หัวหน้าหมู่บ้านมองชุยหยุนอย่างชื่นชม รวมทั้งหันไปขอบใจอีกสามคนที่ตามขึ้นไปช่วยตามหาหลิงเฟิ่งด้วย ที่นำข่าวดีลงมาบอก
แต่บุรุษอีกสามคนได้แต่ยิ้มออกมาแห้งๆ พวกเขาต่างก็แอบเก็บกันมาคนละหลายชั่งแล้ว เพียงแค่ไม่ได้พูดออกมาก็เท่านั้น หากคนอื่นขึ้นไปพร้อมพวกเขาก็จะได้กลับลงมาเช่นกัน จะกล่าวโทษกันก็ไม่ได้
ชาวบ้านที่รู้ว่าหญ้าหนอนคือสิ่งใด ต่างก็รีบแยกตัวออกไปช่วยหัวหน้าหมู่บ้านส่งข่าว พวกเขาต่างรู้ดีว่าหากคนอื่นรู้เยอะ หญ้าหนอนที่ควรจะได้มากในตอนแรกก็ต้องถูกแบ่งให้คนที่ไม่ได้ทำอะไรไปด้วย จึงเข้าไปกระซิบบอกข่าวกัน แล้วต่างรีบพากันเดินมาที่เรือนตระกูลซ่ง
“เจ้าพูดจริงรึ อาหยุนที่เจ้าจะบอกที่พบหญ้าหนอนให้พวกข้า” ชาวบ้านเอ่ยถามออกมาอย่างไม่เชื่อ เรื่องดีเช่นนี้จะนำมาบอกผู้อื่นเพื่ออันใด เก็บไว้ร่ำรวยเพียงผู้เดียวไม่ดีกว่ารึ
“ขอรับ ข้าอยากตอบแทนที่พวกท่านทุกคนช่วยตามหาเฟิ่งเออร์ในครั้งนี้ ข้าจะพาพวกท่านไปเก็บและจะสอนว่าต้องเก็บเช่นใด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย แต่ข้าคิดว่า...ควรจะเก็บมารวมกันแล้วนำไปขายครั้งเดียว เงินที่ได้ก็แบ่งจำนวนเท่ากัน เช่นนี้จะได้ไม่เกิดปัญหาว่าใครได้มากได้น้อยขอรับ” ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“หากมีคนใดไปบอกคนที่ไม่ได้มาช่วยออกตามหา ข้าจะแบ่งเงินในส่วนที่พวกเจ้าได้ออกให้คนที่เจ้าพามาแทน” หัวหน้าหมู่บ้านมองเตือนไปที่ทุกคน
“ผู้ใดจะบอกก็บอก แต่ข้าไม่บอก เรื่องอันใดจะให้คนที่ไม่ได้เหนื่อยเดินหาเฟิ่งเออร์ได้เงินไปด้วยเล่า” ชาวบ้านเอ่ยออกมา จากนั้นก็มีเสียงพูดเห็นด้วยขึ้นมาอีกหลายเสียง
“เรื่องนี้จบแล้ว ก่อนฟ้าสว่างพวกเจ้าก็มาพบกันที่ทางขึ้นภูเขาก็แล้วกัน ส่วนเรื่องที่ผู้ใดพาเฟิ่งเออร์ขึ้นเขาไป ข้าจะจัดการหลังจากที่จัดการเรื่องหญ้าหนอนเสร็จแล้ว”
ชุยหยุนเองก็เห็นด้วยกับหัวหน้าหมู่บ้าน ด้วยต้องการให้หวงหลานกับกวงเจินตายใจเสียก่อน ว่าไม่มีผู้ใดรู้เรื่องที่พวกนางพาหลิงเฟิ่งไปทิ้งบนเขา
เมื่อพูดคุยกันจนเข้าใจแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันกลับเรือนไป คงเหลือก็เพียงลุงกู้ ลุงจินและป้าเหลียน ที่ยังคงรั้งอยู่ที่เรือนตระกูลซ่ง
“เข้าไปในเรือนก่อนเถิดขอรับ” ชุยหยุนรู้ว่าพวกเขาจากจะพูดเรื่องใด จึงได้ชวนเข้าไปพูดกันในเรือน
เข้ามาถึงก็เห็นป้าเหลียนกับจูซื่อกำลังพาหลิงเฟิ่งกินข้าวอยู่ ชุยหยุนจึงเรียกให้คนอื่นร่วมวงกินด้วยกันเลย จะได้เอ่ยคุยไปพร้อมกันด้วย
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!!!” ป้าเหลียนกับป้าจินร้องออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นหญ้าหนอนที่สามีและลูกชายของตนหามาได้ กองอยู่ตรงหน้า
“เบาๆ เจ้าจะให้ผู้อื่นมาได้ยินหรือไร” ลุงกู้ร้องตำหนิออกมา
“หากผู้อื่นรู้จะไม่ตำหนิพวกเรารึ” ป้าเหลียนเอ่ยถามออกมาอย่างกังวล
“ไม่มีผู้ใดว่าท่านหรอกป้าเหลียน หากพวกเขาคิดจะส่งคนขึ้นไปตามเฟิ่งเออร์ ก็คงได้ติดมือมาเช่นพวกข้าเหมือนกัน” ชุยหยุนพูดออกมา
“แต่ว่า...เหตุใดเจ้าเก็บได้น้อยนักเล่า” ป้าจินเอ่ยถาม เมื่อเห็นหญ้าหนอนของชุยหยุนมีเพียงหยิบมือเดียว
“เอ่อ...พี่หยุนคงตกใจเรื่องที่ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ จึงมิได้สนใจจะเก็บหญ้าหนอน” สตรีทั้งสองคนหันมามองหลิงเฟิ่งอย่างตกตะลึง เมื่อนางพูดออกมาราวกับว่ามิใช่คนเสียสติ
“สวรรค์!!!” เจ้าหายแล้วจริงรึ เฟิ่งเออร์” จูซื่อไม่สนใจหญ้าหนอนอีกต่อไป นางลุกขึ้นมาสวมกอดหลิงเฟิ่งเอาไว้แน่นด้วยความยินดี
ป้าเหลียน ป้าจิน ต่างก็ยินดีไปกับนางด้วย ยิ่งพอได้ฟังลุงกู้เล่าว่าทั้งหมดเป็นเพราะท่านเทพที่เวทนาหลิงเฟิ่ง จึงให้พรเพื่อให้นางหายดี
“ดีแล้ว ดียิ่ง มีแต่เรื่องดีๆ” จูซื่อร้องไห้ออกมาอย่างยินดี
“แต่เรื่องที่ข้าหายป่วย พวกท่านอย่าเพิ่งบอกผู้อื่นนะเจ้าคะ มิเช่นนั้น ท่านพ่อคงได้มารับข้ากลับไป”
“เหอะ จะมารับได้อย่างไร เจ้าทำเรื่องตัดขาดแล้ว อีกทั้งในสัญญา อาหยุนยังให้หัวหน้าหมู่บ้านระบุไว้ชัดเจน ต่อให้เจ้าร่ำรวยหรือรุ่งเรือง พวกเขาก็มิอาจมาขอให้เจ้ากตัญญูได้แล้ว” ป้าเหลียนตบเข่าเสียงดัง
“เรื่องนี้เอาไว้ก่อน แล้วเจ้าจำได้หรือไม่ว่าผู้ใด มาพาเจ้าไปทิ้งไว้บนภูเขา” เป็นเรื่องที่ยังติดอยู่ในใจของป้าจิน หากนางไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดคงได้อกแตกตาย
“ตอนที่ข้าหายดีแล้ว ก็พบว่ามีปิ่นของผู้ใดไม่รู้อยู่บนผมของข้าสองด้าม ข้าให้พี่หยุนไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าได้ยินที่ชาวบ้านพูด ว่าเป็นของอาหลานกับอาจิน แต่พวกนางต้องการพาเจ้าไปทิ้งเพื่ออันใด หรือว่าเจ้าเคยไปทำอันใดกับนางไว้” อาไฉมองหน้าหลิงเฟิ่งอย่างไม่อยากเชื่อ ว่าหญิงงามในหมู่บ้านจะมารังแกหญิงบ้าเช่นหลิงเฟิ่งเพื่ออันใด
“หึ เรื่องนี้ข้ารู้ นางมาพบอาหยุนก่อนหน้าจะเกิดเรื่องสามสี่วันที่แล้ว พอรู้ว่าอาหยุนหายดี จึงคิดจะให้อาหยุนไปสู่ขอนาง ส่วนเฟิ่งเออร์นางบอกให้อาหยุนพาไปทิ้งบนเขาเสีย ไม่คิดว่านางจะใจกล้าลงมือจัดการเอง” จูซื่อนึกถึงหวงหลานก็มีโทสะไม่น้อย
“เป็นเพียงแม่นางน้อย ยังไม่ออกเรือน ยังโหดเหี้ยมเช่นนี้ หากออกเรือนไปแม่สามีพูดไม่เข้าหู นางไม่หยิบมีดมาแทงเลยรึ” ป้าเหลียนมองอาไฉ เหมือนอยากจะเตือนเขาว่า หากเจ้ากล้าหาเมียเช่นนี้เข้าเรือน ข้าจะตัดลูกตัดแม่กับเจ้า
“รอให้จัดการเรื่องหญ้าหนอนเรียบร้อย ค่อยคิดบัญชีกับพวกนางก็ยังไม่สาย พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางเข้าเมือง เพื่อไปสอบถามราคาหญ้าหนอนเสียก่อน หากร้านยารับซื้อทั้งหมดจะได้ไม่ต้องไปเร่ขายที่เมืองอื่น”
“ดีๆ แล้วเจ้าจะไปกับผู้ใด ข้าฝากไปขายเลยได้หรือไม่” ลุงจินไม่อยากเก็บไว้ที่ตัวแล้ว
“ข้าจะไปกับเฟิ่งเออร์ขอรับ พวกท่านก็นำส่วนของพวกท่านมาให้ข้า แล้วแยกกันให้ชัดเจน ข้าจะได้ไม่จำผิดว่าเป็นของผู้ใด” ด้วยน้ำหนักหญ้าหนอนที่ทั้งสามหามาได้ต่างกันอยู่เล็กน้อย”
“ไม่ต้องแยก ขายรวมไปเลย แล้วค่อยเอาเงินมาแบ่งกัน” ลุงกู้ที่หาได้มากสุดก็ออกความเห็น ตัวเขาใช้ชีวิตเพียงคนเดียว จึงไม่ได้มองว่าจะได้เงินมากหรือน้อย ทุกคนจึงได้พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
เมื่อจบเรื่องแล้ว ทั้งยังกินข้าวอิ่มเรียบร้อย ต่างก็พากันแยกย้ายกลับเรือนไป จูซื่อจะแยกตัวไปพัก ด้วยวันนี้นางเดินทางเข้าเมือง ทั้งยังเสียขวัญเมื่อรู้เรื่องที่หลิงเฟิ่งหายไปอีกจึงจะเข้าไปพักผ่อน แต่ถูกหลิงเฟิ่งนางดึงรั้งเอาไว้
“เอ่อ...ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะบอกท่านเจ้าค่ะ”
“เรื่องใดรึ เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือไม่ พอเห็นสีหน้าของหลิงเฟิ่งไม่สู้ดีจึงได้เอ่ยถามออกมา
“ไม่เจ้าค่ะ ท่านอย่าตกใจนะเจ้าคะ” หลิงเฟิ่งหันไปทางชุยหยุนอย่างขอความช่วยเหลือ
“พูดเถิด ท่านแม่นางไม่เป็นอันใดหรอก แล้วก็ไม่นำเรื่องของเจ้าออกไปพูดด้วย” ชุยหยุนเคารพการตัดสินใจของนาง ในเมื่อนางต้องการจะบอกมารดาของเขา เขาก็ต้องแล้วแต่นาง
เมื่อก่อนตอนเสียสติ นางก็ไม่เคยนึกรังเกียจที่มีหลิงเฟิ่งเป็นลูกสะใภ้ แต่พอนางหายดี ความสามารถของนาง ทั้งสิ่งของที่นางสามารถนำออกมาจากความว่างเปล่าได้ ยิ่งทำให้นางอยากจะขอบคุณสวรรค์วันละสามเวลาหลังอาหาร“หื้ม...แบบร่างของข้าน่าสนใจเพียงนั้นเลยรึเจ้าคะ”นางมิได้ร่างแบบที่แปลกประหลาดแต่อย่างใด นางเพียงแค่เพิ่มระเบียงหลังห้องที่สามารถนั่งอ่านตำรา หรือนั่งพูดคุยกันได้เพิ่มขึ้นมา ทั้งเรื่องห้องน้ำที่แบ่งพื้นที่เปียกกับพื้นที่แห้งชัดเจน จวนใหญ่ก็คงมีเช่นนี้ นางคิดว่าไม่ใช่เรื่องประหลาด“ใช่แล้ว นายช่างกวนไม่เคยเห็นเรือนที่เจ้าร่างมาก่อน ทั้งประตูที่ทำเป็นแบบเลื่อนได้ ข้าก็พูดไม่รู้เรื่อง เจ้าออกไปพูดเองดีกว่า หากอาหยุนจะตำหนิเจ้า ข้าจะจัดการเอง” จูซื่อดึงมือหลิงเฟิ่งออกไปพบนายช่างทันที“ประเดี๋ยวท่านแม่...ท่านลืมไปแล้วรึ ว่าชาวบ้านยังไม่มีผู้ใดรู้เรื่องที่ข้าหายดีแล้ว”“ตายจริง ข้าเกือบลืมไป ข้าจะออกไปพูดใหม่ ว่าอาหยุนเป็นคนร่าง เจ้ากลับเข้าไปอยู่ในห้องเถิด” จูซื่อนึกอยากจะตบปากตัวเองเสียหลายๆ ที นางจำต้องเดินไปพบนายช่างกวนเพื่อบอกให้เขามาพบชุยหยุนอีกครั้งในตอนเย็นชุยหยุนที่เข้าเมืองไปพร้อม
“ท่านแม่ เฟิ่งเออร์ ข้าใคร่ครวญเรื่องนี้ดีแล้ว อีกอย่างข้าไม่ใจบุรุษใจโลเล ที่พบเห็นสตรีอื่นก็จะเปลี่ยนใจได้ง่าย ในเมื่อข้าหายดีก็เป็นเพราะนาง มีเงินมากมายก็เป็นเพราะนาง แล้วจะมีเหตุผลใดที่ข้าจะไม่ต้องการใช้ชีวิตกับนาง”หลิงเฟิ่งยังเม้นปากแน่น นางพอจะเชื่อว่าตระกูลซ่งรักนางจากใจจริง แต่นางยังไม่มั่นใจที่จะใช้ชีวิตเช่นสามีภรรยากับชุยหยุน“ไว้ท่านกลับเข้าไปเรียนอีกครั้ง แล้วสอบผ่านซิ่วไฉได้ หากยังต้องการสร้างครอบครัวกับข้าจริง ข้าจะไม่ปฏิเสธท่านแล้ว แต่หากพบเจอคนที่ท่านต้องการใช้ชีวิตมากกว่าข้า อย่างไรข้าก็ยังเป็นน้องสาวของท่านได้”“เช่นนั้นก็ว่ากันตามนี้ นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เจ้ายังต้องเดินทางเข้าเมืองแต่เช้า เครื่องนอนก็ยังมิได้เปลี่ยน”จูซื่อเอ่ยยุติการสนทนาที่ดูท่าหากพูดกันต่ออย่างไรก็คงไม่จบในคืนนี้ หลิงเฟิ่งจึงได้ลุกขึ้นไปช่วยจูซื่อเปลี่ยนเครื่องนอนในห้องของนาง ก่อนจะกลับไปเปลี่ยนเครื่องนอนที่ห้องของตนเอง“ท่านว่า...ข้าไปนอนห้องท่านแม่ดีหรือไม่”หลิงเฟิ่งมองเตียงที่มีผ้าห่ม หมอน เพิ่มเข้ามาแล้ว หากขึ้นไปนอนสองคนก็ดูจะอึดอัดไม่น้อยเลย“ไม่ต้อง ใช้ผ้าห่มผืนเดียวก็พอ” ชุยหยุนเก็บผ
หากเขาได้รู้ตั้งแต่แรก คงยอมให้มารดาแต่งกับลุงกู้ไปนานแล้ว ตอนที่คิดว่าจะจบชีวิตลง ยังเป็นห่วงมารดาว่านางจะอยู่เพียงผู้เดียว“แม่...แม่” นางจูซื่อทั้งเขินอาย ทั้งไม่รู้จะหาคำใดมาพูดกับลูกชายดี นางจึงได้แต่อ้าปากและหุบปากลง“หากพวกท่านต้องการที่จะใช้ชีวิตด้วยกัน ข้าเองก็ไม่มีสิ่งใดที่จะขัด ข้าขอท่านลุงเพียงเรื่องเดียว...อย่าทำให้ท่านแม่ข้าเสียใจก็พอ” ชุยหยุนเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง“ได้ๆ ข้าไม่มีทางทำให้จูจูนางเสียใจเป็นอันขาด” ลุงกู้พยักหน้าอย่างรวดเร็วหลิงเฟิ่งได้แต่เบิกตากว้าง ถึงขั้นเรียกนามกันอย่างสนิทสนมเช่นนี้ คงดูใจกันมานานมากแล้วแน่ๆ“ข้าบอกพวกเจ้าแล้ว อาหยุนมิใช่คนไม่รู้ความหากพวกเจ้าบอกตั้งนาน ป่านนี้ก็มีลูกน้อยมาวิ่งเล่นแล้ว” ป้าจินเอ่ยเย้าออกมาหลิงเฟิ่งก็พยักหน้าน้อยๆ อย่างเห็นด้วย แม่สามีของนางยังไม่ถึงสี่สิบหนาว หากนางแข็งแรงมากพอเรื่องมีบุตรไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้“พวกข้ากลับก่อนดีกว่า พวกเจ้าก็ค่อยๆ คุยกันไป จะจัดงานมงคลเมื่อใดก็บอกข้าด้วยเล่า” ป้าเหลียนโบกมือลา ก่อนจะลากอาไฉที่มองคนนั้นทีคนนี้ทีกลับไปด้วยกันนางยังได้ยินเสียงอาไฉ ร้องตะโกนให้ป้าเหลียนไปหาสตรีมาแต่งเป็น
ชาวบ้านที่ออกมารอรับ เมื่อเห็นเกวียนวัวมิได้มีชุยหยุนและหลิงเฟิ่งลงมา ต่างก็รีบวิ่งตามเกวียนวัวที่เคลื่อนตัวไปทางเรือนตระกูลซ่งทันทีแม้ชาวบ้านคนอื่นจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะตามไป ชาวบ้านที่วิ่งตามคงฝากเจ้าของเกวียนวัวกับชุยหยุนซื้อของ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านที่ห่างไกลเมือง จนเป็นเรื่องชินตาอยู่แล้วหลิงเฟิ่งนางเอาเงินส่วนของพวกลุงกู้ออกมาใส่ไว้ในตะกร้าแล้ว พอมาถึงเรือนชุยหยุนก็ส่งสายตาบอกบุรุษทั้งสาม ว่าตั๋วเงินอยู่ในตะกร้า ก่อนจะจูงหลิงเฟิ่งที่กลับมาแกล้งบ้า เข้าไปพักเรือนก่อนป้าเหลียนกับป้าจิน ถูกสามีและบุตรชายดันตัวให้เข้าไปช่วยชุยหยุนประคองหลิงเฟิ่งไปส่งในเรือน พวกนางจึงได้รับเข้าไปทำหน้าที่แทนชุยหยุนทันที“เจ้าไปคุยกับชาวบ้านเถิด ข้าจะพาเฟิ่งเออร์ไปพักเอง” ชุยหยุนเข้าใจในคำพูดของป้าเหลียน เขาจึงปล่อยมือหลิงเฟิ่งแล้วเดินไปหาหัวหน้าหมู่บ้านแทน“ห้องเจ้าแคบ ไปห้องข้าดีกว่า” จูซื่อเห็นว่าป้าเหลียนกับป้าจินจะตามหลิงเฟิ่งเข้าไปสอบถามความในห้อง จึงได้ขวางหน้าเอาไว้สตรีทั้งสี่คนอยู่ภายในห้องนอนของจูซื่อ ทั้งยังลงกลอนไว้อย่างแน่นหนาแล้วด้วย“พวกท่านรับปากข้าก่อน ห้ามร้องออกมา
ทั้งสองที่รอให้เสี่ยวเอ้อไปชั่งหญ้าหนอน จึงสอบถามว่าหมอถานยังรับเพิ่มอีกหรือไม่ ตอนนี้ชาวบ้านกำลังเก็บอยู่ พรุ่งนี้คงจะนำมาขายให้อีกรอบได้“หมู่บ้านหู่เซิง มีหญ้าหนอนมากเพียงนี้เลยรึ” เขาเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัยด้วยที่ผ่านมาไม่เคยมีชาวบ้านเก็บมาขายเลย หรือว่าจะไม่รู้จักก็เห็นจะไม่ใช่ ราคาที่สูงของโสม เห็ดหลินจือ หญ้าหนอน ทำให้ชาวบ้านที่ขึ้นเขาได้แต่หวังว่าจะโชคดีพบเจอสักเล็กน้อย“ขอรับ อาจจะเป็นความโชคดี ที่พวกข้าได้บังเอิญไปพบบนภูเขาที่ชาวบ้านไม่ได้เข้าไปหาของป่า”“เป็นเช่นนี้เอง” หมอถานพยักหน้าอย่างเข้าใจครั้งนี้เขาคงไม่ให้หลงจู๊เดินทางไปส่งของที่เมืองหลวงแล้ว คงจะเดินทางไปด้วยตนเองแทนเสี่ยวเอ้อเดินเข้ามาแจ้งเรื่องจำนวนหญ้าหนอนที่ชั่งได้ ของพวกลุงกู้เก้าชั่ง เป็นเงินสองพันเจ็ดร้อยตำลึงทอง ของหลิงเฟิ่งยี่สิบห้าชั่ง เป็นเงินมากถึงหนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยตำลึงทองค่าเงิน1 อิแปะ, เหวิน = 1 เหรียญทองแดง1 ก้วน = 1,000 อิแปะ /เหวิน/เหรียญทองแดง1 ตำลึงเงิน = 1ก้วน (พวง)1 ตำลึงทอง = 10 ตำลึงเงินแม้แต่หลิงเฟิ่งเองก็ตกใจกับน้ำหนักหญ้าหนอนหนึ่งตะกร้า ดูจะมากกว่าที่นางขายผักเมื่อชีวิตที่แล้
เกวียนวัวเริ่มเคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้าน หลิงเฟิ่งที่ทนแรงเขย่าไม่ให้ก็เอนตัวพิงเกวียนเพื่อหลับตาพักผ่อน นางกลัวจะอาเจียนออกมา หากไม่ข่มตาหลับ ชุยหยุนเห็นเช่นนั้นจึงประคองศีรษะของนางให้พิงมาที่ไหล่ของเขาแทน“หึ มิคิดว่าเจ้าจะดูแลนังบ้าดีเช่นนี้” หลี่ซวงอดที่จะถากถางออกมาไม่ได้ ยิ่งมองรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของหลิงเฟิ่งเขาก็ยิ่งไม่ชอบใจนางคงจะอยู่ดีกินดี ถึงได้เริ่มมีน้ำมีนวล อีกทั้งใบหน้าที่เคยซูบผอมไม่ชวนมองก็เริ่มเผยความงามออกมาแล้ว“เจ้าควรจะดีใจ ที่ตระกูลซ่งของข้าดูแลนางดีเช่นนี้ หรือว่า...เจ้ามิใช่พี่ชายของนาง” หากมองดูดีๆ หลิงเฟิ่งก็ไม่ได้มีส่วนใดที่คล้ายกับคนตระกูลหลี่เลย จะบอกว่านางเหมือนมารดาของนางก็คงไม่ใช่ มารดาของหลิงเฟิ่งปากหนา ตาเล็ก จมูกก็มิได้เป็นสันโด่งเช่นนั้นนาง“ผู้ใดอยากจะมีน้องสาวเสียสติเช่นนาง ตอนนี้นางก็ถูกตระกูลหลี่ตัดขาดไปแล้ว ต่อไปเจ้าอย่าได้อ้างถึงคนตระกูลหลี่อีก”นี่คือสิ่งที่ชุยหยุนอยากได้ยินจากปากของหลี่ซวง ในเกวียนมีชาวบ้านในหมู่บ้านอีกนับสิบ สิ่งที่เขาพูดในวันนี้ย่อมมีผลภายหน้าอย่างแน่ตลอดสองชั่วยามที่เดินทางเข้าเมือง ไม่ว่าหลี่ซวงจะพูดสิ่งใดต่อ ชุยหยุนก