LOGINเมื่อพักรักษาตัวร่วมเดือนฉัตรเกล้ามีอาการดีขึ้นจนเกือบหายเป็นปกติ ยกเว้นเพียงอาการวิงเวียนศีรษะและไร้เรี่ยวแรงที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง เขาแทบไม่ได้ออกไปไหนเนื่องด้วยคุณหญิงแก้วตาขอเอาไว้ หรือหากมีเรื่องต้องออกก็ต้องมีคนของคุณพ่อติดตามไปด้วยราวกับเงา
กริ๊ง กริ๊ง เสียงโทรศัพท์ยกหูที่ตั้งอยู่ส่วนห้องโถงใหญ่ดังขึ้น ฉัตรเกล้ากำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่โซฟาผ้ากำมะหยี่ลุกขึ้นไปรับก่อนหน้าพลับพลึง สาวใช้คนหนึ่งจะเดินมาถึง ชายหนุ่มยกมือข้างหนึ่งห้ามหล่อนไว้ เจ้าหล่อนจึงโค้งกายให้แล้วเดินถอยไปทำอย่างอื่น “สวัสดีครับ บ้านไพศาลภิรมย์รักษ์ ฉัตรเกล้าพูดสายครับ” ฉัตรเกล้ากล่าวเสียงเรียบร้อยน่าฟัง [ดีครับคุณชาย] ได้ยินน้ำเสียงของบุรุษทะเล้นไม่น้อยยามตอบกลับ รู้ได้ทันทีว่าปลายสายคือใคร “เป็นอย่างไร ที่ฉันฝากถามไปน่ะ” เขามองข้ามน้ำเสียงกวน ๆ ของเพื่อนสนิทและถามในเรื่องที่อยากรู้มากที่สุดไปแทน [รับสายเพื่อนก็เข้าประเด็นเชียว รีบเสียจริง] บ่นอุบอิบด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจกลับมา “ค่าโทรไม่ใช่ถูกนะพิเชษฐ์” ฉัตรเกล้าเอ่ยดุเพื่อนสนิทที่เห็นกันมาแต่เล็ก พิเชษฐ์ ยศฐกาล ลูกของนายตำรวจใหญ่แห่งกองปราบปรามในสำนักงานกรมตำรวจ [พิโธ่พ่อคุณ ได้ยินคำนี้มาจากลูกชายคนเล็กของมหาเศรษฐี เป็นเกียรติจริง ๆ] เย้าแหย่เพื่อนสนิทวัยเด็กที่ตอนนี้ก็ยังคงสนิทกันเหมือนเดิมแม้ฉัตรเกล้าจะไปเรียนเมืองนอกเสียนาน และนาน ๆ จะได้เจอกันสักที “เชษ ถ้ามัวแต่พูดเล่นฉันจะวางสาย” ฉัตรเกล้าถอนหายใจและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ติดดุเล็ก ๆ [เดี๋ยวซี่ ใจร้อนอะไรปานนั้น เรื่องที่ถามมาน่ะมันง่ายเสียที่ไหนกันเล่า] “ได้ความว่าอย่างไร” ฉัตรเกล้าถามเสียงกระตือรือร้นทันทีที่พิเชษฐ์เริ่มเข้าประเด็นที่ตนกำลังสนใจ [ระริกระรี้ขึ้นมาเชียว] ปลายสายไม่วายพูดแหย่เพื่อนอีกรอบ “สำรวมหน่อยพิเชษฐ์ ระริกระรี้อะไรกัน” และก็โดนฉัตรเกล้าดุไปอีกรอบเช่นกัน ก็ระริกระรี้มันเอาไว้ใช้กับสตรีนี่ เขาเป็นบุรุษนะ มาว่ากันอย่างนั้นหากไม่ดุเสียหน่อยคงได้ใจ [ดุจริง จะฟังไหมคุณชาย] “ฉันคิดไว้อยู่แล้วว่านายต้องหามาให้ได้” [เยินยอปอปั้นกันแบบนี้เลยสินะ] “ก็…” แอ๊ด ในขณะที่ฉัตรเกล้ากำลังหาข้อแก้ต่างให้ตัวเอง เสียงประตูบานใหญ่หน้าบ้านก็เปิดออก เป็นคุณทิวาผู้ช่วยเลขาที่เปิดประตู ด้านหลังเห็นพ่อของตนเดินมาพร้อมกับบุคคลที่ฉัตรเกล้าคำนึงหา เขาเดินตามหลังบิดา ร่างสูงใหญ่ที่ไม่ได้อยู่ในชุดนักโทษ ดวงตาเรียวโตเบิกขึ้นอย่างตกตะลึงและราวตกในภวังค์ [เอาล่ะ ๆ ว่าแต่ ให้ตายเถอะ นายจะไปอยากรู้จักมหาโจรชั่วคนนี้ทำไมกันล่ะคุณชาย] เสียงของพิเชษฐ์ดังทะลุเข้าหูแต่ไม่อาจเข้าไปถึงส่วนการรับรู้ใด ดวงตาของฉัตรเกล้ายังคงจ้องมอง เรือนผมของเขายาวปรกหน้าเกือบหมดเหมือนที่เจอกันครั้งแรก แต่บรรยากาศโดยรอบกลับเบาบางลงกว่าเดิมมาก [ถ้าไม่ผิดคนน่ะนะ ผู้ชายคนนั้นชื่อว่าฟ้าครามแต่เขาเรียกกันว่าเสือคราม เป็นเด็กกำพร้าข้างถนนที่เสือแหวนเก็บมาเลี้ยง พอโตขึ้นมันก็ออกปล้นฆ่าไปทั่วกับชุมของมัน ว่ากันว่าเก่งกาจ วิชาอาคมแก่กล้ากว่าใครเชียว แต่ก็ไม่รู้ทำไมวันหนึ่งชุมโจรของมันถึงโดนรวบได้] “อ้าวตาฉัตร คุยกับเพื่อนหรือลูก” คุณชนาที่สังเกตเห็นลูกชายเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ทว่าฉัตรเกล้าไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ยังคงมองค้างไปที่ด้านหลังของบิดา ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สบตาเขาพักหนึ่ง ก่อนจะมองไปทางอื่น ไม่รู้สึกขนลุกชันไปทั้งร่างแล้ว แม้จะยังรู้สึกเย็นเยียบวังเวงจนทำให้หัวใจกระตุกไปบ้าง บรรยากาศของเขาต่างจากวันที่พบกันครั้งก่อนอย่างที่ตัวฉัตรเกล้าก็ไม่อาจบรรยายได้ [แต่ก็มีข่าวลือแปลก ๆ หลังจากมันเข้าคุกออกมานะ บ้างก็ว่ามันเป็นบ้าวิปริตชอบพูดคนเดียว บ้างก็ว่าของมันเข้าตัวกลายเป็นตัวอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ คนก็ไม่ใช่ ผีก็เชิง] “ทิวา เอ็งไปตามพวกคนงานมาที่ห้องโถงสิ” คุณชนาหันไปสั่งผู้ช่วยเลขาหนุ่ม “ครับคุณท่าน” ทิวาโค้งรับคำสั่งก่อนจะเดินเลี่ยงไป [นี่ฉัตร ทำไมเงียบไปล่ะ ฟังอยู่หรือเปล่า] “ฉัตร…?” ทั้งเพื่อนและพ่อเอ่ยเรียก ฉัตรเกล้าสะดุ้งน้อย ๆ ก่อนจะรีบดึงสติของตนคืนมา “ไว้ค่อยคุยกันใหม่ ขอบใจมากนะเชษ” วางสายเพื่อนสนิทโดยไม่รอให้พิเชษฐ์ตอบอะไรกลับ เสียมารยาทอยู่ไม่น้อยแต่ก็ทำด้วยจะรั้งรอไม่ได้ เรื่องตรงหน้าสำคัญมากนัก ฉัตรเกล้าเดินเข้าไปหาบิดาที่ยืนสง่าอยู่กลางโถงใหญ่ โดยที่สายตาจ้องมองคนด้านหลัง จับจ้องใครบางคนที่เขาถึงกับขอให้เพื่อนสนิทวัยเด็กช่วยสืบหา อยากรู้จักว่าเป็นใคร เคยทำอะไรมา สิ่งที่ได้ยินจากพิเชษฐ์เขาเองพึ่งจะไตร่ตรองได้เมื่อครู่นี้ ขาเรียวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “ทำไมเขา…อะไรกันครับคุณพ่อ” เอ่ยเสียงเบาหวิว “อ้อ สงสัยสินะ ไว้มาพร้อม ๆ กัน พ่อจะได้แนะนำทีเดียว” คุณชนายังพูดพร้อมรอยยิ้มใจดี ยกมือลูบหัวบุตรชายคนเล็กด้วยความรัก ฉัตรเกล้าไม่ได้ยิ้มตอบแต่พยายามส่องสายตาไปหาชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ด้านหลังแทน เขาไม่แม้กระทั่งมองฉัตรเกล้า ราวไม่ได้สนใจสิ่งมีชีวิตใดตรงนี้เลยด้วยซ้ำ ครู่เดียวทิวาก็เดินกลับมาพร้อมคนงานทั้งหมดของบ้าน “คุณท่านให้คุณทิวาไปตามพวกเราหรือคะ” นางสาย หัวหน้าแม่ครัวอายุเข้าเลขห้าเอ่ยถาม นางสังเกตเห็นคนข้างหลังเจ้านายก็ตกใจตาเบิกกว้าง “มากันแล้วสินะ คุณหญิงล่ะ” คุณชนาถามหาภรรยาของตน ตอนนี้คุณหญิงของบ้านคงจะหลบมุมอ่านหนังสืออยู่ส่วนใดส่วนหนึ่ง “เดี๋ยวดิฉันให้นางไหมไปบอกคุณหญิงเองค่ะ” นางนิด หัวหน้าแม่บ้านที่อายุพอ ๆ สายบอก เพราะเมื่อครู่นางพึ่งจะให้คนในสายงานของตนไปทำความสะอาดศาลาริมน้ำ เพื่อที่คุณหญิงจะได้พักผ่อนอย่างสบายใจ “อืม ลุงบุญ สวนข้างบ้านกับด้านหลังที่จะปรับใหม่ให้คุณหญิงเขาน่ะ เร่งจัดการด้วยนะ” รับคำแม่บ้านก่อนจะหันไปคุยกับหัวหน้าคนงานฝ่ายชาย “ครับคุณท่าน กระผมให้ไอ้ไม้มันรับช่วงต่อน่ะครับ มันมีฝีมือเรื่องนี้พอสมควร” บุญชูอายุเข้าเลขหกแล้ว หากแต่ยังแข็งแรงดี ทำงานได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อยู่รับใช้บ้านไพศาลภิรมย์รักษ์มานานตั้งแต่คุณชนาและคุณหญิงแก้วตาแต่งกันใหม่ ๆ “จริงสิ ฉันให้ลุงบุญไปดูโกดัง งั้นก็ให้ไม้กับคนอื่น ๆ จัดการแล้วกัน” “ครับ” ลุงบุญชูโค้งรับ ชำเลืองสายตาไปทางด้านหลังของคุณชนาครู่หนึ่ง ขนอ่อนหลังคอพลันลุกซู่ “มีอะไรหรือคะคุณ” คุณหญิงแก้วตาในชุดระบายลูกไม้สีอ่อนเดินเข้ามาตามด้วยไหม ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งติดมาด้วย คุณชนายิ้มละไมให้ภรรยาคนสวย กางแขนรับร่างบางเข้ามากอด คุณหญิงของเรือนสังเกตเห็นคนข้างหลังสามี คิ้วเรียวเลิกขึ้น ท่าร่างคุ้นเคยและสันกรามคมชัดเหมือนได้เห็นที่ไหนมาก่อนเมื่อไม่นานมานี้ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยคำใด เสียงฝีเท้าอีกหนึ่งก็เดินเข้ามาเสียก่อน “โอ๊ะ ทำไมถึงมารวมตัวกันในบ้านเต็มไปหมด” “พี่ปก” ฉัตรเกล้าละสายตาจากหนุ่มร่างสูงใหญ่ด้านหลังบิดาตน หันไปมองคนมาใหม่ “หือ ตาฉัตรน้องรัก ไม่เจอเสียนานสวยขึ้นเป็นกองเลย” ปกเกล้า พี่ชายที่ร้อยวันพันปีจะเจอหน้าเสียทีเดินเข้ามาด้วยสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยเท่าไหร่นัก “อย่าพูดจาเหลวไหล” คุณหญิงแก้วตาหันไปดุ คิ้วของเธอขมวดมุ่นไม่พอใจกับคำพูดของปกเกล้า ส่วนเจ้าตัวยักไหล่ ก่อนกวาดสายตามองโดยรอบ “ว่าแต่มีอะไรกันน่ะครับ อย่าบอกนะว่ารอต้อนรับผม” ประโยคแรกเอ่ยถามเสียงเรียบแต่ประโยคหลังเอ่ยยิ้ม ๆ อย่างทะเล้นเจ้าเล่ห์ ท่าทางพราวเสน่ห์ไม่น้อย “พี่ปกมาเหนื่อย ๆ ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าแล้วค่อยลงมาดีกว่านะครับ ตอนนี้คุณพ่อกำลังจะคุยธุระสำคัญ” ฉัตรเกล้าพูดออกไป “หือ ธุระสำคัญกับพวกคนใช้? สำคัญอย่างไรงั้นหรือ” แต่พี่ชายของเขาไม่สนใจทำตาม แถมยังตอบกลับมาพร้อมกลั้วหัวเราะน้อย ๆ มิหนำซ้ำยังเดินเข้าไปกอดคอน้องชาย พร้อมหอมหัวไปทีหนึ่ง “ไปอาบน้ำสิครับ ตัวเหม็นจะแย่แล้ว” ฉัตรเกล้าพยายามเบี่ยงตัวหลบ จมูกได้กลิ่นเหล้าหึ่งจากตัวของปกเกล้า “ทำเป็นรังเกียจพี่ชายนะ ทีกับผู้ชายคนอื่นยังเที่ยวอ้าขา…” “ตาปก!” ปกเกล้าพูดไม่จบประโยค คุณหญิงแก้วตาก็ร้องขึ้นมาเสียก่อน “ผมก็แค่พูดเล่น ไม่เห็นต้องโมโหเลยนะครับคุณแม่” ปกเกล้าที่เมื่อครู่เอ่ยหยอกล้อน้องชายหุบยิ้มทันที เขาหันไปพูดกับมารดาเสียงนิ่ง “อย่ามาพูดจาไม่ดีใส่น้องแบบนี้นะ” คุณหญิงละออกจากอ้อมแขนสามี ไปแทรกกลางระหว่างพี่น้อง ดันปกเกล้าออกไป “ผมไม่เห็นว่าการอ้าขา…จะเป็นเรื่องไม่ดีตรงไหน” คุณชายใหญ่ยอมถอยแต่โดยดี ก็มิวายพูดกวนต่อ “ปกเกล้า” เสียงคุณชนาเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เจ้าของชื่อยักไหล่อีกครั้ง ทว่าดวงตาลุ่มลึก ก่อนจะปรับเป็นสีหน้ายิ้มแย้มหันไปทางบิดา นัยน์ตาสวยสบมองคนเป็นพ่อครู่หนึ่งก็แสยะยิ้มขึ้นมา “…อ้อ เรื่องยัยหนูหลินลูกสาวของเฒ่าแก่ซ่ง เธอดูชอบผมมากเลยล่ะ พ่อของเธอก็เช่นกัน แถมยังฝากข้อความมาบอกคุณพ่อด้วยนะครับ” “…อืม ดี” ผู้เป็นพ่อยืดอก ใบหน้ามีมีความยินดีไม่น้อย มุมปากยกยิ้มพอใจ ก่อนจะหันไปพูดกับทุกคน “ที่เรียกทุกคนมาก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก แค่จะแนะนำคนงานใหม่ให้รู้จัก” พูดจบก็ผายมือไปทางด้านหลัง “…” บรรดาคนงานที่เห็นร่างสูงก่อนหน้าแล้วเพียงแต่ไม่รู้ว่านักโทษคนดังชื่อเสียงกระฉ่อนนี่มายืนอยู่ในบ้านทำไม หากแต่คำพูดของนายใหญ่ของบ้านเรียกแววตาตื่นตะลึงและความตกใจให้ไม่น้อย คนงานที่อายุมากกว่าสามสิบขึ้นไปมีหรือจะไม่รู้ว่าผู้มาใหม่เป็นใคร ต่อให้ไม่รู้หนังสืออย่างไร ก็คงจะพอเคยเห็นรูปโจรชั่วที่ถูกตีพิมพ์ไปทั่วนครอยู่กระมัง แม้กระทั่งตอนนี้ บางแห่งยังมีรูปมันติดอยู่เลยด้วยซ้ำ “นี่ฟ้าคราม จะมาเป็นคนสวนให้กับบ้านเรา” คุณชนาไม่สนสายตากังขาและความกังวลจากบรรดาคนใช้ของตน เขาแนะนำเสือครามเป็นเรื่องเป็นราวให้กับทุกคนได้รู้จัก “ตาฉัตร คุณหญิง ฝากจัดแจงทีนะ พอดีมีเรื่องต้องคุยกับตาปกเสียหน่อย” “คุณคะ” คุณหญิงแก้วตาท่าทางไม่พอใจ แทนที่จะลงโทษและอบรมลูก ทั้งเรื่องใช้เงิน ไม่ทำการทำงาน แล้วยังพูดจาไม่ดีใส่น้องชาย “เอาน่าคุณ อย่างไรตาปกก็ทำเพื่อครอบครัวเราได้” สามีของเธอยกมือขึ้นลูกแขนเล็กแผ่วเบาให้ใจเย็น “นั่นสิครับคุณแม่ อย่างไรผมก็เป็นลูกคนโต ในอนาคตกิจการทั้งหมดต้องเป็นของผมอยู่แล้วใช่ไหมครับคุณพ่อ ถ้าไม่ได้ไปแอบมีลูกกันที่อื่นอีก…” “ปกเกล้า” “…” “ตามพ่อมา” คุณชนาเดินนำไปก่อนจะหันมาเรียกบุตรชายคนโต เป็นการห้ามทัพแม่ลูกและหยุดปกเกล้าที่อาจจะพูดอะไรแปลก ๆ ออกมาอีก “ครับคุณพ่อ” รับคำบิดา ไม่วายยีหัวน้องชายจนผมยุ่งเหยิงจึงค่อยเดินตาม คุณผู้หญิงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ทั้งท่าทีของบุตรชายอย่างปกเกล้าและสามีที่ให้ท้ายจนเคยตัว ไม่รู้ทำไมถึงไม่เคยลงโทษลูกเลยตั้งแต่เรียนจบกลับมา ทั้งที่เคยทำความผิดมหันต์มาแล้วด้วยซ้ำ ฉัตรเกล้าแตะเบา ๆ ที่แขนของมารดา เธอจึงได้หันมาจัดการเรื่องที่สามีทิ้งเอาไว้ “เอาล่ะ ทุกคนรู้นะว่าพ่อครามจะมาทำงานที่บ้านเรา ลุงบุญ ป้าสาย ป้านิด ฉันฝากดูแลพ่อครามหน่อยก็แล้วกัน ให้ไหมกับพลับพลึงไปจัดห้องหับของเรือนบ่าวชายเสีย กฎเกณฑ์มีอะไรบ้างก็สอนเขา” คุณหญิงแก้วตาพูดเสียงชัดเจน “จะเข้าหัวหรือครับคุณผู้หญิง” หากแต่ไม้ รองหัวหน้าคนงานฝ่ายชายเอ่ยท้วงขึ้นมา “หมายความว่าอย่างไรไม้” คุณหญิงขมวดคิ้วเอ่ยถาม “ก็เห็นว่ามันมาจากคุก คนพรรค์นี้ไม่รู้จะเอามาอยู่ให้รกสังคมไปทำไม” ไม้ยังพูดต่อด้วยท่าทีรังเกียจ มันมองเหยียดฟ้าครามตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่ปิดบัง “ไม้” ฉัตรเกล้าที่เห็นท่าทีนั้นเอ่ยปรามเสียงนิ่ง “คุณฉัตรไปอยู่เมืองนอกเสียนานเลยอาจจะไม่รู้ มันน่ะ…” “พอได้แล้ว” คุณหญิงแก้วตาขึ้นเสียงดุ เธอแทบจะยกมือกุมขมับ วันนี้ช่างมีแต่เรื่องเสียจริง ไม่รู้ว่าสามีต้องการจะทำอะไรกันแน่ “ถ้าหากใครไม่พอใจก็ไปแจ้งลาออก ฉันไม่ห้าม” เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอย่างที่ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่นัก แต่ทุกคนก็รู้ได้ว่าคำพูดนี้ช่างเด็ดขาดขนาดไหน หากใครคัดค้านไม่ทำตาม ก็ออกไปเสีย บรรดาคนใช้ทั้งหมดจึงได้ก้มหน้าเงียบแม้ในใจจะต่อต้าน “ตาฉัตร เดี๋ยวแม่ยกน้ำชาเข้าไปให้พ่อก่อน ฝากจัดการหน่อยนะลูก” เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรต่อ คุณหญิงแก้วตาจึงหันไปบอกลูกชายคนเล็ก “ได้ครับ” TBCฉัตรเกล้าตั้งครรภ์เข้าสัปดาห์ที่สิบแล้ว ครรภ์อ่อนเกือบสามเดือนนี้ยังไม่ได้ขยายใหญ่โตให้เห็นด้วยตาเนื้อมากนักด้วยเป็นครรภ์แรกและร่างกายผอมบางเป็นทุนเดิม แต่เพราะฉัตรเกล้าเป็นกรณีพิเศษจึงต้องดูแลอย่างใกล้ชิดมาก ในหนึ่งสัปดาห์ต้องเข้าตรวจร่างกายกับลุงหมอคนที่วินิจฉัยให้คุณชายเล็กตั้งแต่เด็กและเพื่อศึกษาเก็บตัวอย่างเอาไว้ด้วยยังมีน้อยนักในสยามประเทศ ฟ้าครามไม่ได้มีท่าทางตกใจหรือแปลกใจด้วยรู้ก่อนแล้ว ถึงจะไม่แน่ใจว่าทำเมียตัวขาวท้องตอนไหน อาจจะเป็นตอนที่ฉุดน้องไปอยู่บ้านกลางป่า ทั้งวันทั้งคืนสมสู่กันไม่ออกไปไหนกระมัง เชื้อคงจะแรงจนกินยาหม้อก็เอาไม่อยู่หรือไร เลือดที่ออกวันนั้นคงเป็นเลือดล้างหน้าเด็กกระมัง ฉัตรเกล้าที่ตัวเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับฟ้าครามยามนี้ยิ่งราวตัวเล็กขึ้นไปอีก ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะอุ้มท้องลูกของพ่อเสือใหญ่ตั้งเกือบสามเดือนแล้ว นึกไปถึงเหตุการณ์อันตรายก่อนหน้าก็ใจหายแวบ หากเกิดอะไรขึ้นรุนแรงตอนนั้นจนต้องเสียลูกในครรภ์ไป ฉัตรเกล้าคงเสียใจตลอดชีวิต ส่วนที่เคยกังวลว่าฟ้าครามจะไม่ชอบใจหากตนตั้งครรภ์หายเป็นปลิดทิ้งเมื่อคนที่ทำให้ท้องคอยดูแลประคบประหงมไม่ห่างตั้งแต่ก่อนจะรู้ว่าเม
ปกเกล้ายอมกลับมากับฉัตรเกล้าโดยการหิ้วเอาศักดิ์แก้วมาด้วย คิดจะให้มันมาขอขมาแม่ตน ลักไปไม่พอ ยังได้เสียเป็นผัวเมีย ถึงกับเข้าพิธีแต่งงานตามประเพณีบ้านมันอีก คุณหญิงแก้วตารู้ว่าบุตรชายคนโตได้หมอผีเป็นผัว ออกเรือนตามน้องชายไปก็อดจะอึ้งไม่ได้ สุดท้ายไพศาลภิรมย์รักษ์จะไม่มีสะใภ้ให้เชิดชู มันก็น่าอดสูไม่น้อย แก้วตาแม้เป็นผู้ดีเก่าแต่ไม่ได้มีความคิดโบราณคร่ำครึอะไร ด้วยตอนสาว ๆ ก็ไปเรียนถึงเมืองนอก พบเจอรักร่วมเพศมามาก ไม่ได้สนสายตาของใครเลยสักนิด ยิ่งเธอรู้สึกผิดที่เคยทำไม่ดีกับลูกไว้ ไม่ว่าจะทั้งปกเกล้าหรือฉัตรเกล้า เธอก็ยิ่งจะเอาใจ ทดแทนกับเรื่องราวในอดีต กับฉัตรเกล้าที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นชายที่อาจจะท้องได้ก็ทำใจมาตั้งแต่ตอนนั้น หากแต่กับปกเกล้า ผ่านช่วงเวลาที่ลูกคนนี้เกเรมาไม่น้อย อยู่ดี ๆ มีผัวมันก็อดอึ้งไม่ได้ แต่ก็คงดีกว่าถูกจับไปทรมาน คุณหญิงแก้วตายังอยู่ที่บ้านของพี่สาว รั้วบ้านไพศาลภิรมย์รักษ์จึงมีเพียงคุณชายใหญ่และคุณชายเล็กกับคนรักของทั้งสอง แม้คู่ของคุณปกเกล้าจะไม่ค่อยเหมือนคนรักทั่วไปสักเท่าไหร่ก็ตาม สามมื้ออาหารถูกจัดให้สำหรับสี่คนในทุกวัน เวลานั้นทั้งฟ้าครามและศักดิ์แก้ว
หลังฝูงผีร้ายจากไปและน้อมส่งเทพยดาทั้งหมด หันมองรอบกายเห็นบริวารอยู่พร้อมหน้ายกเว้นทมิฬ ร่างสูงจึงได้เรียกให้กลับเข้าที่ ที่ฟ้าครามอัญเชิญเหล่าเทวามาชุมนุมเป็นเพราะต้องการจะปลดปล่อยวิญญาณทั้งหลายให้เดินหน้าเข้าสู่วัฏจักรสงสารที่ควรจะเป็น หาได้อยากทำลายวิญญาณเหล่านั้นจนสิ้น แน่นอนว่าหากไม่ได้คำนึงถึง วิญญาณร้ายเหล่านั้นคงแหลกเป็นจุณคามือฟ้าคราม และที่ชุมนุมเทวดาก็เพราะไม่อาจให้ใครมารบกวนยามเอ่ยคาถาศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นช่วงเวลาที่โดนแทรกแซงได้ง่าย จึงได้ขอให้เหล่านางฟ้านางสวรรค์ลงมาช่วยอำนวยอวยชัย ปกป้องอารักขา พ่อพยัคฆ์มองหาบริวารอีกตน พลางนึกไปถึงประโยคส่งท้ายของนางสวรรค์นางหนึ่ง ใบหน้าจับจิตจับใจยิ้มละไมหากแต่เนื้อความทำเอาฟ้าครามขมวดคิ้ว ‘หวังว่าจะได้เจอกันอีก ตอนนี้ให้รีบไปเถิด’ “ฉัตร” ไม่รอช้ารีบวิ่งกลับไปที่บ้านใหญ่ทันที เหนื่อยแค่ไหนก็ไม่สนใจตัวเองอีกต่อไป “ฉัตร!” มาถึงก็ตะโกนเรียกเมียเสียงดัง “พี่คราม…” ฝ่ายคนตัวขาวที่ยืนหน้าตื่น หลังได้ยินเสียงคนรักก็รีบวิ่งไปหา หมับ! ฟ้าครามคว้าร่างขาวนวลมากอดแนบอก น้องรู้ว่าเป็นตัวจริงก็กอดตอบแน่นแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ใจหายใจคว่ำ
คืนเดือนแรมเหมาะแก่จะทำพิธีไม่น้อย ฟ้าครามกั้นบริเวณหลังบ้านพักคนงานหญิง สั่งห้ามไม่ให้ใครย่างกรายเข้ามาใกล้เด็ดขาด ก่อนหน้ายืมตัวคนงานชายสองสามคนมันช่วยกันขุดเอาศพที่บัดนี้เหลือแต่กระดูกขึ้นมา โครงกระดูกที่ต่อติดกันบ้างไม่ติดบ้างของคนสองคนจึงวางกองอยู่ตรงหน้า พร้อมสำหรับพิธีในคืนนี้ เสียงบทสวดคาถาแปลกประหลาดดังก้องไปทั่วบริเวณ หากใครมาได้ยินคงมีจิตตกกันไปข้าง ฉัตรเกล้าให้พวกคนงานทั้งหมดไปนอนที่เรือนใหญ่ ส่วนตัวเองก็ไม่ยอมเข้านอน ยืนรอฟ้าครามที่หน้าประตูด้วยใจตุ้มต่อม สวดอยู่ไม่นานโครงกระดูกมนุษย์ก็แปรเปลี่ยน เริ่มมีเนื้อเหี่ยวไม่น่ามอง กลายเป็นสภาพที่โดนทำร้ายจนเสียชีวิต สุดท้ายจึงค่อยกลับมาปกติตอนที่อายุขัยสิ้นสุด ทั้งคู่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า พนมมือตามการสวดคาถาของฟ้าคราม โซ่ตรวนที่ถูกคล้องไว้เริ่มรัดตึงแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ยามพ่อพยัคฆ์จะทำลายมันเพื่อปลดปล่อยทั้งคู่ ‘พี่จ้ะ…’ นางหวานที่นั่งคุกเข่าอยู่ทัก ยามฟ้าครามว่าคาถาจนโซ่ตรวนมันตึงแน่น แทบจะดึงเอาวิญญาณของเธอลงกลับหลุม ด้วยรู้ดีอีกว่ามีสิ่งใดที่คอยเฝ้าอยู่ ฟ้าครามเองก็จ้องเขม็งไปยังหลุมที่ว่าตั้งแต่แรกแล้ว ใบบัวเป็นฝ่ายละจาก
คุณหญิงแก้วตาขอพักอยู่กับพี่สาวอีกหน่อยด้วยยังทำใจเรื่องสามีไม่ได้ ปกเกล้าก็หายไปดื้อ ๆ และคาดว่าคงเป็นศักดิ์แก้วที่ลักเอาตัวไปด้วยขัดผลประโยชน์บางอย่างกับชนา คุณหญิงเธอรู้สึกผิดกับลูกชายคนโตจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ต้องใช้ธรรมะปลอบโยนจิตใจ แถมยังขอร้องอ้อนวอนให้ฟ้าครามพาตัวปกเกล้ากลับมาไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหนก็ตาม เห็นท่าทางผู้เป็นมารดาก็ได้แต่สงสารบวกกับสงสัยเพราะฉัตรเกล้าแทบจะไม่รู้อะไรเลย อะไรที่ว่าปกเกล้ารับผิดแทนคุณพ่อ? คือสาเหตุที่คุณหญิงแก้วตาเกลียดลูกชายของเธอ? หันมองคนข้างกาย ฟ้าครามดูรู้เยอะกว่าเขาเสียอีก “พี่ครามครับ” “ไว้พี่จะบอก ตอนนี้ยังไม่กระจ่างเท่าไหร่นัก” คนนี้ก็รู้ทันรู้ใจไปหมดเสียจริง มาถึงบ้านไพศาลภิรมย์รักษ์ก็ตกดึกเสียแล้ว รถจากวังอรุณศักดิ์กลับออกไปทันทีที่ส่งคนถึงหน้าประตูบ้าน ทั่วบริเวณเงียบฉี่ มีเพียงแสงสว่างจากไปโคมประดับริบหรี่ หากแต่ในบ้านดูจะยังครื้นเครงกันอยู่ ฉัตรเกล้าเดินนำเข้าไป ประตูเปิดอ้าต้อนรับการกลับมาของเจ้าของบ้านตัวจริง คนด้านในชะงัก ฉัตรเกล้าเองก็ชะงัก “นี่มันอะไรกันครับ?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ตาสวยหรี่ลงมองภาพตรงหน้าอย่างพิจารณา ก็ภา
ผ่านวันที่ได้ประลองวิชามาเพียงสองราตรี พวกไอ้อินมันล่าถอยไปไม่กล้ามาวุ่นวาย ชาวบ้านก็มีแต่จะสมน้ำหน้าจนต้องไปแอบนอนกระท่อมในป่าในสวน มีคนไม่น้อยมาเสนอให้ฟ้าครามกลับมาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านดังเดิม แต่เขาปฏิเสธ นึกไปถึงฉัตรเกล้า ด้วยอายุเท่านี้ยังมีอนาคตรออยู่ ตัวมันที่คิดจะติดตามน้องไปทุกที่คงไม่เอาพันธะใดมาผูกคอไว้ ส่วนฉัตรเกล้าคิดไม่ตก วันนี้คือวันที่รอบเดือนมาวันแรก แม้มันจะมาไม่นานและไม่มาก แต่การนั่งก้นแฉะทั้งวันโดยไม่ให้ฟ้าครามสงสัยเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ หากจะบอกก็กลัวผัวรังเกียจ มองว่าแปลกประหลาด โดนทิ้งขว้างขึ้นมาจะทำอย่างไร ร่างบางจึงรั้งรออยู่ในห้องไม่ยอมออกไปด้านนอกเสียที “ทำอะไรอยู่หรือ ฉัตร?” ฟ้าครามรอเมียอยู่นานเห็นน้องไม่ออกมาก็ลุกขึ้นไปรอหน้าประตูห้อง กลิ่นสนิมโชยออกมาปะทะจมูก กลิ่นเข้มข้นกว่าทุกทีจนพ่อเสือหน้าหล่อขมวดคิ้ว ร้อนใจคิดว่าเมียเป็นอะไร “ฉัตร เป็นอะไรหรือเปล่า” ถามออกไปอีกครั้ง มือค้างจับที่กลอนประตูเตรียมบิดเข้าไป “มะไม่ครับ พี่ครามหิวหรอ กินก่อนเลยนะ” เสียงนิ่ม ๆ อ่อนโยนรีบบอกกลับมาจนลิ้นพัน ไม่มีท่าทีจะขยับตัวมาเปิดประตู แกร๊ก “อะ พี่คราม” แน่นอนว่าฟ้าคราม





![ผมก็แค่พี่เลี้ยงเด็ก ที่ดันได้พ่อเค้าเป็นสามี [PWP]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

