อือ! เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางพยักหน้าขึ้นลงพลางอธิบาย
“แต่บันทึกนี้ไม่ได้ระบุในพงศาวดารหลวงเป็นเพียงบันทึกข้อสันนิษฐานของกลุ่มขุนนางที่มองว่าแท้จริงแล้วหลินเหยียนเจิ้งถูกใส่ร้ายจากศัตรูคู่อาฆาต อาศัยเหตุการณ์และความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงของฮ่องเต้หย่งเล่อที่มีต่อขุนนางของอดีตฮ่องเต้เจี้ยนเหวิน เหล่าขุนนางมองว่าหย่งเล่อได้ราชบัลลังก์มาด้วยวิธีการแย่งชิงจากหลานตัวเอง ด้วยเหตุนี้ขุนนางที่ถวายความจงรักภักดีกับอดีตฮ่องเต้เจี้ยนเหวินจึงมีรับสั่งนำมาประหารชีวิตเป็นจำนวนมาก เหล่าขุนนาง ครอบครัว รวมไปถึงเครือญาติลามไปถึงลูกศิษย์ถูกประหารไม่เหลือ ล้มตายนับหมื่นชีวิตเลย”เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางยื่นปากออกมา “ดีนะที่พวกเราเกิดในยุคนี้ขืนได้ไปเกิดยุคนั้นประสาทได้กินตายกันพอดี ขุนนางหรือพวกมีอิทธิพลคหบดีผู้ร่ำรวยผิดปกติที่ร่วมมือกับขุนนางฉ้อฉล จะถูกองครักษ์เสื้อแพรซึ่งได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น มีอำนาจล้นเหลือสามารถไล่ล่า จับกุม กักขัง สืบสวนสอบสวนและทรมานจนถึงลงโทษอย่างโหดเหี้ยมที่ท้ายสุดก็คือความตายที่จะได้รับอย่างทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเลยทีเดียว หน่วยองครักษ์เสื้อแพรทำหน้าที่นอกจากถวายอารักขาองค์จักรพรรดิแล้ว ยังมีหน้าที่คล้ายตำรวจลับว่ากันว่าเป็นหน่วยงานที่โหดเหี้ยมที่สุดเลย เพียงแค่ได้ยินชื่อชาวบ้านก็นึกว่าพญายมมาเยือนหน้าบ้านเลยนะเธอ” “ขนาดนั้นเลยเหรอ”ลี่มี่มี่กล่าวเสียงเบา คำกล่าวของเฉินเสวี่ยม่านทำให้ภาพของเด็กน้อยสองคนที่นั่งกอดกันอยู่ในบ่อน้ำร้างที่แห้งเหือดเต็มไปด้วยพระเพลิงเผาผลาญลุกโชนท่วมกาย เปลวเพลิงแรงกล้าลุกท่วมแผดเผากายจนมอดไหม้ดำเป็นตอตะโกผุดขึ้นมาให้ลี่มี่มี่ให้เห็นอีกครั้ง พรึบ! เปลือกตาปิดลงโดยพลันเพื่อสลัดภาพที่เห็นในความฝันออกไปทันทีก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง “แล้วคนที่ชื่อซือหม่าเยี่ยคัง เขาเป็นใครที่ถูกบันทึกเอาไว้เสี่ยวม่าน”ลี่มี่มี่ถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “ซือหม่าเยี่ยคังนะเหรอ”เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางกลอกตาไปมาเพื่อนึกถึงบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เคยได้อ่าน “ผู้ชายคนนี้ตามบันทึกเขาคือหัวหน้าหน่วยตงฉ่างขององครักษ์เสื้อแพร ในยุคที่ฮ่องเต้หย่งเล่อเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ ตอนเกิดเหตุการณ์กวาดล้างและประหารชีวิตเหล่าขุนนางครั้งใหญ่ ยังเป็นขุนนางขั้น 4 ระดับผู้ช่วยบัญชาการ หลังจากที่ผู้บัญชาการคนเก่าตายก็ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ตามบันทึกบอกว่าเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตมาก คดีทุจริตของพวกขุนนางและกลุ่มคนที่ร่วมมือกันถ้าหากถึงมือคนผู้นี้เมื่อไรละก็จุดจบสุดท้ายนั้นก็คือความตายทุกคน รู้สึกจะได้รับฉายาว่า “มารอำมหิตแห่งวังหลวง”เฉินเสวี่ยม่านอธิบายให้เพื่อนฟังพร้อมเสียงของหวังจิวเซียนดังแทรกขึ้น “แบบนี้อีตานี่ก็สองมือเปื้อนเลือดนะสิฆ่าคนนับหมื่นชีวิต ไม่มีใครโกรธแค้นบ้างเหรอ” “จะเหลือเหรอแต่เธอคิดว่าใครจะกล้าท้าทายอำนาจขององครักษ์เสื้อแพร หน่วยนี้ถูกฝึกมาให้ไร้สิ้นความเมตตาสงสารผู้ใดทั้งสิ้น เลือดเย็นเป็นที่สุดแต่หัวใจหนักแน่น มั่นคงดั่งหินผาที่สุดเหมือนกัน เมื่อได้ถวายคำสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าองค์จักรพรรดิแล้ว จะจงรักภักดีเพียงแค่ฮ่องเต้เท่านั้น ใครก็ไม่สามารถออกคำสั่งและมีอำนาจเหนือกว่าหน่วยองครักษ์เสื้อแพรนี้ไปได้เลยนะเพราะได้รับอำนาจจากฮ่องเต้โดยตรง”เฉินเสวี่ยม่านอธิบายกลับไป “โหดแบบนี้คงไม่มีผู้หญิงบ้าที่ไหนอยากจะมาเป็นเมียแน่ ถ้าวันไหนเกิดพี่แกไม่พอใจขึ้นมาคงจะลากไปขังและทรมานจนตาย เวลาตายก็คงไม่มีใครรู้ก็เล่นใหญ่โตคับบ้านเมืองเสียขนาดนั้นใช่ไหมเสี่ยวม่าน จุดจบไอ้หมอนี่ก็คือต้องแก่ตายไร้ลูกเมียสืบทอดตระกูล ตอนตายก็โดดเดี่ยวไม่มีใครเหลียวแล ใช่หรือเปล่า”หวังจิวซียนถามเพื่อนรักกลับไป “ไม่รู้สิ”เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางส่ายหน้าไปมาพร้อมเอ่ยขึ้น “บันทึกประวัติศาสตร์นะยะเธอ ไม่ใช่บันทึกชีวิตประจำวันจะได้ล้วงลึกรายละเอียดของใครได้ พวกเราในยุคนี้ไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์จริงๆ ของผู้คนในอดีตแท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ อาจจะไม่ใช่ตามบันทึกก็ได้ หรือเหตุการณ์จริงอาจจะเลวร้ายกว่านี้ก็อาจเป็นได้ หรืออาจจะมีการปรับแต่งเขียนให้ออกมาดูดีตรงกันข้ามกับเหตุการณ์จริงพวกเราก็ไม่รู้หรอก แต่ก็ดีแล้วละที่พวกเราเกิดมาในยุคที่ผู้หญิงมีอิสระมากกว่ายุคอดีต พวกเธอก็รู้ว่ารากเหง้าของประเทศเรานับถือผู้ชายเป็นใหญ่ตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว” ลี่มี่มี่นั่งนิ่งเงียบฟังเพื่อนสนิทของเธอถกเถียงกันไปมาอยู่ตรงหน้าเช่นนั้น โดยไม่ปริปากถามอะไรทั้งสิ้นจนสองสาวเพื่อนซี้ต่างพากันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนจนอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “ว่าแต่มี่มี่เธอจะอยากรู้ไปทำไม ในเมื่อรู้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้เลยเพราะเป็นเหตุการณ์ของผู้คนในยุคอดีตที่ผ่านมานานหกร้อยกว่าปีแล้วนะ จะว่าไปมันก็แค่ความฝันเท่านั้นมีอะไรบ่งบอกได้เหรอว่าคนในฝันเป็นตัวเธอมันยืนยันอะไรไม่ได้เลยนะมี่มี่”เฉินเสวี่ยม่านบอกเพื่อนรักกลับไป “แต่ความรู้สึกของฉันบอกว่าฝันนี้คือความทุกข์ทรมานที่ได้รับก่อนตาย ตระกูลหลินถูกประหารเก้าชั่วโคตรเพียงแค่จงรักภักดีต่ออดีตฮ่องเต้ และถ้าตายเพราะถูกใส่ร้ายมันยุติธรรมแล้วเหรอสำหรับพวกเขาเสี่ยวม่าน”ลี่มี่มี่ย้อนถามกลับไป “โอ้ยตาย! ไปกันใหญ่แล้วมี่มี่”เสียงสองสาวต่างพูดออกมาพร้อมกัน โดยเฉพาะเฉินเสวี่ยม่านถึงกับยกมือกุมขมับทั้งสองข้าง “เธอต้องแยกแยะออกให้ได้นะมี่มี่ว่าตัวเองเกิดในยุคไหน ตอนนี้เธอคือคนที่เกิดในศตวรรษที่ 21 แต่เรื่องราวพวกนั้นเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 14 มันไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเธอ เรื่องภพชาติหน้าหรือชาติอดีตคือความเชื่อ ชาติหน้ามีจริงหรือเปล่าก็ไม่มีใครรู้ แม้แต่วิทยาศาสตร์เองยังพิสูจน์ไม่ได้หรอกนะเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้”เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางตรงเข้าจับสองแขนเรียวของเพื่อนรัก “แม่นางเอกงิ้วชื่อดังที่รัก ยูทูบเบอร์ชื่อก้องและเจ้าของช่องบิวตี้บล็อกเกอร์ที่มีคนติดตามหลายล้านคนมีเอฟซีที่ชื่นชมไปทั่วโลกอย่างเธออย่ากลายเป็นคนงมงายอะไรแบบนี้ได้ไหม ตื่นจากความฝันเสียทีมี่มี่!!! ตื่นได้แล้ว!!!” เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางเขย่าร่างของเพื่อนรักไปมาอย่างแรงเพื่อให้รู้สึกตัว จนหวังจิวเซียนต้องรีบเข้ามาห้ามปราม “เฮ้ย! เฮ้ย! เสี่ยวม่านพอได้แล้วเธอ ให้เวลามี่มี่มันหน่อยสิ เรื่องแบบนี้ก็ต้องใช้เวลาหน่อย ก็แม่คุณเล่นฝันเห็นเสียตั้งหลายครั้งขนาดนั้น มันย่อมติดความในความรู้สึกและความทรงจำกันบ้างไม่มากก็น้อยบ้างแหละ เอาแบบนี้ดีไหมพรุ่งนี้พวกเราพามี่มี่ไปเที่ยวพักผ่อนว่างกันหมดไม่ใช่เหรอ ดีไหมเสี่ยวม่าน มี่มี่”หวังจิวเซียนถามเพื่อนรักทั้งสอง อือ! สองสาวต่างส่งเสียงในลำคอออกมาพร้อมกันเป็นการยอมรับที่หวังจิวเซียนบอกท่ามกลางความดีใจของคนต้นคิด “ดีมากเลยจ๊ะ นานๆ แก๊งนางร้ายของพวกเราจะได้รวมตัวเดินนวยนาดเฉิดฉายให้พวกหนุ่มๆ พากันน้ำลายหกเล่นกันเสียบ้าง ฉันก็มัวแต่ยุ่งเรื่องเรียนและช่วยคุณพ่อทำงานที่บริษัท เสี่ยวม่านก็ยุ่งขุดแต่ดินเพราะเริ่มออกฝึกภาคสนาม มี่มี่ก็ยุ่งขึ้นเวทีแสดงงิ้วที่โรงละครกับอยู่แต่หน้าจอโทรศัพท์อัดคลิปลงโซเชียลหาแต่เงินก็หัดใช้เงินบ้างนะจ๊ะที่รัก ไปๆ แยกย้ายกันไปนอนต่อเถอะเพิ่งจะตีหนึ่งอีกนานกว่าจะเช้า”หวังจิวเซียนพูดพลางใช้มือตบไหล่เพื่อนรักทั้งสองของเธอพลางฉุดร่างเฉินเสวี่ยม่านให้ลุกขึ้นจากที่นอนของมี่มี่ “นอนเถอะมี่มี่อย่าไปคิดอะไรมากมันก็แค่ความฝันเท่านั้น”เฉินเสวี่ยม่านบอกเพื่อนด้วยความเป็นห่วง คำกล่าวของเพื่อนเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้ลี่มี่มี่เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิททั้งสองพร้อมส่งยิ้มให้ “ขอบใจมากนะเสี่ยวม่าน เสี่ยวเซียนที่เป็นห่วง ฉันไม่เป็นอะไรแล้วมันก็แค่ฝันเท่านั้นเป็นจริงอย่างที่พวกเธอพูด”มี่มี่บอกเพื่อนกลับไปท่ามกลางรอยยิ้มของเพื่อนสาวทั้งสอง “คิดได้แบบนี้ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย พวกเราไม่กวนแล้วรีบนอนเถอะ พรุ่งนี้จะได้ไปเที่ยวกัน”หวังจิวเซียนพูดพร้อมเดินตรงเข้าโอบไหล่เฉินเสวี่ยม่านพากันก้าวออกไปจากห้องนอน พร้อมกับบานประตูค่อยๆ ปิดตัวลงท่ามกลางสายตาของลี่มี่มี่ “จริงสิ! ก็แค่ความฝันเท่านั้นจะเป็นความจริงไปได้อย่างไงไม่มีทางเป็นไปได้หรอก จะบอกว่าเป็นเรื่องราวในอดีตแต่เป็นเรื่องของใครละ จะใช่ของเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรสามารถยืนยันได้”ลี่มี่มี่พูดพึมพำพลางล้มตัวลงนอนตามเดิม ใบหน้าสวยคมเฉี่ยวหันหน้าไปทางหน้าต่างที่เห็นดวงดาวบนท้องฟ้าในเวลารัตติกาลอันเงียบงัน แสงไฟหลากสีมากมายยังคงปรากฏให้เห็นตามตึกสูงระฟ้าในมหานครปักกิ่ง “ฉันคือลี่มี่มี่ไม่ใช่หลินลี่ชาคนนั้น มันคือความฝันไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด ใช่แล้วมันไม่ใช่ความจริงและก็ไม่ใช่ตัวฉัน”หญิงสาวพึมพำแต่ประโยคดังกล่าวอยู่เช่นนั้นกลับไปกลับมาจวบจนกระทั่งผล็อยหลับไปในที่สุด ท่ามกลางความเงียบงันในยามราตรีที่แผ่ปกคลุมเข้ามาโดยรอบอยู่ในเวลานั้น คอนโดสูงระฟ้าซึ่งมีทั้งหมด 59 ชั้นบังเกิดสายลมพาดผ่านพร้อมพัดพาบางอย่างกำลังลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนของลี่มี่มี่ ฟิ้วววว!!!! ดอกอวี้หลันสีม่วงเบ่งบานปลิวมาตามสายลม กำลังมุ่งตรงเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนของลี่มี่มี่ที่เปิดค้างเพื่อรับสายลมเข้ามาภายในห้อง ดอกไม้สีม่วงส่งกลิ่นหอมรัญจวนเคลื่อนไหวมาตามกระแสลมแรง ตุบ! ดอกอวี้หลันเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นร่วงหล่นตกลงบนร่างของลี่มี่มี่อย่างแผ่วเบาพร้อมกลิ่นหอมโรยรื่นเริ่มแผ่เข้ามาปกคลุมโดยรอบตลบอบอวลไปทั่วห้องราวกับว่าภายในห้องนอนนั้นมีดอกไม้สีม่วงนับหมื่นดอกเลยทีเดียวและถ้อยคำดังกล่าวทำให้ลี่มี่มี่ขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น “นอกจากตู้เหมิ่งห้าวแล้วพรรคพวกของมันยังมีเหล่าขุนนางผู้ใดบ้างเจ้าคะที่ร่วมมือด้วย”หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “ซือหม่าฉีและเว่ยชุน รวมไปถึงซือกงกง ขันทีที่ทำตนเป็นนกสองหัว หมาสองรางผู้ใดให้ประโยชน์สูงสุดก็จะอยู่กับคนผู้นั้นไม่เข้าใจเลยว่าเพราะเหตุใดฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจึงไว้วางพระทัยให้คอยรับใช้อย่างใกล้ชิด”ลี่มี่มี่นั่งเอามือเท้าคางพร้อมใช้มือจับปลายคางตัวเองพลางครุ่นคิดตาม “แล้วซือหม่าเยี่ยคังไม่ได้ร่วมมือด้วยอย่างนั้นเหรอเจ้าคะท่านน้า ในเมื่อซือหม่าฉีเป็นพวกเดียวกับตู้เหมิ่งห้าว”หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้อะไรบางอย่าง “ตงฉ่างโหวไม่ยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจของขุนนางคนใด เพราะเป็นคนมีอุดมการณ์และหนักแน่น ถวายความจงรักภักดีและรับคำสั่งจากฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นนอกนั้นอย่าหวังว่าจะชี้นิ้วสั่งได้ และเพราะท่านโหวเป็นแบบนี้ไงตู้เหมิ่งห้าวจึงพยายามที่จะยัดเยียดตู้หรูอี้ให้มาเป็นฮูหยิน พยายามที่จะเข้าครอบงำอำนาจหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพรซึ่งมีสิทธิขาดในการไล่ล่า ไต
“นะ..นี่เจ้าคือ...ก็คือคุณหนูสิบหกหลินลี่ชาจริงๆ อย่างนั้นหรอกเหรอ แต่ว่าตระกูลหลินไม่มีผู้ใดรอดชีวิตเลยนะ ผู้คนภายในจวนทั้ง 228 ชีวิตถูกประหารจนหมดสิ้น และคุณหนูสิบหกก็ถูกไฟคลอกตายพร้อมคุณหนูสิบเจ็ดภายในบ่อน้ำ”ฉู่ฉิงเยี่ยนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เด็กสาวตรงหน้าบอกกับนาง “ก็เหมือนที่ท่านเป็นภรรยาลับที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เช่นกัน จึงทำให้รอดชีวิตมาได้ ส่วนข้านั้นที่ผู้คนบอกว่าถูกไฟคลอกตาย สภาพศพจะต้องไหม้เกรียมดำเป็นตอตะโกจนไม่เหลือร่องรอยของข้าอยู่เลยใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นแน่ใจได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วข้านั้นตายจริง” ลี่มี่มี่ตั้งใจให้ตัวของเธอที่กลับชาติมาเกิดใหม่ในยุคอนาคตเข้ามาแทนที่ตัวเองในภพชาติอดีต จึงต้องสร้างสถานการณ์เท็จขึ้น “เป็นจริงหรือนี่! ที่คุณหนูสิบหกยังไม่ตายเหลือเชื่อเสียจริงเหลือเชื่อจริงๆ ”ฉู่ฉิงเยี่ยนกล่าวออกมาอยู่เช่นนั้นก่อนจะเอ่ยถามกลับไป “แล้วนี่เจ้ารอดตายมาได้อย่างไรกัน”เจ้าหอเลี่ยงเฟิ่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “ปาฏิหาริย์จากสวรรค์เบื้องบน ซึ่งมันยากที่จะอธิบายให้ผู้ใดเข้าใจได้ แต่ท่านน้าจงเชื่อเถอะว่าข้าคือหล
ยามโหย่วณ.หอเลี่ยงเฟิ่ง ร่างสูงระหงเดินไปตามทางที่ทอดยาวมุ่งหน้าไปยังห้องพักของตัวเอง หอเลี่ยงเฟิ่งในเวลานี้มีแต่ความเงียบงันด้วยเป็นช่วงเวลาหยุดพักผ่อนเป็นเวลา 15 วัน เพื่อให้บรรดาคณะงิ้วได้กลับบ้านไปพักผ่อนกับครอบครัว บางคนที่บ้านเกิดอยู่ไกลและต้องเสียเวลาเดินทางทั้งไปและกลับซึ่งใช้เวลานานก็จะไม่ไปไหน ต่างพากันใช้เวลาว่างไปทำประโยชน์อย่างอื่นที่นอกเหนือจากการนอนหลับเอาแรงจนเต็มที่แล้ว ด้วยเหตุนี้ตามห้องพักของแต่ละคน บางห้องก็มืดมิดเพราะกลับบ้านและบางห้องก็มีแสงสว่างจากโคมไฟซึ่งปรากฏให้เห็นเพียงไม่กี่ห้องอยู่ในขณะนี้รวมไปถึงห้องพักของลี่มี่มี่ด้วยเช่นกันที่ภายในห้องปรากฏแสงสว่างจากโคมไฟกำลังลุกโชนอยู่ในขณะนั้น ลี่มี่มี่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องพักของตัวเองที่เห็นแสงสว่างปรากฏขึ้นอยู่ภายในห้องด้วยความแปลกใจ ดวงตากลมโตคู่งามมองลอดผ่านหน้าต่างที่เปิดแง้มเอาไว้เพียงน้อยนิดและพบว่า ภายในห้องนั้นมีร่างของฉู่ฉิงเยี่ยนกำลังนั่งหันหลังมาทางประตูอยู่ในขณะนั้นอยู่เพียงลำพัง “ท่านน้ารออยู่ในห้องเสียด้วย
“อดีตฮ่องเต้ทรงมีเงินในท้องพระคลังหลวงมากมายถึงเพียงนี้เลยเหรอ ถ้าเช่นนั้นจะต้องมีคนบางกลุ่มต้องการเงินมหาศาลก้อนนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ หากข้าเดาไม่ผิด”ลี่มี่มี่เอ่ยขึ้นตามความคาดเดา แต่แล้วกลับต้องขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีเพราะโรงแลกเงินจินหมิงตามที่เธอล่วงรู้มาผู้ที่เป็นเจ้าของไม่ใช่ราชสำนักของอดีตฮ่องเต้เจี้ยนเหวิน “ท่านน้ามีบางอย่างที่ข้าสงสัยเกี่ยวกับโรงแลกเงินจินหมิง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้าล่วงรู้มาเป็นเรื่องจริงหรือว่ามีการบันทึกบิดเบือนไปจากความเป็นจริงที่ถูกต้อง”ลี่มี่มี่เอ่ยถามกลับไป “เจ้าสงสัยสิ่งใดถามมาได้เลย หากข้าล่วงรู้ก็จะตอบเจ้าตามความเป็นจริง”เจ้าพอเลี่ยงเฟิ่งตอบกลับไป ลี่มี่มี่พยักหน้าขึ้นลงครั้นได้ยินเช่นนั้นพร้อมเอ่ยขึ้น “ที่ข้าล่วงรู้มาก็คือเจ้าของโรงแลกเงินจินหมิงคือตระกูลเว่ย แต่ในความเป็นจริงแล้วก็คือตู้เหมิ่งห้าว หัวหน้าสภาขุนนางในราชสำนักของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไม่ใช่เหรอท่านน้า คำถามของลี่มี่มี่ทำให้ฉู่ฉิงเยี่ยนมองหน้านางเขม็งเพราะความจริงของเรื่องนี้เกี่ยวกับโรงแลกเงินจินหมิงมีเพียงเกาจิ้งหยวนและหลินเ
มือของตัวเองเข้าหากันจนแน่น เพื่อไม่ให้บ่าวไพร่ต่างพากันมองนางว่าเป็นสตรีที่เต็มไปด้วยความร้ายกาจ รวมไปถึงบ่าวจากจวนตงฉ่างที่กำลังยืนตัวลีบตัวงอด้วยความตกใจและเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอยู่ในขณะนั้น “พูดต่อไป! ข้าบอกให้เจ้าหยุดตั้งแต่เมื่อไรกันเชียว”ตู้หรูอี้พยายามปรับเสียงของนางให้กลับมาเป็นปกติดั่งเดิม “จะ..จะ..เจ้าค่ะ!”บ่าวคนดังกล่าวรับคำเสียงเบาก่อนจะรีบรายงานเหตุการณ์ตามที่นางได้เห็นเต็มสองตา “ท่านโหวไม่มีท่าทีขับไล่นางให้ห่างออกจากกายเลยเจ้าค่ะ มิหนำซ้ำยังให้นางสัมผัสชนิดที่ว่าถึงเนื้อถึงตัวได้เช่นกัน สองมือของนางเฝ้าคอยประคองใบหน้าของท่านโหวอยู่บ่อยครั้งด้วยเจ้าคะ” ตู้หรูอี้ถึงกับสูดลมหายใจเขาปอดด้วยความโกรธและริษยาสตรีที่กำลังกล่าวถึงอย่างยิ่งยวด ในขณะที่ตัวนางเองนั้นจะเข้าใกล้ท่านโหวหนุ่มในรัศมีสิบฉื่อยังไม่สามารถทำได้แม้แต่น้อย ด้วยเพราะตงฉ่างโหวจะทำตัวไม่เคยว่างทุกครั้ง เวลาที่นางไปเยี่ยมฮูหยินฮัวที่จวนผิงอันกั๋วกง ก่อนจะเอ่ยถามกลับไปในสิ่งที่นางต้องการล่วงรู้ “เจ้าล่วงรู้หรือไม่ว่าหญิงผู้นั้นเป็นใครมาจากไหน บุตรีขอ
จวนสกุลตู้ เรือนส่วนตัวของคุณหนูคนงามตู้หรูอี้ ถูกสร้างขึ้นอย่างหรูหราเต็มไปด้วยความประณีตและงดงามวิจิตรยิ่งนัก เทียบเท่ากับตำหนักในพระราชวังหลวงก็ว่าได้ ทุกอย่างต้องดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นเครื่องเรือน อาภรณ์ที่สวมใส่และเครื่องประดับอันมีค่า ตู้เหมิ่งห้าวเลือกเฟ้นมาประเคนให้แก่บุตรสาวคนโปรดชนิดที่ว่านางอยากได้อะไรไม่มีคำว่าไม่ได้แต่อย่างใดในชีวิตของนาง “เจ้าว่าอะไรนะ!”เสียงแหลมสูงของคุณหนูคนสวยดังแทรกขึ้นมาทันที ภายในเรือนนอนส่วนตัว เมื่อบ่าวที่นางใช้เงินซื้อข่าวเพื่อให้รายงานความเคลื่อนไหวทุกอย่างของตงฉ่างโหว หลังจากที่ได้รับพระราชทานจวนพำนักมาจากองค์จักรพรรดิแยกมาอยู่ต่างหาก จากจวนของสกุลซือหม่าหรือที่รู้จักกันดีนั่นก็คือคือจวนผิงอันกั๋วกง ซึ่งเป็นลุงแท้ๆ ของตงฉ่างโหวหรือซือหม่าเยี่ยคังนั่นเอง ซึ่งเดิมทีมีคนของตู้หรูอี้คอยส่งข่าวภายในจวนดังกล่าวมาให้นางล่วงรู้อยู่ทุกวี่วันเป็นประจำ ไม่ว่าจะทำอะไร ที่ไหน อย่างไรตลอดจนถึงเรื่องของฮูหยินฮัว ท่านแม่ของตงฉ่า