บทที่ ๑
สตรีคนสุดท้ายของตระกูลหม่า
‘ทาสซักล้าง’
ประจำตำหนักเทียนหลุนจือเล่อขององค์ชายรองแคว้นจินตกเป็นของจิ่วเหลียนฮวาตั้งแต่วันแรกที่นางเกิดจนตอนนี้อายุ 20 หนาว
เด็กกำพร้าว่าน่าสงสารแล้ว แม้แต่ญาติสนิทหรือมิตรสหายก็ไม่มีกลับน่าสงสารยิ่งกว่า
เครง!
“จิ่วเหลียนฮวา เจ้าตั้งใจชนข้าหรือ…ตายจริง! ผ้าองค์ชายรองตกพื้นแล้ว บังอาจยิ่งนัก!”
เจ้าของนามไม่กล่าวสิ่งใด ดวงตาคู่โตแฝงด้วยความเศร้าหมองหลุบมองชุดที่นางกำลังเอาไปซัก วันนี้เจ้าของตำหนักกลับวังหลวงครั้งแรกในรอบสามปี
เจ้านายอยู่ตำหนักแท้ ๆ ยังถูกกลั้นแกล้ง ไม่ต้องพูดถึงยามที่องค์ชายรองจินเทียนหลุนไม่อยู่ตำหนัก
“ขออภัย ข้าไม่ทันได้ระวัง”
แม้จะไม่ใช่ความผิดของตัวเอง แต่นางก็ยังเอ่ยขออภัย ก้มลงเก็บผ้าที่อยู่บนพื้น
ซี๊ด~
แต่จังหวะที่นางเอื้อมมือไปหยิบผ้านั้น มือหยาบจากการทำงานหนักสารพัดอย่างก็ถูกเหยียบด้วยเท้าของนางกำนัลที่มีเบื้องหลังสนับสนุนอยู่
“ใครใช้ให้เจ้ายื่นมือออกมาตอนที่ข้ากำลังจะก้าวเท้าเดินเล่า ช่างสมกับเป็นนางกำนัลระดับล่าง”
จิ่วเหลียนฮวาสูดหายใจเข้าลึก ไม่ใช่เพราะโกรธที่ถูกสหายนางกำนัลในตำหนักเดียวกันเหยียบย่ำ แต่น้อยใจที่ตนเป็นสตรีคนสุดท้ายในตระกูลหม่า
ตระกูลขุนนางต้องโทษที่ถูกประหารเก้าชั่วโครต!
“อู่อิง ทางที่เจ้าจะไปเป็นพระภูษา…”
น้ำเสียงเรียบเฉยเอ่ยเพียงเท่านั้น เงยหน้าขึ้นสบตาอู่อิงที่กำลังกอดอกมองนางด้วยสายตารังเกียจเหมือนยามที่สุกรกำลังกินเศษข้าวบูด
“แล้วอย่างไร!”
“เจ้าคิดจะเดินข้ามพระภูษาเช่นนั้นหรือ”
อู่อิงหน้าซีด เมื่อสหายที่อยู่ข้าง ๆ สะกิดนางก็กระซิบถาม
“อี้ถง หากนางเอาไปฟ้ององค์ชายจะทำอย่างไร”
อี้ถงจอมยุยงใจเด็ดกว่าอู่อิงที่เป็นคนลงแรง ฟังแต่คำยุยงของอี้ถง
“ระหว่างเรานางกำนัลที่ครอบครัวบริสุทธิ์กับนางกำนัลตระกูลต้องโทษเช่นนั้น องค์ชายต้องเชื่อเรามากกว่าอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว”
อู่อิงได้ยินเช่นนั้นก็เบาใจ เรียกท่าทางเชื่อมั่นกลับมาได้อีกครั้ง เชิดหน้าใส่จิ่วเหลียนฮวา
“หึ! คนที่เจ้าไม่ควรเอ่ยถึงที่สุดคือองค์ชาย”
จิ่วเหลียนฮวาหยิบผ้าใส่ในถังน้ำก่อนที่จะหยัดกายขึ้นเต็มความสูง รู้เลยว่าอู่อิงจะพูดถึงเรื่องอะไร
“องค์ชายคือคนที่จะไม่ปกป้องเจ้าที่สุด อย่าคิดว่าพระภูษาจะคุ้มกะลาหัวเจ้าได้ ให้เจียมตัวเอาไว้บ้างว่าเจ้าคือคนที่ต่ำต้อยที่สุดในแคว้นจิน”
“...”
จิ่วเหลียนฮวาไม่พูดอะไร มือบีบถังไม้ไว้แน่น ดวงตาจดจ้องอู่อิงไม่ละสายตา
“โกรธหรือ รับความจริงไม่ได้หรือ”
จิ่วเหลียนฮวาหรือจะรับความจริงไม่ได้ คำพูดเหล่านี้นางฟังมามากกว่าสามพันครั้งแล้ว
“...มีอะไรจะพูดกับข้าอีกหรือไม่”
“นี่เจ้า!”
“ถ้าไม่มีแล้ว ขอตัว”
อู่อิงเหยียดยิ้ม แต่เดิมพวกนางก็แค่อยากแกล้งจิ่วเหลียนฮวาเล่นพอหอมปากหอมคอจึงได้ปล่อยนางไป
ตุบ!
แต่ก่อนที่จะปล่อยไปก็ขอขัดขาจิ่วเหลียนฮวาอีกครั้ง ทั้งคนและถังน้ำล้มลงไปกองที่พื้น ก่อนที่พวกนางจะหัวเราะให้กับความสำเร็จเล็ก ๆ แล้วเดินจากไป
จิ่วเหลียนฮวายกมือที่เจ็บแปลบขึ้นมาดู ทำเพียงสะกิดเศษหินปูนที่ติดอยู่บนมือออก ไม่ใส่ใจเลือดที่ซึมผ่านเนื้อถลอกเลยสักนิด
มีนางกำนัลหลายคนเดินผ่านนาง แต่ไม่มีใครคิดจะช่วยนางเก็บผ้าที่อยู่บนพื้นหรือช่วยพยุงนางให้ยืนขึ้นเต็มความสูง ที่แย่กว่านั้นคือเดินผ่านนางไปราวกับว่านางไม่มีตัวตน สำหรับนางแล้ว…
แบบนี้เจ็บปวดกว่าแผลที่อยู่บนมือเสียอีก!
ณ ลานซักล้างท้ายตำหนัก
แผลที่อยู่บนมือเมื่อโดนน้ำแสบไม่น้อย แต่ไม่นานความแสบก็หายไปพร้อมกับใจแห้งเหี่ยว
ไม่มีบิดามารดาน่าเศร้าแล้ว ไม่มีแม้แต่ญาติมิตรยิ่งเศร้าเป็นทวีคูณ
จิ่วเหลียนฮวาถูกเลี้ยงดูโดยนางกำนัลประจำตำหนักองค์ชายรอง แปดปีแรกนางยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของการมีผู้เลี้ยงดูอยู่บ้าง จนกระทั่งนางกำนัลอาวุโสจากไป นางจึงกลายเป็นคนโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง
“เสี่ยวจิ่ว ซักเสร็จแล้วไปช่วยกันทำความสะอาดจวนจือเล่อด้วยเล่า”
“จวนจือเล่อหรือเจ้าคะ”
“ใช่ เจ้าไม่รู้หรือว่าวันนี้องค์ชายรองทำพิธีสวมกวาน[1] ได้รับพระราชทานตำแหน่งชินอ๋อง อีกเจ็ดวันจะย้ายออกไปอยู่จวนจือเล่อ เจ้าก็เตรียมเก็บของด้วยเล่า ข้ารับใช้ทั้งหมดในตำหนักจะย้ายออกนอกพระราชวังด้วย”
จิ่วเหลียนฮวานิ่งไปครู่หนึ่งเพราะไม่แน่ใจว่าจะถามออกไปดีหรือไม่ ซึ่งมู่หมัวมัว[2]ที่มาสั่งงานนางก็ไม่มีความอดทนพอที่จะรอฟัง วางถังผ้าม่านกองใหญ่ลงก็จากไป
“ข้าอยากถามว่า ย้ายไปอยู่นอกวังแล้ว ออกจากจวนได้อย่างอิสระมากกว่าเดิมแล้วใช่หรือไม่”
น่าเสียดายที่คำถามนี้ไม่ได้รับคำตอบ!
จิ่วเหลียนฮวาเริ่มซักพระภูษาของชินอ๋องก่อน เจ้าของตำหนักเพิ่งกลับวังผ้าจึงยังไม่เยอะ ในตอนที่นางซักชุดสีดำ ผ้าเนื้อดีไม่ปักลาย หว่างคิ้วเรียวพลันมุ่นเข้าหากันทันทีเมื่อเห็นรอยขาดลากยาวที่หัวไหล่
“บาดเจ็บเช่นนั้นหรือ”
จิ่วเหลียนฮวาดึงผ้าขึ้นเหนือน้ำเพื่อดูสี เมื่อเห็นว่าน้ำเพียงขุ่นขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้สีเข้มขึ้นมากจึงเดาว่าองครักษ์ของเจ้านายได้ทำความสะอาดก่อนที่จะส่งมาให้ซักล้างแล้ว
“นอกจากข้าแล้วยังมีกบฏเหลืออยู่อีกหรือ”
จิ่วเหลียนฮวาเอ่ยอย่างติดตลกแล้วขยี้ผ้าในน้ำด่างที่ใช้ขี้เถ้าพืชละลายกับน้ำ นางมีหน้าที่ซักตากเท่านั้น หน้าที่อบผ้าให้ความหอมเป็นของนางกำนัลคนอื่น
“...เสี่ยวจิ่ว ซักผ้าปูโต๊ะให้ด้วย พรุ่งนี้จะเอาประดับห้องบรรทมท่านอ๋อง”
จิ่วเหลียนฮวาเงยหน้าขึ้นเอ่ยปฏิเสธ
“แต่มู่หมัวมัวบอกข้าว่า ซักเสร็จแล้วให้ไปช่วยทำความสะอาดที่จวนจือเล่อ”
“มู่หมัวมัวกล่าวว่าหลังซักผ้าเสร็จ เจ้าซักกองนั้นเสร็จแล้วก็ซักของข้าต่อก็ได้ หากมู่หมัวมัวถามก็บอกเพียงว่ายังซักไม่เสร็จ”
“แต่ว่า…”
“นางกำนัลซักล้างมีเพียงเจ้า หากเจ้าไม่ซักใครจะซัก แต่จวนจือเล่อไม่มีเจ้าทุกคนก็ทำความสะอาดกันได้”
จิ่วเหลียนฮวาหลุบตาลงเพราะเถียงไม่ได้
จะบอกว่าทุกคนเห็นนางเป็นคนสำคัญก็ไม่ใช่ เพราะอากาศหนาวเหน็บแบบนี้ใครก็ไม่อยากซักผ้า หน้าที่นี้จึงเป็นของนางที่ถูกวางตัวเป็นคนซักล้างตั้งแต่กำเนิด
ดีที่ไม่ถูกใช้ให้ล้างถังอาจม!
“เข้าใจแล้ว เอาวางไว้ ข้าจะทำเอง”
“เสี่ยวจิ่วเป็นคนดีจริง ๆ ข้าไปแล้วนะฝากด้วย”
จิ่วเหลียนฮวายิ้มบาง แอบขบขันที่เวลาจะใช้งานนางแล้วเรียกด้วยความสนิทสนม แต่พอเวลานางถูกกลั่นแกล้งไม่แม้แต่จะสนใจไยดี
“ไม่โทษเจ้า ใครจะอยากใกล้ชิดกับตระกูลต้องโทษ ซักผ้าของเจ้าต่อไปจิ่วเหลียนฮวา”
คิดได้เช่นนั้นนางก็ซักผ้าต่อไป น้ำอุ่นทำให้นางไม่ทรมานในการซักผ้ามากนัก อีกอย่างนางชินแล้ว ต่อให้ซักผ้าจนเลือดออกมือ นางก็ต้องทำต่อไป
“จิ่วเหลียนฮวา”
ใบหน้างามเงยขึ้นตามเสียงเรียก แปลกใจเล็กน้อยเพราะนางไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคนตรงหน้าเลย
“ไยมองข้าเช่นนั้น”
บุรุษหนุ่มในชุดสีดำสนิทผ้าตัดเย็บอย่างดีตามสถานะองครักษ์ประจำพระองค์เดินเข้ามาใกล้นางมากขึ้นแล้วย่อตัวลงนั่งข้าง ๆ ไม่สนใจว่าพื้นที่ตรงนี้จะเลอะไปด้วยน้ำซักล้าง
“ข้ามั่นใจว่าเราไม่รู้จักกันมาก่อน”
ใบหน้าที่จัดว่าหล่อเหลากว่าคนทั่วไปฉีกยิ้มมุมปากให้สาวน้อย ดวงตาที่จดจ้องมาที่นางนั้นแฝงไว้ด้วยความเอ็นดู อยู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าเจอญาติสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานาน
ความรู้สึกของการมีญาติเมื่อ 12 ปีก่อนพาให้นางยกมือขึ้นทาบหน้าอกตัวเอง
“เจ้าไม่รู้จักข้า แต่ข้ารู้จักเจ้า หม่าจิ่วเหลียนฮวา สตรีที่เป็นศัตรูของราชวงศ์”
[1]พิธีสวมกวานเป็นพิธีสวมเครื่องประดับศีรษะในวัฒนธรรมจีนโบราณโดยเฉพาะในชนชั้นสูง กวาน ไม่ใช่หมวกที่สวมครอบทั้งศีรษะ แต่เป็นเครื่องประดับที่สวมครอบมวยผม พิธีนี้เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงสถานะจากวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่ พร้อมทั้งความรับผิดชอบและสิทธิที่เพิ่มขึ้น
[2]หมัวมัว (嬷嬷) ในบริบทของวังหรือตำหนักของจีนโบราณ หมายถึงพี่เลี้ยงหรือผู้ดูแลเด็กในวัง หรือผู้หญิงที่มีอายุและมีความใกล้ชิดกับเชื้อพระวงศ์ จะใช้คำนี้ในวังหรือบ้านขุนนางใหญ่ก็ได้
บทที่ ๔๒ส่งพันลี้ก็ต้องลาจาก วันสถาปนาแคว้นสิ้นสุดลงแล้วสำหรับแขกบ้านแขกเมือง จินเทียนหลุนและจินหลี่จินในฐานะตัวแทนราชวงศ์จินเดินทางมาที่ประตูเมืองจิ้งอันส่งราชทูตทั้งสี่แคว้นออกจากเมืองหลวง วันนี้จะไม่น่าใจหายสำหรับใครบางคนหากว่า… ไช่จงซินไม่เดินทางไปกับขบวนด้วย! จินหลี่จินกับไช่จงซินอยู่ด้วยกันตั้งแต่เกิด เติบโตแล้วก็ยังย้ายไปสร้างสำนักยุทธ์ด้วยกัน ความสัมพันธ์มากกว่าสี่สิบปีมิใช่พูดว่าจะจากกันวันนี้ก็จากกันได้เลย จินเทียนหลุนเห็นเสด็จอามีสีหน้าไม่สู้ดีแล้วก็อดเป็นห่วงความรู้สึกเขาไม่ได้ “เสด็จอา หากทำใจลำบาก ตามท่านอาจารย์ไปด้วยดีหรือไม่ ท่านอาจารย์เองก็คงรู้สึกไม่ต่างจากเสด็จอา”&nb
บทที่ ๔๑ใช้ชีวิตเป็นของตัวเองมานานมากแล้ววงสนทนาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่ไช่จงซินจะสูดน้ำมูก เมื่อทุกคนมองไปหาเขาก็เห็นว่าอีกฝ่ายน้ำตาไหลอาบแก้มเทพบุปผาที่เห็นน้องชายตัวโตผมเริ่มหงอกที่โคนแล้วร้องไห้เหมือนเด็กน้อยก็ยื่นมือไปจับแก้มเขา“น้องพี่ ร้องไห้ทำไม”“พี่รองไม่มาเยี่ยมพวกเราหลายปีแล้ว แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ไปเยี่ยม ตอนนี้ท่านพ่อแก่มากแล้ว ข้าลงจากเขาเหลียงซานครั้งนี้เพราะท่านแม่ส่งสารถึง”เทพบุปผาดวงตาไหววูบ แม้การบำเพ็ญเพียรจะช่วยให้นางตัดจากโลกมนุษย์ แต่เมื่อได้สัมผัสกับญาติสนิทอีกครั้งก็ดึงนางให้กลับมาสู่ห้วงอดีตเพราะเช่นนี้นางจึงปฏิเสธที่จะเจอกับไช่จงซิน!“ท่านแม่ตามเจ้ากลับไปเป็นประมุขตระกูลหรือ”ไช่จงซินพยักหน้ารับ จินหลี่จินเห็นสหายเงียบไปก็เป็นเสียงแทนเขา“ตระกูลไช่ไม่มีทายาทเป็นบุรุษอีกแล้ว เขาเตรียมใจมานานแล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง ประมุขตระกูลไช่ต้องมีคนสืบทอดสักวันหนึ่ง”“เจ้าล่ะหลี่จิน”
บทที่ ๔๐ทุกคนต้องรู้ว่าเจ้าเป็นคนโปรดของข้านางรักข้า ไม่ขอรับความเห็นต่าง เห็นทีว่าจะมีโอกาสพูดเรื่องนี้ให้นางคล้อยตามแล้วจินเทียนหลุนลำดับความคิดลำดับคำพูดไว้ในใจ ก่อนที่จะทำน้ำเสียงจริงจังใส่นาง“ไม่ว่าความรักหรือความยึดติดหรืออะไรก็ตาม ในเมื่อเจ้าพูดแล้ว ห้ามคืนคำเป็นอันขาด ห้ามรู้สึกเช่นนี้กับใครนอกจากข้า…”“...”“เจ้าไม่ยอมให้ข้าสละตำแหน่งอ๋อง เช่นนั้นข้าจะทำอย่างไรทุกคนถึงจะรู้ว่าเจ้าเป็นของข้า ต้องทำอย่างไรถึงจะถูกใจเจ้า ช่วยบอกได้หรือไม่”คำก็ข้าสองคำก็ข้า เขาไม่คิดจะแทนตัวเองว่าเปิ่นหวางแล้วหรือ“ทำเหมือนเดิมที่เป็นมาเถิดเพคะ”...ไม่แน่ว่าหม่อมฉันจะตายวันตายพรุ่งจิ่วเหลียนฮวาเว้นคำพูดนี้เอาไว้ในใจ นางหลุบตาอยู่จึงไม่เห็นว่าชายหนุ่มดวงตาไหววูบ“เหมือนเดิมก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงนะสิ ต่อไปหากมีใครเข้ามายุ่มย่ามกับเจ้าจะว่าอย่
บทที่ ๓๙เจ้าไม่ต้องเป็นนางกำนัลแล้วจินเทียนหลุนเดินจับข้อมือจิ่วเหลียนฮวาเข้ามาในห้องหนังสือแทนที่จะเป็นห้องบรรทมเขาเพราะไม่อยากใช้สถานที่ที่สุ่มเสี่ยงต่อหัวใจเช่นนั้นในหัวเห็นภาพตัวเองเหวี่ยงจิ่วเหลียนฮวาเข้ากับผนังแล้วบดขยี้จุมพิตนาง ไม่ให้ปากน้อย ๆ ได้มีโอกาสโต้เถียงหรือว่าเม้มปากยามที่เขาขึ้นเสียงใส่ทว่าเขาไม่อาจชนะภาพในหัวได้ เมื่อปิดประตูในห้องหนังสือก็ทำเพียงดึงนางมานั่งที่โต๊ะน้ำชา สนทนากันด้วยเหตุผลไม่ใช้อารมณ์“นั่ง”จิ่วเหลียนฮวาถูกดันไหล่ให้นั่งเก้าอี้ ชายหนุ่มรู้ว่าหากไม่ทำเช่นนี้ จิ่วเหลียนฮวาจะต้องนั่งลงที่พื้นแน่“ดื่มชา”จิ่วเหลียนฮวาทำตามที่เขาบอก จับป้านชาเทใส่ให้เขาก่อนถึงค่อยเทใส่ให้ตัวเอง“เชิญท่านอ๋องก่อนเพคะ”จิ่วเหลียนฮวาไม่ยอมดื่มหากไม่เห็นเขาดื่มก่อน จินเทียนหลุนจึงยกชาเย็นชืดดื่มจนหมด จิ่วเหลียนฮวาถึงดื่มชาตาม สีหน้าฉายความสดชื่นในทันทีเมื่อได้ดื่มน้ำหลังอาหารจินเทียนหลุนเห็นเช่นนั้น ความคุกร
บทที่ ๓๘ไม่พอพระทัยหม่อมฉันหรือเพคะจิ่วเหลียนฮวาแปลกใจในตัวเองเล็กน้อยที่ท้องหิวเหมือนอดอาหารสามวันทั้งที่นางรู้สึกว่าตนจากโลกไปเพียงครึ่งเค่อตามระยะเวลาสวรรค์เท่านั้น“อีกถ้วยหรือไม่ เปิ่นกงเลี้ยงเจ้าได้โดยไม่สะเทือนคนหน้าแข้งอยู่แล้ว”ฝูเจี้ยนถานเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามทานหมดไปหนึ่งถ้วยแล้ว“ไม่เจอกันเกือบสี่วัน อย่าบอกว่าเจ้าไม่ได้ทานอันใดเลย” เขาถามโดยไม่ได้คิดอะไร ไม่นึกว่าจิ่วเหลียนฮวาจะพยักหน้ารับ“จะว่าอย่างนั้นก็ได้เพคะ ร่างกายจดจำได้ดียิ่ง แต่ว่า…ต่อให้จดแค่ไหน ท้องหม่อมฉันก็ใส่ได้เพียงเท่านี้”จิ่วเหลียนฮวาตอบชายหนุ่มก่อนที่จะกวาดตามองหาร้านน้ำชา แต่เมื่อคิดได้ว่าจะเดือดร้อนคนตรงหน้าอีก นางถึงได้ถือวิสาสะยกถ้วยบะหมี่ขึ้นซดน้ำ“เสียมารยาทต่อหน้าองค์รัชทายาทแล้ว”“เช่นนี้เรียกว่าประหารก่อนแล้วค่อยรายงานหรือไม่ ไฉนทำไปแล้วเพิ่งมาคิดได้”จิ่วเหลียนฮวาหน้าซีด ไม่ได้ตั้งตัวว่าอีก
บทที่ ๓๗เกือบสี่วันทุกคืนที่ไม่ได้นอน“เด็กสมัยนี้ แสดงความรักกันไม่เลือกที่”เสียงของสตรีวัยกลางคนดังขึ้นลอย ๆ ขัดจังหวะคู่รักทั้งสองวัดความคิดถึงกันด้วยคำพูดและการกระทำ สองหนุ่มสาวผละกอด หลงฮ้าวยังมีสีหน้าปรกติต่างจากเทพบุปผาที่ตีหน้ายุ่งไล่หลังสตรีวัยกลางคนนั้น“อยู่ ๆ ก็โดนคุณน้าอิจฉา เราไปแสดงความรักกันเพียงสองคนเถอะหลงฮ้าว”“ตามใจเจ้า แล้วนางเล่า”หลงฮ้าวมองมาที่จิ่วเหลียนฮวา หญิงสาวจึงย่อกายลงคารวะเขา มั่นใจว่า ‘ท่านเขย’ ที่ซูเมี่ยวพูดถึงก็คือเขา“เดี๋ยวข้าไปส่งนางที่จวนจือเล่อก่อน…ไปเสี่ยวจิ่ว!”“มิเป็นไรเจ้าค่ะท่านเทพ”จิ่วเหลียนฮวารีบโบกมือปฏิเสธเพราะไม่อยากขัดความสุขของเทพที่นางเคารพ“มิเป็นไรได้อย่างไร ข้าพาเจ้าไปก็ต้องพากลับ ทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ เช่นนี้มิใช่ข้า”“ท่านเขยเพิ่งออกจากด่านมิใช่หรือเจ้าคะ กว่าจะได้พบท่านเทพไม่ง่ายเลย ไปใช้เวลาด้วยกันเถอะเจ้าค่ะ จวนจือเล่ออยู่ใกล้แค่นี้ ข้าเดินกลับเองได้เจ้าค่ะ”เทพเซียนทั้งสองมีสีหน้าพอใจไม่น้อยเมื่อได้ยินคำว่าท่านเขยจากปากจิ่วเหลียนฮวา“ข้าไปเดินเล่นทางนั้นนะเจ้าคะ ลาท่านเทพทั้งสองเจ้าค่ะ” ว่าแล้วก็ย่อกายลงทำความเคารพหนึ่งคร