานะร่ำรวยไม่ได้การันตีว่าเขาจะโตมาอย่างดี มีครอบครัวที่อบอุ่น และอยู่กันอย่างพร้อมหน้า อาจจะเหงาและว้าเหว่มากกว่าคนไม่ค่อยมีจะกินด้วยซ้ำนั่นจึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างชญานิศกับแฟนหนุ่มกระชับกันมากขึ้น เธอเป็นคนสำคัญในชีวิตของเขา และเขาก็เป็นคนสำคัญในชีวิตเธอเราสองคนมีญาติ แต่พวกเขาเหมือนเป็นเพียงคนรู้จัก ไม่ได้สนิทสนมและพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ยิ่งพอรู้ว่าแต่ละคนอิจฉา ริษยา และทำดีเพื่อหวังในสมบัติไม่ก็ผลประโยชน์ ชญานิศก็คิดว่าในโลกทั้งใบ คงมีแต่เราสองคนเท่านั้นที่จริงใจต่อกัน รักและหวังดีโดยไม่ได้ผลประโยชน์อะไร ทั้งการกระทำตั้งแต่พูดคุยกันมา ปพนธีร์ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาเป็นยิ่งกว่าคนในครอบครัวเธอ เขา
“งั้นดิฉันจะไปร้องกับสื่อ พาแม่ค้าในตลาดไปด้วย ได้ยินว่านับวันค่าแผงตลาดเจ๊ขึ้นเอาๆ สวนทางคุณภาพนี่คะ ท่อระบายน้ำทิ้งเหม็นเน่า มีแต่หนู แมลงสาบวิ่ง…”“ยายเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!” เจ๊กงผลักเธออย่างแรง “คอยดูเถอะ เดี๋ยวแกได้เจอดีแน่”“โอเค เจ๊พูดอย่างนี้ ดิฉันจะได้ไปลงบันทึกประวันไว้ เกิดอะไรขึ้นเจ๊จะได้เป็นผู้ต้องสงสัยคนแรกเลย”ใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางสีจัดจ้านชักถมึงทึง ดวงตามองเธอประหนึ่งจะฆ่ามากินเลือดกินเนื้อกันได้ “อย่าหยิ่งผยองให้มันมากนะ ไม่อย่างนั้นจะหาว่าฉันไม่เตือน!” เจ๊กงตะคอกใส่ ก่อนหมุนตัวเดินออกไปจากร้านและปิดประตูเสียงดัง หึ เดี๋ยวหล่อนจะหาผู้ชายผิวเข้ม ตัวใหญ่ๆ หน้าตาน่ากลัวหน่อย มาขู่ ขี้คร้านยายอหังกานี่จะรีบย้ายออกจากร้านภายในไม่กี่วันแค่ผู้หญิงตัวคนเดียว กล้าดียังไงมาขู่เจ้าของตลาดดังที่มีพรรคพวกเยอะอย่างหล่อนส่วนชญานิศที่เห็นอีกฝ่ายเดินออกจากร้านไปก็พูลลมหายใจออกยาว คล้ายจะโล่งใจที่หญิงร้ายกาจนั่นออกไปจากร้านได้ ทว่าแววตายังเปี่ยมไปด้วยความกังวล เมื่อครู่หล่อนคงไม่ได้พูดลอยๆ ขึ้นมาแน่ ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องวางเรื่องพวกนั้นไว้ก่อน หญิงสาวมองสำรวจบรรยากาศร้าน