หลี่รั่วหานลืมตาตื่นขึ้นมาในยามเช้าของอีกวัน วันนี้เขามิต้องเข้าไปที่ค่ายทหารเนื่องจากเป็นวันหยุดพัก จึงคิดจะนอนต่ออีกสักหน่อย
ตระกูลหลี่ของเขานั้น แม้ท่านพ่อจะเป็นถึงราชบุตรเขยของราชวงศ์ แต่เพราะมีใจซื่อสัตย์และรักชาติบ้านเมือง ต่อสู้เพื่อบ้านเมืองมาโดยตลอด จึงยังดำรงตำแหน่งท่านแม่ทัพใหญ่ได้อย่างสมเกียรติ อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากเสด็จลุงเป็นอย่างมากอีกด้วย
ในขณะที่เขากำลังจะล้มตัวลงนอนต่อ พลันก็ได้กลิ่นอาหารลอยโชยมาเตะจมูก กลิ่นหอมของเครื่องเทศทำให้ความอยากอาหารของเขามีมากขึ้นกว่าเดิม เดิมทีที่คิดว่าจะนอนต่ออีกสักหน่อย เขาจึงเปลี่ยนใจมุ่งหน้าไปที่โรงครัวทันที
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ใจของเขาสั่นระรัวอย่างแปลกประหลาด
จ้าวไป๋ลู่ในยามนี้กำลังวุ่นวายอยู่กับการทำอาหาร ใบหน้าสวยมีเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นมาเต็มใบหน้า ทรงผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นอย่างลวก ๆ ทุกท่วงท่าของนางงดงามและอ่อนช้อย จนเขาสัมผัสได้ว่ายามที่นางทำอาหารช่างน่ามองยิ่งนัก
น่ามองกับผีน่ะสิ!!!
แม้ในใจจะก่นด่านาง แต่ยามนี้เขาต้องทำตามแผนที่วางเอาไว้ให้ลุล่วงเสียก่อน
แสร้งทำดีให้นางตายใจ ท้ายที่สุดก็ค่อยไล่นางออกจากจวน หรือไม่ก็ส่งนางไปบวชชีเสีย ฮ่า ๆ!!!
จ้าวไป๋ลู่รับรู้ว่ามีคนมอง นางจึงหันหน้ากลับมาก่อนจะพบกับหลี่รั่วหานที่ยืนพิงประตูโรงครัวอยู่ ยามนี้เขาปล่อยผมยาวสยาย สวมชุดสีดำที่เผยให้เห็นแผงอกล่ำสัน ใบหน้าหล่อเหลาที่ฉายแววง่วงงุนและเกียจคร้าน ทำให้นางรู้สึกวาบหวิวอย่างประหลาด
หล่อระเบิดไปเลย!!!
แต่เสียดายมีสุนัขอยู่ในปากเต็มไปหมด!!!
"ซื่อจื่อไปรอที่โต๊ะอาหารเถิดเจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวข้าก็ใกล้จะเสร็จแล้ว ข้าจะรีบยกสำรับยามเช้าไปให้ท่าน"
แม้ในใจจะนึกก่นด่าเขา แต่อย่างไรนางก็มิอาจลืมคำพูดที่มารดาเคยสั่งสอนเอาไว้ นางต้องทำหน้าที่ภรรยาให้ดีอย่าได้หลงลืมหน้าที่ของตน
"ให้ข้าช่วยเจ้าดีหรือไม่?"
เมื่อได้ยินหลี่รั่วหานเอ่ยเช่นนั้น จ้าวไป๋ลู่ก็ขมวดคิ้วมุ่น ความสงสัยในใจของนางมีเต็มไปหมด ร้อยวันพันปีเขาด่านางสารพัด เหตุใดเช้านี้จึงพูดจากับนางแปลกประหลาดไปจากเดิมเช่นนี้เล่า
หลี่รั่วหานคล้ายจะเดาความในใจของนางออก เขาจึงเอ่ยขึ้นมาทันที
"ข้าไม่อยากให้ท่านแม่ต้องล้มป่วยลงเพราะเรื่องของข้ากับเจ้า เจ้าเองก็คงรู้ดี ในเมื่อแต่งงานกันแล้ว ข้าย่อมเป็นสามีเจ้า เจ้าเองก็เป็นภรรยาของข้า มิสู้เรามาทำให้ท่านพ่อท่านแม่สบายใจไม่ดีกว่าหรือ ข้าเองก็จะยอมถอยให้เจ้าก้าวหนึ่ง"
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้น จ้าวไป๋ลู่จึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา นางทำได้เพียงพยักหน้าเล็กน้อย
สำรับยามเช้าในวันนี้ ทำให้หลี่รั่วหานเจริญอาหารไม่น้อย เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่านางจะมีฝีมือในการทำอาหารได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้
จ้าวไป๋ลู่ที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามเขา
"อาหารถูกปากหรือไม่เจ้าคะ"
"ก็ดี อย่างน้อยก็กินกันตายได้"
จ้าวไป๋ลู่ "..."
เมื่อรับสำรับยามเช้าเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงไปคารวะองค์หญิงหงลี่ที่เรือนใหญ่ เมื่อเห็นว่าบุตรชายและลูกสะใภ้ดูจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี นางก็วางใจลงได้เป็นอย่างมาก
"ไป๋ไป๋ คราก่อนที่เจ้าปักผ้าเช็ดหน้าลายดอกโบตั๋นให้แม่ แม่ชอบยิ่งนัก ยามที่สหายมาเยี่ยมเยือน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ฝีมือการเย็บปักของเจ้าช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก"
"ท่านแม่ชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าเพียงมีความรู้เล็กน้อยเท่านั้น"
"เจ้าน่ะถ่อมตนเกินไปแล้ว"
"หากท่านแม่ชอบ ไว้คราวหน้าลูกจะปักหมอนลายนกยวนยางให้ท่านแม่และท่านพ่อดีหรือไม่เจ้าคะ นกยวนยางเป็นสัญลักษณ์ของความรักมั่นคง ท่านแม่และท่านพ่อจะได้ครองคู่กันไปเนิ่นนาน อยู่เป็นที่พึ่งให้ข้าไปตลอดเจ้าค่ะ"
"เจ้านี่ปากหวานยิ่งนัก เอาเถิดอย่าเร่งรีบนักเลย สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการรีบมีทายาท ข้าน่ะอยากจะอุ้มหลานโดยเร็วแล้วคิกคิก"
จ้าวไป๋ลู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เพียงยิ้มเล็กน้อย ด้านหลี่รั่วหานลอบส่งเสียงเหอะในลำคอคราหนึ่ง
ที่แท้เพราะนางเสแสร้งออดอ้อนเอาใจท่านแม่เก่งนี่เอง ท่านแม่จึงเอ็นดูนางถึงเพียงนี้!!!
ช่างเป็นสตรีที่เล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจไม่เบา!!!
มีลูกหรือ!!! หึ!!! ใครจะอยากมีลูกกับสตรีเช่นนี้กัน!!!
เมื่อออกมาจากเรือนใหญ่แล้ว หลี่รั่วหานก็พาจ้าวไป๋ลู่นั่งรถม้าออกจากจวน มุ่งหน้าไปที่ตลาดในเมืองหลวงทันที เขาบอกว่าจะพานางออกมาเที่ยวชมตลาด เพราะคิดว่านางคงจะเหงายามที่ต้องอยู่แต่ในจวน
จ้าวไป๋ลู่ปรายตามองเขาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมา
"ที่ท่านทำดีกับข้า ก็เพื่อหวังที่จะโน้มน้าวท่านแม่ให้ยอมแต่งคนรักของท่านเข้าจวนใช่หรือไม่เจ้าคะ"
หลี่รั่วหานที่ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับนาง
"อย่าเอ่ยวาจาเหลวไหล หนิงเสวี่ยนางมิยอมตกเป็นภรรยารองของข้าหรอก เจ้าหยุดเอ่ยเช่นนี้เสีย"
"ใจท่านมีสตรีที่รักอยู่แล้ว เรื่องนี้ข้ารู้ดีเจ้าค่ะ เอาเถิด ละครฉากนี้ข้าจะร่วมเล่นกับท่านสักครา ไว้ท่านกับคนรักของท่านสมหวังกันเมื่อใด ข้าจะหย่ากับท่านเสีย ท่านจะได้มิต้องทนอยู่กับข้า เพราะข้าเองก็มิอาจทนอยู่กับบุรุษที่ไม่ได้มีใจรักใคร่ต่อข้าเช่นกัน"
คำพูดของจ้าวไป๋ลู่ทำให้หลี่รั่วหานรู้สึกแปลกประหลาด เดิมทีนี่มิได้อยู่ในแผนการของเขา เขาคิดเอาไว้ว่านางจะต้องโง่งม หลงเชื่อเขาสิ!!!
เหตุใดจึงกลายเป็นนางรู้ทันความคิดของเขาเช่นนี้กันเล่า!!!
จ้าวไป๋ลู่ที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาทันที
"ฮ่า ๆ ๆ ท่านคิดว่าข้าโง่หรือ ข้าน่ะฉลาดจะตายไป เอาเถิด ข้าจะช่วยให้ท่านสมหวังเอง ดีหรือไม่ พี่ชาย"
"พี่ชายหรือ?"
"อืม ระหว่างเราในเมื่อไร้ใจต่อกัน ก็อย่าเป็นศัตรูกันเลยจะดีกว่า ข้าน่ะชอบผูกมิตรกับผู้คน ขอเพียงท่านไม่หาเรื่องลำบากใจให้ข้า ข้าก็จะไม่กวนใจท่านเช่นกัน"
หลี่รั่วหานจ้องมองไปในแววตาที่ไร้เดียงสาของนาง ฉับพลันในใจของเขาก็รู้สึกผิดวูบหนึ่ง แต่ความรู้สึกนี้ก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
"ตกลง ในเมื่อเจ้ายินดีช่วยเหลือ ข้าย่อมรับปากตามคำขอ เสร็จสิ้นเรื่องนี้เมื่อใด ข้าจะหย่าขาดจากเจ้า และปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระแน่นอน"
"อืม"
จ้าวไป๋ลู่ยิ้มตาหยี นางรู้สึกสบายใจอย่างแปลกประหลาดที่ได้เปิดใจคุยกับเขาเช่นนี้ อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำดีต่อกันให้เหนื่อยใจ
โดยที่นางไม่รู้เลยว่า คำพูดเหล่านี้จะย้อนกลับมาทำร้ายนางอย่างสาหัสในภายหลังเพียงใด
เมื่อรถม้าหยุดลงที่หน้าตลาด หลี่รั่วหานและจ้าวไป๋ลู่ก็เดินเที่ยวชมตลาดโดยรอบ เขามองดูนางที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดี บางคราก็หัวเราะชอบใจกับสิ่งต่าง ๆ ที่ได้เห็นรอบกาย ทำให้เขาเผลอยิ้มตามไปด้วย บางทีนางอาจจะไม่ได้เลวร้ายดั่งเช่นที่เขาคิดใช่หรือไม่!!! เมื่อเดินตามตรอกต่าง ๆ มาเรื่อย ๆ ก็มาถึงร้านเครื่องประดับร้านหนึ่ง หลี่รั่วหานเลือกซื้อปิ่นหยกแกะสลักลวดลายเป็นดอกโบตั๋นมอบให้จ้าวไป๋ลู่ นางรับมันมาพิจารณาก่อนจะยิ้มตาหยี "ข้าชอบ ซื่อจื่อ ท่านช่วยซื้อกำไลหยกวงนั้นให้ข้าอีกสักอันได้หรือไม่?" "เจ้านี่โลภไม่เบานะ!!!" "ไหนท่านบอกว่าเราต้องแกล้งเล่นละครตบตาผู้คน เหตุใดเพียงเท่านี้จึงซื้อให้ข้าไม่ได้เล่า!!!" "หุบปาก!!! มิเช่นนั้นข้าจะลากคอเจ้าออกจากร้านนี่เสีย!!!" "ชิ!!!" ท้ายที่สุดเขาก็ยอมซื้อปิ่นหยกและกำไลหยกให้นางอย่างละชิ้น "ไป๋ไป๋" ระหว่างทางที่กำลังจะกลับไปที่รถม้า ก็มีเสียงบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยเรียกชื่อของจ้าวไป๋ลู่ขึ้นมา เมื่อนางหันไปมองก็ยิ้มให้เขาทันที "พี่เซียวถง ท่านมาได้เช่นไรเจ้าคะ" "ข้ามาซื้อขนมให้ท่านแม่น่ะ เจ้าเล่า" "ข้ามาเดินเที่ยวตลาดเจ้าค่ะ" "ดีเลย นี่หมั่นโถวไส้เนื้อที่เจ
ห้องทรงอักษร "โอ้วววว ซี้ดดด ได้ยินว่าราษฎรแถบชนบทขาดแคลนอาหาร เจ้าจัดการหรือยังรัชทายาท!""อ๊าาา เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ!!!'"หงหลี่หยวน เจ้าอย่าให้มันพุ่งมาทางนี้โอ้ววว มันจะเปื้อนฎีกาของข้า!!!""ไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ มันจะพุ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ อ๊าาาา!!!""บัดซบ!!! ฎีกาข้า!!! ซี้ดดด!!!"หลี่รั่วหานที่กำลังเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องทรงอักษร เมื่อได้ยินเสียงโหยหวนจากด้านในก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยรีดพิษกันอีกแล้วสินะ!!!เสด็จลุงมีรับสั่งเรียกเขาเข้าวังเพื่อหารือเรื่องภัยแล้ง เพราะได้รับความโปรดปรานเขาจึงสามารถเข้าออกห้องทรงอักษรได้อย่างตามใจชอบ"ครื้นเครงกันแต่เช้าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ""อารั่ว!!!""พี่รั่ว!!!"ฮ่องเต้หงหยวนและองค์รัชทายาทหงหลี่หยวนหันมาส่งยิ้มทักทายให้หลี่รั่วหาน หลี่รั่วหานมองภาพตรงหน้าก่อนจะเผลอขบขันออกมาให้ตายเถิด!!! ยุคสมัยของเสด็จลุง ยามหารือราชกิจต้องแก้ผ้าไปด้วยเช่นนี้หรือ?เฮ้อ!!! คงไม่ดีเท่าใดกระมังเขาต้องร่วมแก้ด้วยจึงจะถูก!เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่รั่วหานจึงปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนออกก่อนจะสาวชักลำแท่งเอ็นร้อนอย่างเมามันเช่นเดียวกัน ฮ่องเต้หงหยวนและองค์รัชทา
หนทางจากเมืองหลวงไปยังหมู่บ้านชนบทใช้เวลาเดินทางร่วมสิบวัน ระหว่างทางที่พัก จ้าวไป๋ลู่และหมิงอวี้สาวใช้ข้างกาย จะช่วยกันจัดเตรียมอาหารอย่างใส่ใจเสมอการเดินทางครานี้มีท่านพ่อและพี่ชายของนางติดตามมาด้วย อีกทั้งยังมีเซียวถงตามมาด้วยเช่นเดียวกัน "ฮูหยินน้อยเจ้าคะ พักก่อนเถิดเจ้าค่ะ ท่านเพิ่งจะเดินทางมาถึง คงจะเหนื่อยล้ามิใช่น้อย" จ้าวไป๋ลู่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด นางมองดูบรรยากาศโดยรอบของหมู่บ้านชนบทก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง เดิมทีนางมิอยากติดตามหลี่รั่วหานมา แต่เมื่อได้มาเห็นสภาพตรงหน้าความคิดของนางก็พลันเปลี่ยนไปช่างน่าเวทนายิ่งนัก ต้นไม้ใบหญ้าแห้งเฉาเหี่ยวตาย เด็กและคนชราผอมโซเสียจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก "ข้าติดตามมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือซื่อจื่อ มิได้มาพักผ่อนสบายใจ เจ้าจงเร่งรีบไปที่โรงครัว ข้าจะทำอาหารให้มากเสียหน่อย" "เจ้าค่ะ ฮูหยินน้อย" หมิงอวี้รับคำก่อนจะรีบเร่งไปที่โรงครัว เพื่อให้เหล่าทหารช่วยตระเตรียมโรงครัวให้พร้อม เมื่อจ้าวไป๋ลู่มาถึง นางก็จัดการปรุงอาหารทันทีอย่างไม่รอช้า โชคดีที่ระหว่างการเดินทางมีการหยุดพัก ทำให้นางเก็บผักป่ามาได้จำนวนไม่น้อย แม้มันจะไม่สดใหม่เท่าใดนัก แ
จ้าวไป๋ลู่อารมณ์เสียแล้ว นางจึงเดินมาทิ้งตัวนั่งที่สะพานไม้แห่งหนึ่ง ก่อนจะมองดูที่ใต้สะพาน ยามนี้น้ำแห้งเหือดจนเห็นได้ชัด ภัยแล้งช่างรุนแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ"น้องสาว เหตุใดจึงมานั่งคนเดียวเล่า" "พี่เซียวถง" จ้าวไป๋ลู่เงยหน้าไปมองเซียวถงที่กำลังเดินมาหานาง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างกายนาง พร้อมกับยื่นสาลี่มาให้นางผลหนึ่ง จ้าวไป๋ลู่รับมันมาก่อนจะกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ความหวานและฉ่ำน้ำจากผลสาลี่ทำให้นางรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง "เขาดีต่อเจ้าหรือไม่?" "เอ๋?" "สามีเจ้าน่ะ เขาดีต่อเจ้าหรือไม่?" เซียวถงเอ่ยถามจ้าวไป๋ลู่ด้วยความห่วงใย ตั้งแต่นางแต่งเข้าจวนโหว เขาก็พยายามทำใจมาตลอด ถึงขนาดเกือบจะออกบวช แต่เพราะท่านพ่อท่านแม่ห้ามปรามเอาไว้เขาจึงไม่ได้ทำเช่นนั้น "ดีเจ้าค่ะ" "จริงหรือ แต่ข้าได้ยินมาว่าเขามีคนรักอยู่ก่อนแล้ว" คำพูดนี้ของเซียวถงทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของจ้าวไป๋ลู่เลือนรางลงไปเล็กน้อย นางไม่ได้เอ่ยเรื่องข้อตกลงระหว่างหลี่รั่วหานให้เซียวถงฟังเพราะคิดว่าไม่จำเป็นเท่าใดนัก "ข้าแต่งเป็นภรรยาของเขาแล้ว อีกอย่างแม่สามีก็รักและเอ็นดูข้าไม่น้อย ขอบคุณพี่ชายที่เป็นห่วง" "ไป๋ไป๋ หากย
เพราะสายน้ำที่พัดมาอย่างรุนแรงและเชี่ยวกราก ทำให้หลัวเทียนเฉินและเซียวถงมิอาจส่งทหารออกติดตามหลี่รั่วหานและจ้าวไป๋ลู่ได้ในยามนี้ ด้านจ้าวเยียนและจ้าวเฉียน บิดาและพี่ชายของจ้าวไป๋ลู่ก็ร้อนใจจนแทบจะกระโดดลงน้ำไปตามหาบุตรสาวของตนแล้ว สายฝนตกโหมกระหน่ำราวกับฟ้ารั่ว ยามนี้จ้าวไป๋ลู่เริ่มอ่อนแรงลงไปทุกขณะ นางพยายามประคองสติของตนเองเอาไว้ มือของนางกอดรัดหลี่รั่วหานเอาไว้แน่น หลี่รั่วหานนั้นเป็นทหาร ร่างกายของเขาย่อมกำยำแข็งแรงกว่าจ้าวไป๋ลู่ที่เป็นสตรี ท่ามกลางกระแสน้ำที่ไหลแรงทั้งคู่ลอยมาติดที่ริมฝั่งซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งยืนต้นตระหง่านอยู่ หลี่รั่วหานไม่รอช้าเขารีบพานางขึ้นมาบนฝั่งด้วยความเหนื่อยหอบ "แค่ก แค่ก!!!" "จ้าวไป๋ลู่ เจ้าไหวหรือไม่!!!" "ไหวเจ้าค่ะ น้ำแรงมากข้าแทบหมดแรงแล้ว!!!" ทั้งสองนั่งพิงที่โคนต้นไม้ใหญ่พลางหายใจด้วยความเหนื่อยหอบ จนกระทั่งหลี่รั่วหานพอจะประคองตนเองลุกขึ้นมาได้บ้าง เขามองดูเสื้อผ้าที่เปียกโชกและสายฝนที่โหมกระหน่ำก็ครุ่นคิดในใจ หากปล่อยเอาไว้เช่นนี้เขากับนางต้องป่วยตายเป็นแน่!!! หลี่รั่วหานมองไปโดยรอบ แถวนี้มีเพียงป่าขนาดใหญ่รายล้อมไปหมด เขากับนางลอยมาติ
เหล่าโจรป่าถือว่ามีการระแวดระวังตนไม่น้อย พวกมันพุ่งทะยานมาล้อมหลี่รั่วหานและจ้าวไป๋ลู่เอาไว้ ดวงตาของพวกมันเปล่งประกายเมื่อมองเห็นสตรีใบหน้างดงามตรงหน้า ยามนี้เสื้อผ้าของนางเปียกชื้นจึงทำให้มองเห็นสัดส่วนที่เย้าตายวนใจได้อย่างชัดเจน พวกมันแลบลิ้นเลียริมฝีปากตนพร้อมกับแสดงสีหน้าหื่นกระหาย สายตาของพวกมันจ้องมองแทะโลมจ้าวไป๋ลู่อย่างไม่ปิดบัง จ้าวไป๋ลู่จับชายแขนเสื้อของหลี่รั่วหานเอาไว้แน่น หลี่รั่วหานใช้มือดันนางไปอยู่ที่ด้านหลังของเขา ดวงตาคมจ้องมองเหล่าโจรป่าพวกนั้นอย่างเย็นชา "ส่งสตรีน้อยนางนั้นมาแล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป" หนึ่งในโจรป่าเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อำมหิต หลี่รั่วหานที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้มมุมปากคราหนึ่ง ในขณะที่จ้าวไป๋ลู่ในยามนี้ใบหน้าของนางซีดเผือดไร้สีเลือดอย่างเห็นได้ชัด หากเขามอบนางให้พวกมันจริง ๆ เล่า! "พวกเจ้าอยากได้ตัวนางจริง ๆ หรือ?" หลี่รั่วหานเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่กลั้วหัวเราะ รอยยิ้มร้ายกาจของเขาราวกับปีศาจที่หลุดออกมาจากการคุมขัง "หากพวกเจ้าอยากได้นางจริง ๆ ข้าก็ยินดียกนางให้กับพวกเจ้า" "ซื่อจื่อ!!!" จ้าวไป๋ลู่ตื่นตระหนกจนมือไม้สั่น นางคลายมือออกจากการเกาะก
ท่ามกลางสายฝนที่ตกโปรยปรายลงมาอีกครา ทำให้อากาศในยามนี้ค่อนข้างเหน็บหนาวไม่น้อย แต่ทว่าร่างกายของหลี่รั่วหานและจ้าวไป๋ลู่กลับร้อนระอุตรงข้ามกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นเป็นอย่างยิ่งยามนี้คนทั้งสองเข้ามาหลบในเรือนไม้หลังนั้นที่เหล่าโจรสร้างทิ้งเอาไว้ คนทั้งสองนั่งหันหลังชนกัน มีบางคราที่จ้าวไป๋ลู่ขยับกายหลี่รั่วหานก็จะสะดุ้งเป็นพัก ๆ บัดซบ!!! เขากับนางกินยาปลุกกำหนัดเข้าไป ในน้ำเต้าขวดนั้นผสมยาปลุกกำหนัดเอาไว้!!! พวกมันนำยานี้มาใช้กับผู้ใดกันในกลางป่าลึกเช่นนี้!!! "ซื่อจื่อ ข้าร้อนเจ้าค่ะ" "เจ้าอย่าขยับสิ!!! บัดซบ!!!" มันแข็ง!!! แข็งจนเขาแทบจะทนไม่ไหวแล้ว หลี่รั่วหานพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ของตนเองเอาไว้ ยานี้แรงยิ่งนัก เขาสั่นสะท้านไปทั้งกายแล้ว "ซื่อจื่อ" "อย่าหันมา หน้าอกเจ้าถูกแขนข้า!!! โอ้วววว" ไม่ไหวแล้วโว้ย!!! "ซื่อจื่อ" "หยุดเรียกสักที!!! จ้าวไป๋ลู่ เจ้าทำเช่นไรก็ได้ให้ตัวเจ้ารู้สึกดีขึ้น" "เอ๋?"จ้าวไป๋ลู่หันมามองเขาด้วยความสงสัย ใบหน้างามยามนี้แดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด หลี่รั่วหานเบือนหน้าหนีทันที เขาไม่รู้ว่าจะบอกนางเช่นใดดี!!! เจ้าใช้มือแหย่...อืมม!!! มันจะไม่ดีเอาน
เมื่อจัดการสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่รั่วหานและจ้าวไป๋ลู่จึงเดินออกมาที่นอกเรือน สายตาของคนทั้งคู่มีท่าทีกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก "อย่ามามองข้าด้วยสายตาเช่นนี้" "ข้าไม่ได้มองนะเจ้าคะ" "เหอะ!!! สมใจเจ้าแล้วสิ ที่ได้เชยชมข้า!!!" "นี่ท่าน!!!" "รีบออกเดินทาง ข้าว่าข้าคิดหาทางกลับหมู่บ้านได้แล้ว" "จริงหรือเจ้าคะ" จ้าวไป๋ลู่รีบเดินเข้าไปจับแขนเขาด้วยความดีใจ หลี่รั่วหานสะดุ้งอีกคราเพราะยามนี้หน้าอกของนางบดเบียดท่อนแขนของเขาอีกแล้ว เฮ้อ!!! ใหญ่เกินไปก็ไม่ไหว"อย่ามาแตะต้องตัวข้า" "คิดว่าข้าอยากแตะหรือเจ้าคะ" "ตามมา!!!" คนทั้งสองเดินลัดเลาะมาตามป่าเขาเรื่อย ๆ ผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ที่ดูหนาตา ระหว่างทางนั้นหลี่รั่วหานและจ้าวไป๋ลู่ก็ได้พบกับสิ่งของบางอย่างเข้า เสื้อผ้าสตรี? เหตุใดเสื้อผ้าสตรีจึงถูกนำมาโยนทิ้งไว้กลางป่าเช่นนี้ อีกทั้งยังมีหลายชุดด้วย ทั้งสองหันมาสบตากันทันที หลี่รั่วหานเริ่มครุ่นคิดบางอย่างอีกคราหรือยาปลุกกำหนัดนั่นจะเกี่ยวข้องกับเสื้อผ้าของสตรีที่ถูกโยนทิ้งกลางป่าพวกนี้"ซื่อจื่อ!!! ฮูหยินน้อย!!!" "ไป๋ไป๋ของพ่อ!!!" เสียงร้องเรียกดังขึ้นมา ทำให้หลี
หวังเจียหมิ่นเดินถือกล่องใส่อาหารไว้ในมือ ก่อนจะเดินขึ้นไปบนวัดไป๋หม่า เขาทำเช่นนี้มาร่วมปี เขาเองก็เต็มใจทำโดยไม่เคยปริปากบ่นแม้เพียงน้อยเสียงกวาดพื้นดังมาเป็นระยะ หวังเจียหมิ่นจ้องมองสตรีตรงหน้าที่ยามนี้นางเกล้าผมอย่างเรียบร้อย สวมเพียงเสื้อผ้าธรรมดา กำลังถือไม้กวาดกวาดใบไม้อย่างตั้งใจนางคือหลี่หลานฮวา หรือก็คือ หนิงเสวี่ย นั่นเอง นางเสียสติอยู่ร่วมปี กว่าจะทำใจยอมรับเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้ มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ ที่นางจะยอมรับว่านางกับหลี่รั่วหานเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน และไม่ง่ายเลยกว่านางจะยอมรับว่าสตรีที่นางเกลียดชังนักหนา แท้จริงแล้วคือมารดาผู้ให้กำเนิดนาง แม้จะเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก แต่ในท้ายที่สุดนางก็ทำใจยอมรับมันได้ แม้จะต้องใช้เวลาบ้างก็ตาม นางอุทิศตัวให้พระโพธิสัตว์ ชาตินี้จะขอสร้างบุญเพื่อไถ่บาปกรรมที่นางเคยทำเอาไว้ทั้งหมด แม่ทัพใหญ่หลี่ องค์หญิงหงลี่และหลี่รั่วหานยังคงมาเยี่ยมนางอยู่เสมอ พวกเขายังคงพูดกับนางเหมือนเช่นทุกครา ว่ายังรอวันที่นางจะยินดีกลับจวนโหวอีกครั้ง ซึ่งนางเองก็ยังไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อใดนางรู้สึกผิดต่อทุกคน ด้วยความรู้สึกผิดในใจนางจึงเล
จ้าวไป๋ลู่ยื่นน้ำตาลก้อนหนึ่งให้หลี่รั่วหานเพื่อให้เขาใช้แก้อาการแสบร้อนในปาก เขารีบยัดน้ำตาลก้อนนั้นเข้าปากทันที ยามนี้ปากของเขาบวมราวกับโดนฝูงผึ้งรุมต่อย สร้างความขบขันให้แก่นางไม่น้อย "หลี่รั่วหาน" "หืม" "ท่านพ่อท่านแม่ข้าบอกข้าว่า พวกเขาชอบท่านมาก" "จริงหรือ?" "จริงสิ แต่จะให้ข้ากลับเข้าจวนไปง่าย ๆ ก็คงจะไม่ดีเท่าใดนัก" "จ้าวไป๋ลู่ เรามาแต่งงานกันอีกรอบเถิด!!!" "ท่านว่าอย่างไรนะ" "ข้าจะแต่งงานกับเจ้าอีกรอบ เรามาแต่งงานกันเถอะ" "หลี่รั่วหาน ท่านแน่ใจแล้วหรือ ว่าจะแต่งกับข้าอีกครั้ง" "แน่ใจสิ""หากข้าไม่ได้อ่อนโยนเหมือนแต่ก่อนเล่า ไม่ใช่คนที่ท่านสามารถเอาเปรียบได้เช่นแต่ก่อนอีกเล่า" "ข้าก็ยังยืนยันที่จะแต่งกับเจ้าเช่นเดิม" "ท่านจะไม่โกหกข้า ไม่ทำร้ายข้าอีกครั้งใช่หรือไม่" "ข้าจะไม่มีวันทำให้เจ้ากับลูกเสียใจอีกเป็นอันขาด" "หากท่านผิดสัญญา ข้าจะไม่กลับไปหาท่านอีก" "ห้าปีที่ข้ารอเจ้า มันเป็นบทเรียนชั้นดีที่สอนข้าอย่างสาหัสแล้วจ้าวไป๋ลู่" "ตกลง เช่นนั้นข้าจะแต่งงานกับท่านอีกครา" "จริงหรือ เจ้าพูดจริงหรือ!!!" "หน้าข้าเหมือนคนโกหกหรือ?" "ก็ข้าคิดว่าเจ้า..." "หุบปาก!!!"
จวนตระกูลจ้าวหลี่รั่วหานมาตามที่ตกลงกับจ้าวไป๋ลู่เอาไว้ ยามนี้เขากำลังนั่งตัวเกร็งอยู่ที่ห้องโถงด้านในจวนตระกูลจ้าว อดทนกับสายตากดดันของจ้าวเยียน ฮูหยินหลิวอิ๋ง และจ้าวเฉียน ที่มองเขาด้วยแววตาที่เย็นเยียบแต่เพื่อนางกับลูกเขายอม จ้าวเยียนปรายตามองหลี่รั่วหานคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา "ซื่อจื่อ ท่านแน่ใจแล้วหรือ ที่จะลดตัวลงมาหาพวกเรา" "แน่ใจขอรับ ข้าเต็มใจทำทุกสิ่งเพื่อจ้าวไป๋ลู่กับลูก" "ก็ดี ท่านทำอาหารเป็นหรือไม่ แม่ครัวเก่าเพิ่งจะลาออกไป ฮูหยินข้ากำลังอยากได้ลูกมือทำครัวอยู่พอดี" "ได้เลยขอรับ" ฮูหยินหลิวอิ๋งปรายตามองหลี่รั่วหานคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดถึงจดหมายที่องค์หญิงหงลี่ส่งมาให้นาง ในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า จัดการให้หนัก! ยามนี้นางกับองค์หญิงหงลี่ปรับความเข้าใจกันด้วยดีแล้วหลี่รั่วหานเดินตามฮูหยินหลิวอิ๋งเข้ามาในโรงครัว ก่อนจะจ้องมองนางที่กำลังหยิบมีดคมขึ้นมาถือเอาไว้ ในใจของเขาก็รู้สึกเย็นวาบแปลก ๆ "มีดนี่คมมาก ข้าใช้มันหั่นเนื้อเป็นประจำ เป็นมีดประจำตัวของข้า เดิมทีข้าอยากส่งต่อมันให้กับจ้าวไป๋ลู่ ซื่อจื่อท่านรู้หรือไม่ว่า เหตุใดข้าจึงอยากส่งต่อมีดนี้ให้บุตรสาวของข้า"
ยามนี้เหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในความสงบแล้ว ทุกคนกลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนเช่นเคย และมีเรื่องที่น่ายินดีอีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือ เซียวถงกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับสวีลั่วลั่ว ทั้งสองพบรักกันเมื่อหนึ่งปีก่อนจ้าวไป๋ลู่ยินดีกับทั้งสองเป็นอย่างมาก และนางดีใจที่เซียวถงจะมีสตรีที่ดีพร้อมมาคอยดูแลเสียที ส่วนนางเองก็ยังไม่ได้ใจอ่อนกับหลี่รั่วหาน แม้ว่าเขาจะพยายามตามง้อนางก็ตาม ยามนี้จ้าวหยางอายุได้สี่ขวบปีแล้ว เป็นวัยที่กำลังช่างพูดช่างคุย บางคราเขาตื่นมาชวนนางคุยกลางดึกก็เคยทำมาแล้ว วันนี้เป็นวันมงคลของเซียวถงและสวีลั่วลั่ว จ้าวไป๋ลู่พาจ้าวหยางไปร่วมงานในครานี้ด้วย งานเลี้ยงจัดอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนต่างมาร่วมยินดีกับบ่าวสาวกันมากมายจ้าวไป๋ลู่มองดูเซียวถงกับสวีลั่วลั่วที่หยอกล้อกันตามประสาคู่แต่งงานก็เผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย งานแต่งของนางไม่เคยมีความทรงจำเหล่านี้อยู่เลยแม้แต่น้อย "ไป๋ไป๋" จ้าวไป๋ลู่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพบหลี่รั่วหานที่เดินมาพร้อมกับหลัวเทียนเฉิน นางเพียงมองเขาแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา "แม่นางไป๋ไป๋ ดีใจที่ได้พบเจ้าอีกครา" "ใต้เท้าหลัว" "อย่าเรียกบ่อย ข้ากลัวจะตกหลุมรักเจ้
เว่ยจิ่นซางหยิบยาพิษออกมาจากในอกเสื้ออีกขวดหนึ่ง ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาองค์หญิงหงลี่ช้า ๆ "ตายซะเถอะ ในที่สุดข้าก็ล้างแค้นได้สำเร็จสักที" ฉึก! ยังไม่ทันที่เว่ยจิ่นซางจะสังหารองค์หญิงหงลี่ได้สำเร็จ มีดเล่มหนึ่งก็แทงเข้ามาที่แผ่นหลังของนางทะลุมาที่หน้าท้อง เมื่อนางหันกลับไปช้า ๆ จึงได้พบว่าเป็นฝีมือของหนิงเสวี่ย "นะ!!! นังชั่ว นังเนรคุณ!!!" "ฮือออออ" หนิงเสวี่ยแทงมีดจนสุดด้าม ก่อนจะทิ้งกายลงนั่งบนพื้นแล้วปิดหน้าร้องไห้โฮออกมาอย่างเจ็บปวดเว่ยจิ่นซางตกตายด้วยมีดเล่มนั้นของหนิงเสวี่ย"ท่านแม่!!!"ด้านนอกมีเสียงการต่อสู้ดังขึ้น ก่อนจะมีคนเปิดประตูพุ่งเข้ามา เป็นหลี่รั่วหานนั่นเอง เขามองสภาพศพของเว่ยจิ่นซางที่นอนตายอยู่บนพื้นดวงตาเบิกกว้าง ข้าง ๆ กันมีหนิงเสวี่ยที่นั่งร้องไห้อยู่ เขาไม่มีเวลาสนใจหนิงเสวี่ยมากนัก เขารีบวิ่งเข้าไปแก้มัดให้องค์หญิงหงลี่ ก่อนจะเดินเข้าไปหาจ้าวไป๋ลู่และลูกที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่ข้าง ๆ กัน"ไป๋ไป๋!!!" "นางสลบไม่ได้สติมาหลายชั่วยามแล้ว" เสียงของหลี่รั่วหานปลุกหนิงเสวี่ยให้ตื่นจากความสับสนและหวาดกลัวในจิตใจ นางค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปมองเขาช้า ๆ เมื่อเขาหันมาส
นางกรอกยาพิษทั้งที่มือก็สั่นไม่น้อย ยิ่งได้เห็นแววตาที่แข็งกระด้างขององค์หญิงหงลี่ที่มองมา มือนางก็สั่นมากยิ่งขึ้น จนทำยาพิษหกลงพื้นไปเสียดื้อ ๆ องค์หญิงหงลี่กินยาพิษนั้นไปไม่ถึงครึ่งขวดด้วยซ้ำ แต่นางก็กระอักโลหิตสีดำออกมาไม่น้อย เว่ยจิ่นซางที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะสะใจออกมาอย่างบ้าคลั่ง แปะ แปะ แปะ หนิงเสวี่ยกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะหันไปมองเว่ยจิ่นซาง "ท่านแม่" เว่ยจิ่นซางหันมามองหนิงเสวี่ยด้วยสายตาที่เย็นชา "ผู้ใดเป็นแม่เจ้ากัน?" "เอ๋? ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงเอ่ยวาจาเช่นนี้เจ้าคะ ข้าไม่เข้าใจ" เว่ยจิ่นซางปรายตามองหนิงเสวี่ยอย่างดูแคลน แววตาที่เคยมองนางประดุจลูกในไส้ แววตาที่อ่อนโยนเลือนหายไปจนหมดสิ้น ยามนี้มีเพียงความเกลียดชังเข้ามาแทนที่ นางทุ่มเทแรงกายแรงใจ รอเวลานี้มานานเหลือเกิน นางรอจนกระทั่งถึงวันนี้!!! "ฮ่า ๆ ๆ ๆ การได้มองเห็นบุตรสาวกำลังฆ่ามารดาของตนเองกับมือ ช่างเป็นภาพที่งดงามเสียจริง ๆ" เว่ยจิ่นซางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข หนิงเสวี่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ด้านองค์หญิงหงลี่ที่ได้ยินเว่ยจิ่นซางเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา ใจของนางก็เต้นแรงอย่างบ
จ้าวไป๋ลู่ถูกลักพาตัวมาที่เรือนโกโรโกโสหลังหนึ่งบนหุบเขา นางกอดจ้าวหยางเอาไว้แนบอก พยายามปกป้องบุตรชายเอาไว้อย่างสุดชีวิต "ลงมา!!! เดินเข้าไป!!!" ชายฉกรรจ์สี่ห้าคนพากันล้อมตัวนางเอาไว้ ก่อนจะบังคับให้นางเดินเข้าไปในเรือนหลังนั้น เมื่อนางมาถึงก็พบกับองค์หญิงหงลี่ที่ยามนี้ถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ ใบหน้าขององค์หญิงหงลี่บวมเป่งคล้ายกับถูกตบตีมาอย่างหนัก "ท่านแม่!!!" "ไป๋ไป๋" จ้าวไป๋ลู่ถูกนำมาขังรวมเอาไว้กับองค์หญิงหงลี่ นางกอดจ้าวหยางไว้แนบอก ก่อนจะหันมองไปโดยรอบอย่างระแวดระวัง พวกมันจับตัวนางมาด้วยเหตุใดกัน ไม่นานนักความสงสัยของนางก็กระจ่าง เมื่อได้พบกับ หนิงเสวี่ยและมารดาของนาง หนิงเสวี่ยจ้องมองนางด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะสลับมองมาที่จ้าวหยางอย่างเกลียดชัง "หึ!!! ตายยากเสียจริงนะจ้าวไป๋ลู่ เจ้าไม่เพียงไม่ตาย แต่ยังคลอดเด็กนรกนี่ออกมาอีกด้วย!!!" "อย่ายุ่งกับบุตรของข้า" "ฮ่า ๆ ๆ ๆ เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาขอร้องข้ากัน" นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน ก่อนจะครุ่นคิดถึงเรื่องที่ท่านแม่บอกเล่าให้ฟัง ท่านแม่บอกว่าจ้าวไป๋ลู่รอดตายกลับมาได้อีกทั้งยังมีบุตรชายที่เกิดจากหลี่รั่วหานตามมาอีกด้
เมื่อหลี่รั่วหานกลับมาถึงจวน เขาก็ได้พบข่าวร้ายว่าท่านแม่ของเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ยามนี้ท่านพ่อออกไปตรวจตราชายแดนยังไม่กลับเมืองหลวง เขาเองก็เอาแต่ตามติดจ้าวไป๋ลู่และลูก ระยะนี้จึงไม่ได้สนใจมารดาของตนมากเท่าใดนัก"เจ้าเล่ามา ท่านแม่หายไปได้เช่นไร!!!" "บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ เดิมทีฮูหยินกำลังเดินเล่นอยู่ที่ริมสระบัวท้ายจวน แล้วเกิดอยากกินขนมกุ้ยฮวา จึงให้บ่าวมาทำ ฮูหยินบอกว่าอยากอยู่เงียบ ๆ เพียงลำพังจึงให้สาวใช้ปลีกตัวออกมาจนหมด พอบ่าวกลับไปก็ไม่พบฮูหยินแล้วเจ้าค่ะ" หลี่รั่วหานที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที เขาสั่งให้คนค้นหาท่านแม่จนทั่วจวน เผื่อว่าจะเป็นลมอยู่ที่ใดสักแห่ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบตัวขององค์หญิงหงลี่ เขาจึงรีบเข้าวังกราบทูลฮ่องเต้หงหยวนในทันที ด้านจ้าวไป๋ลู่นั้น เมื่อเสร็จธุระจากร้านอาหารแล้ว นางจึงสั่งให้คนขับรถม้ามุ่งหน้าไปยังวัดไป๋หม่า เพื่อจะพาจ้าวหยางไปไหว้พระขอพรแต่ระหว่างทาง รถม้าของนางก็เกิดหยุดลงกะทันหัน จู่ ๆ ก็มีชายชุดดำสี่ห้าคนเข้ามาลักพาตัวของนางและจ้าวหยางไป ข่าวที่องค์หญิงหงลี่หายตัวไปยังไม่ทันได้สืบทราบ หลี่รั่วหานก็ได้รับข่าวร้ายจากจวนต
ยามนี้เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ เหล่าราษฎรต่างพากันออกมาทำมาหากิน บ้างก็ทำเรือกสวนไร่นา บ้างก็ออกมาขายของที่ตลาด ช่างเป็นบรรยากาศที่คึกคักเป็นอย่างมาก วันนี้จ้าวไป๋ลู่พาจ้าวหยางที่มีอายุสองขวบกว่าแล้ว มาที่ร้านอาหารของท่านปู่ท่านย่า นางอยากให้เขาเรียนรู้การใช้ชีวิตให้มาก ๆ จึงตั้งใจให้เขาเรียนรู้ทุกอย่างในชีวิต "นี่ เต้าหู้ เด็กดีพูดตามแม่สิ เต้าหู้" "เต้าหู้ ท่านแม่ ท่านแม่ เต้าหู้" "เก่งมากเลยจ้ะลูกรัก" จ้าวไป๋ลู่ตบมือให้จ้าวหยางด้วยความชื่นชม เด็กน้อยที่เห็นเช่นนั้นก็กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข "ขอหม้อไฟสองที่ ซุปซี่โครงหมูหนึ่งที่" "เชิญ..." จ้าวไป๋ลู่หันไปมองก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าจะจางหายไป มาอีกแล้ว!!! "แม่นางคนงาม ข้ารอหม้อไฟอยู่นะ" หลัวเทียนเฉินเอ่ยด้วยท่าทียั่วเย้า หลี่รั่วหานที่เห็นเช่นนั้นจึงแอบยื่นมือไปหยิกบั้นท้ายหลัวเทียนเฉินจนเขาสะดุ้งโหยง หึ!!! ถึงข้าจะเหลือแขนเดียวแต่ข้าก็สู้นะ!!! "ใต้เท้ารอสักครู่ พี่เซียวถงนั่งก่อนเถิด" จ้าวไป๋ลู่เดินกลับเข้าไปในโรงครัวพักใหญ่ ก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับจ้าวหยาง นางวางหม้อไฟลงบนโต๊ะ พร้อมกับซุปกระดูกหมูที่มีพริกสีแดงสดลอยเต็ม