Masukอือ! เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางพยักหน้าขึ้นลงพลางอธิบาย
“แต่บันทึกนี้ไม่ได้ระบุในพงศาวดารหลวงเป็นเพียงบันทึกข้อสันนิษฐานของกลุ่มขุนนางที่มองว่าแท้จริงแล้วหลินเหยียนเจิ้งถูกใส่ร้ายจากศัตรูคู่อาฆาต อาศัยเหตุการณ์และความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงของฮ่องเต้หย่งเล่อที่มีต่อขุนนางของอดีตฮ่องเต้เจี้ยนเหวิน เหล่าขุนนางมองว่าหย่งเล่อได้ราชบัลลังก์มาด้วยวิธีการแย่งชิงจากหลานตัวเอง ด้วยเหตุนี้ขุนนางที่ถวายความจงรักภักดีกับอดีตฮ่องเต้เจี้ยนเหวินจึงมีรับสั่งนำมาประหารชีวิตเป็นจำนวนมาก เหล่าขุนนาง ครอบครัว รวมไปถึงเครือญาติลามไปถึงลูกศิษย์ถูกประหารไม่เหลือ ล้มตายนับหมื่นชีวิตเลย”เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางยื่นปากออกมา “ดีนะที่พวกเราเกิดในยุคนี้ขืนได้ไปเกิดยุคนั้นประสาทได้กินตายกันพอดี ขุนนางหรือพวกมีอิทธิพลคหบดีผู้ร่ำรวยผิดปกติที่ร่วมมือกับขุนนางฉ้อฉล จะถูกองครักษ์เสื้อแพรซึ่งได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น มีอำนาจล้นเหลือสามารถไล่ล่า จับกุม กักขัง สืบสวนสอบสวนและทรมานจนถึงลงโทษอย่างโหดเหี้ยมที่ท้ายสุดก็คือความตายที่จะได้รับอย่างทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเลยทีเดียว หน่วยองครักษ์เสื้อแพรทำหน้าที่นอกจากถวายอารักขาองค์จักรพรรดิแล้ว ยังมีหน้าที่คล้ายตำรวจลับว่ากันว่าเป็นหน่วยงานที่โหดเหี้ยมที่สุดเลย เพียงแค่ได้ยินชื่อชาวบ้านก็นึกว่าพญายมมาเยือนหน้าบ้านเลยนะเธอ” “ขนาดนั้นเลยเหรอ”ลี่มี่มี่กล่าวเสียงเบา คำกล่าวของเฉินเสวี่ยม่านทำให้ภาพของเด็กน้อยสองคนที่นั่งกอดกันอยู่ในบ่อน้ำร้างที่แห้งเหือดเต็มไปด้วยพระเพลิงเผาผลาญลุกโชนท่วมกาย เปลวเพลิงแรงกล้าลุกท่วมแผดเผากายจนมอดไหม้ดำเป็นตอตะโกผุดขึ้นมาให้ลี่มี่มี่ให้เห็นอีกครั้ง พรึบ! เปลือกตาปิดลงโดยพลันเพื่อสลัดภาพที่เห็นในความฝันออกไปทันทีก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง “แล้วคนที่ชื่อซือหม่าเยี่ยคัง เขาเป็นใครที่ถูกบันทึกเอาไว้เสี่ยวม่าน”ลี่มี่มี่ถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “ซือหม่าเยี่ยคังนะเหรอ”เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางกลอกตาไปมาเพื่อนึกถึงบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เคยได้อ่าน “ผู้ชายคนนี้ตามบันทึกเขาคือหัวหน้าหน่วยตงฉ่างขององครักษ์เสื้อแพร ในยุคที่ฮ่องเต้หย่งเล่อเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ ตอนเกิดเหตุการณ์กวาดล้างและประหารชีวิตเหล่าขุนนางครั้งใหญ่ ยังเป็นขุนนางขั้น 4 ระดับผู้ช่วยบัญชาการ หลังจากที่ผู้บัญชาการคนเก่าตายก็ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ตามบันทึกบอกว่าเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตมาก คดีทุจริตของพวกขุนนางและกลุ่มคนที่ร่วมมือกันถ้าหากถึงมือคนผู้นี้เมื่อไรละก็จุดจบสุดท้ายนั้นก็คือความตายทุกคน รู้สึกจะได้รับฉายาว่า “มารอำมหิตแห่งวังหลวง”เฉินเสวี่ยม่านอธิบายให้เพื่อนฟังพร้อมเสียงของหวังจิวเซียนดังแทรกขึ้น “แบบนี้อีตานี่ก็สองมือเปื้อนเลือดนะสิฆ่าคนนับหมื่นชีวิต ไม่มีใครโกรธแค้นบ้างเหรอ” “จะเหลือเหรอแต่เธอคิดว่าใครจะกล้าท้าทายอำนาจขององครักษ์เสื้อแพร หน่วยนี้ถูกฝึกมาให้ไร้สิ้นความเมตตาสงสารผู้ใดทั้งสิ้น เลือดเย็นเป็นที่สุดแต่หัวใจหนักแน่น มั่นคงดั่งหินผาที่สุดเหมือนกัน เมื่อได้ถวายคำสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าองค์จักรพรรดิแล้ว จะจงรักภักดีเพียงแค่ฮ่องเต้เท่านั้น ใครก็ไม่สามารถออกคำสั่งและมีอำนาจเหนือกว่าหน่วยองครักษ์เสื้อแพรนี้ไปได้เลยนะเพราะได้รับอำนาจจากฮ่องเต้โดยตรง”เฉินเสวี่ยม่านอธิบายกลับไป “โหดแบบนี้คงไม่มีผู้หญิงบ้าที่ไหนอยากจะมาเป็นเมียแน่ ถ้าวันไหนเกิดพี่แกไม่พอใจขึ้นมาคงจะลากไปขังและทรมานจนตาย เวลาตายก็คงไม่มีใครรู้ก็เล่นใหญ่โตคับบ้านเมืองเสียขนาดนั้นใช่ไหมเสี่ยวม่าน จุดจบไอ้หมอนี่ก็คือต้องแก่ตายไร้ลูกเมียสืบทอดตระกูล ตอนตายก็โดดเดี่ยวไม่มีใครเหลียวแล ใช่หรือเปล่า”หวังจิวซียนถามเพื่อนรักกลับไป “ไม่รู้สิ”เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางส่ายหน้าไปมาพร้อมเอ่ยขึ้น “บันทึกประวัติศาสตร์นะยะเธอ ไม่ใช่บันทึกชีวิตประจำวันจะได้ล้วงลึกรายละเอียดของใครได้ พวกเราในยุคนี้ไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์จริงๆ ของผู้คนในอดีตแท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ อาจจะไม่ใช่ตามบันทึกก็ได้ หรือเหตุการณ์จริงอาจจะเลวร้ายกว่านี้ก็อาจเป็นได้ หรืออาจจะมีการปรับแต่งเขียนให้ออกมาดูดีตรงกันข้ามกับเหตุการณ์จริงพวกเราก็ไม่รู้หรอก แต่ก็ดีแล้วละที่พวกเราเกิดมาในยุคที่ผู้หญิงมีอิสระมากกว่ายุคอดีต พวกเธอก็รู้ว่ารากเหง้าของประเทศเรานับถือผู้ชายเป็นใหญ่ตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว” ลี่มี่มี่นั่งนิ่งเงียบฟังเพื่อนสนิทของเธอถกเถียงกันไปมาอยู่ตรงหน้าเช่นนั้น โดยไม่ปริปากถามอะไรทั้งสิ้นจนสองสาวเพื่อนซี้ต่างพากันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนจนอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “ว่าแต่มี่มี่เธอจะอยากรู้ไปทำไม ในเมื่อรู้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้เลยเพราะเป็นเหตุการณ์ของผู้คนในยุคอดีตที่ผ่านมานานหกร้อยกว่าปีแล้วนะ จะว่าไปมันก็แค่ความฝันเท่านั้นมีอะไรบ่งบอกได้เหรอว่าคนในฝันเป็นตัวเธอมันยืนยันอะไรไม่ได้เลยนะมี่มี่”เฉินเสวี่ยม่านบอกเพื่อนรักกลับไป “แต่ความรู้สึกของฉันบอกว่าฝันนี้คือความทุกข์ทรมานที่ได้รับก่อนตาย ตระกูลหลินถูกประหารเก้าชั่วโคตรเพียงแค่จงรักภักดีต่ออดีตฮ่องเต้ และถ้าตายเพราะถูกใส่ร้ายมันยุติธรรมแล้วเหรอสำหรับพวกเขาเสี่ยวม่าน”ลี่มี่มี่ย้อนถามกลับไป “โอ้ยตาย! ไปกันใหญ่แล้วมี่มี่”เสียงสองสาวต่างพูดออกมาพร้อมกัน โดยเฉพาะเฉินเสวี่ยม่านถึงกับยกมือกุมขมับทั้งสองข้าง “เธอต้องแยกแยะออกให้ได้นะมี่มี่ว่าตัวเองเกิดในยุคไหน ตอนนี้เธอคือคนที่เกิดในศตวรรษที่ 21 แต่เรื่องราวพวกนั้นเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 14 มันไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเธอ เรื่องภพชาติหน้าหรือชาติอดีตคือความเชื่อ ชาติหน้ามีจริงหรือเปล่าก็ไม่มีใครรู้ แม้แต่วิทยาศาสตร์เองยังพิสูจน์ไม่ได้หรอกนะเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้”เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางตรงเข้าจับสองแขนเรียวของเพื่อนรัก “แม่นางเอกงิ้วชื่อดังที่รัก ยูทูบเบอร์ชื่อก้องและเจ้าของช่องบิวตี้บล็อกเกอร์ที่มีคนติดตามหลายล้านคนมีเอฟซีที่ชื่นชมไปทั่วโลกอย่างเธออย่ากลายเป็นคนงมงายอะไรแบบนี้ได้ไหม ตื่นจากความฝันเสียทีมี่มี่!!! ตื่นได้แล้ว!!!” เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางเขย่าร่างของเพื่อนรักไปมาอย่างแรงเพื่อให้รู้สึกตัว จนหวังจิวเซียนต้องรีบเข้ามาห้ามปราม “เฮ้ย! เฮ้ย! เสี่ยวม่านพอได้แล้วเธอ ให้เวลามี่มี่มันหน่อยสิ เรื่องแบบนี้ก็ต้องใช้เวลาหน่อย ก็แม่คุณเล่นฝันเห็นเสียตั้งหลายครั้งขนาดนั้น มันย่อมติดความในความรู้สึกและความทรงจำกันบ้างไม่มากก็น้อยบ้างแหละ เอาแบบนี้ดีไหมพรุ่งนี้พวกเราพามี่มี่ไปเที่ยวพักผ่อนว่างกันหมดไม่ใช่เหรอ ดีไหมเสี่ยวม่าน มี่มี่”หวังจิวเซียนถามเพื่อนรักทั้งสอง อือ! สองสาวต่างส่งเสียงในลำคอออกมาพร้อมกันเป็นการยอมรับที่หวังจิวเซียนบอกท่ามกลางความดีใจของคนต้นคิด “ดีมากเลยจ๊ะ นานๆ แก๊งนางร้ายของพวกเราจะได้รวมตัวเดินนวยนาดเฉิดฉายให้พวกหนุ่มๆ พากันน้ำลายหกเล่นกันเสียบ้าง ฉันก็มัวแต่ยุ่งเรื่องเรียนและช่วยคุณพ่อทำงานที่บริษัท เสี่ยวม่านก็ยุ่งขุดแต่ดินเพราะเริ่มออกฝึกภาคสนาม มี่มี่ก็ยุ่งขึ้นเวทีแสดงงิ้วที่โรงละครกับอยู่แต่หน้าจอโทรศัพท์อัดคลิปลงโซเชียลหาแต่เงินก็หัดใช้เงินบ้างนะจ๊ะที่รัก ไปๆ แยกย้ายกันไปนอนต่อเถอะเพิ่งจะตีหนึ่งอีกนานกว่าจะเช้า”หวังจิวเซียนพูดพลางใช้มือตบไหล่เพื่อนรักทั้งสองของเธอพลางฉุดร่างเฉินเสวี่ยม่านให้ลุกขึ้นจากที่นอนของมี่มี่ “นอนเถอะมี่มี่อย่าไปคิดอะไรมากมันก็แค่ความฝันเท่านั้น”เฉินเสวี่ยม่านบอกเพื่อนด้วยความเป็นห่วง คำกล่าวของเพื่อนเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้ลี่มี่มี่เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิททั้งสองพร้อมส่งยิ้มให้ “ขอบใจมากนะเสี่ยวม่าน เสี่ยวเซียนที่เป็นห่วง ฉันไม่เป็นอะไรแล้วมันก็แค่ฝันเท่านั้นเป็นจริงอย่างที่พวกเธอพูด”มี่มี่บอกเพื่อนกลับไปท่ามกลางรอยยิ้มของเพื่อนสาวทั้งสอง “คิดได้แบบนี้ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย พวกเราไม่กวนแล้วรีบนอนเถอะ พรุ่งนี้จะได้ไปเที่ยวกัน”หวังจิวเซียนพูดพร้อมเดินตรงเข้าโอบไหล่เฉินเสวี่ยม่านพากันก้าวออกไปจากห้องนอน พร้อมกับบานประตูค่อยๆ ปิดตัวลงท่ามกลางสายตาของลี่มี่มี่ “จริงสิ! ก็แค่ความฝันเท่านั้นจะเป็นความจริงไปได้อย่างไงไม่มีทางเป็นไปได้หรอก จะบอกว่าเป็นเรื่องราวในอดีตแต่เป็นเรื่องของใครละ จะใช่ของเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรสามารถยืนยันได้”ลี่มี่มี่พูดพึมพำพลางล้มตัวลงนอนตามเดิม ใบหน้าสวยคมเฉี่ยวหันหน้าไปทางหน้าต่างที่เห็นดวงดาวบนท้องฟ้าในเวลารัตติกาลอันเงียบงัน แสงไฟหลากสีมากมายยังคงปรากฏให้เห็นตามตึกสูงระฟ้าในมหานครปักกิ่ง “ฉันคือลี่มี่มี่ไม่ใช่หลินลี่ชาคนนั้น มันคือความฝันไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด ใช่แล้วมันไม่ใช่ความจริงและก็ไม่ใช่ตัวฉัน”หญิงสาวพึมพำแต่ประโยคดังกล่าวอยู่เช่นนั้นกลับไปกลับมาจวบจนกระทั่งผล็อยหลับไปในที่สุด ท่ามกลางความเงียบงันในยามราตรีที่แผ่ปกคลุมเข้ามาโดยรอบอยู่ในเวลานั้น คอนโดสูงระฟ้าซึ่งมีทั้งหมด 59 ชั้นบังเกิดสายลมพาดผ่านพร้อมพัดพาบางอย่างกำลังลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนของลี่มี่มี่ ฟิ้วววว!!!! ดอกอวี้หลันสีม่วงเบ่งบานปลิวมาตามสายลม กำลังมุ่งตรงเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนของลี่มี่มี่ที่เปิดค้างเพื่อรับสายลมเข้ามาภายในห้อง ดอกไม้สีม่วงส่งกลิ่นหอมรัญจวนเคลื่อนไหวมาตามกระแสลมแรง ตุบ! ดอกอวี้หลันเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นร่วงหล่นตกลงบนร่างของลี่มี่มี่อย่างแผ่วเบาพร้อมกลิ่นหอมโรยรื่นเริ่มแผ่เข้ามาปกคลุมโดยรอบตลบอบอวลไปทั่วห้องราวกับว่าภายในห้องนอนนั้นมีดอกไม้สีม่วงนับหมื่นดอกเลยทีเดียวห้าปีผ่านไป จวนตงฉ่าง จวนตงฉ่างในเวลานี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กเล็กๆกำลังส่งเสียงหัวเราะไม่เว้นแต่ละวัน จวนตงฉ่างหรือจวนสกุลหลินในอดีตเต็มไปด้วยเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลด บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบงันและความหดหู่ปกคลุมไปทั่วจวบจนกระทั่งจวนสกุลหลินได้กลายมาเป็นจวนตงฉ่าง ซึ่งเจ้าของจวนเป็นถึงผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร และจากเหตุการณ์ในอดีตซึ่งมีเรื่องราวสลับซับซ้อนได้ถูกเปิดเผย จนทำให้ล่วงรู้ว่าอดีตเสนาบดีเกาจิ้งหยวนเจ้ากรมคลังและอดีตเสนาบดีหลินเหยียนเจิ้งเจ้ากรมพลเรือน แท้จริงแล้วคือขุนนางผู้ภักดีแต่ความภักดีนั้นกลับทำให้เกิดเรื่องน่าสลดเพราะถูกให้ร้ายจากคนโฉด และมลทินทั้งหลายได้ถูกชะล้างไปหมดสิ้นเมื่อทุกอย่างถูกเปิดเผย ด้วยเหตุนี้สกุลหลินและสกุลเกาจึงได้รับความบริสุทธิ์กลับคืน ลี่มี่มี่คือทายาทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของสกุลหลินเพียงหนึ่งเดียวที่ได้ทำให้ตระกูลของเธอได้รับความเป็นธรรมกลับคืนมา
คุกตงฉ่าง สตรีร่างเล็กในชุดนักโทษกำลังนั่งตัวชาในท่านั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นห้องขัง ตู้หรูอี้แทบสิ้นสติเมื่อได้ยินเสียงประกาศราชโองการขององค์จักรพรรดิถูกนำมาคุกตงฉ่างหลังจากที่ได้นำไปประกาศที่จวนเซี่ยเสิ้งกั๋วกง โดยเจิ้งหลี่เม่าเป็นผู้ประกาศราชโองการดังกล่าว ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโวยวายของอดีตคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ไม่ยอมรับความจริงกับชะตากรรมของตระกูลที่เกิดขึ้นและจบลงในเวลาอันรวดเร็ว “ท่านพ่อของข้าถูกใส่ร้าย! ข้าไม่เชื่อ! พ่อข้าไม่ใช่กบฏ..พวกเจ้าให้ร้ายตระกูลของข้า เจ้าพวกโฉดชั่ว”ตู้หรูอี้ก่นด่ากราด “จะกล่าวโทษผู้ใดก็จงดูการกระทำของเจ้าด้วยนะ สิ่งที่ทำลงไปสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่นมากแค่ไหน สำนักรู้ได้หรือเปล่าก็ไม่ล่วงรู้ ตอนนี้เจ้าคือนักโทษประหารที่จะต้องถูกตัดหัวกลางแจ้งต่อหน้าประชาชน นี่คือสิ่งที่เจ้าและพ่อรวมไปถึงคนในตระกูลสร้างเอาไว้ตายทีเดียวสิบชั่วโคตร แต่ก่อนจะถูกประหารมีคนอยากพบเจ้าและคนผู้นี้เจ้าเองก็ลงมือสังหารนางมาแล้วถึงสองครั้งสองครา”หลี่เม่ากล่าวพร้อมก้าวเดินออกไปจากห้องคุมขังนักโทษที่ลึกอยู่ชั้นในสุดอย่างมิด
จวนเซี่ยเสิ่งกั๋วกงร่างสันทัดของตู้เหมิ่งห้าวกำลังไล่ตรวจบันทึกทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลตู้ ที่ปีนี้งอกเงยจากปีก่อนขึ้นมานับเท่าทวีคูณ ในขณะที่เรื่องราวของบุตรสาวคนโปรดยังไม่ล่วงรู้ถึงหู ด้วยเพราะนางบอกแต่เพียงว่าจะเดินทางไปปฏิบัติธรรมเพื่อบำบัดจิตใจให้คลายความทุกข์ลงไปได้บ้าง โดยไม่ล่วงรู้เลยว่าบัดนี้ตู้หรูอี้ได้นำหายนะครั้งยิ่งใหญ่มาสู่ตระกูลของตัวเอง ทันทีที่เปิดเผยเรื่องราวในอดีตว่าแท้จริงแล้วเป็นนางที่วางแผนฆ่าคุณหนูสิบหก หลินลี่ชาแห่งสกุลหลิน โดยการยืมมือซือกงกงเป็นผู้สังหารเพื่อกำจัดสตรีที่ถูกจับจองให้เป็นฮูหยินข้างกายชายที่นางหลงรัก อีกทั้งลูกสมุนที่ถูกส่งไปทำงานใหญ่โดยการลักพาตัวลี่มี่มี่มากักขังไว้ในสถานที่คุมขังที่จัดเตรียมเอาไว้ก็ยังไม่ส่งข่าวมาแจ้งว่าลงมือทำงานไปถึงไหน นั่นเป็นเพราะลูกสมุนทั้งหมดถูกกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรล้อมจับเอาไว้ได้ทั้งหมด รวมไปถึงตู้หรูอี้บุตรีคนโปรดของหัวหน้าสภาขุนนางคนปัจจุบันเป็นหนึ่งในผู้ถูกจับด้วยเช่นกัน ด้วยข้อหาฉกรรจ์เจตนาฆ่าเจ้าสาวของผู
จวนตงฉ่าง เรือนชิงเหลียน เรือนใหญ่ซึ่งถูกตกแต่งเอาไว้เป็นอย่างดี พรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องเรือนมากมายที่ลี่มี่มี่เลือกจัดวางมาลงที่เรือนดังกล่าวด้วยตัวเองทั้งสิ้น ทั่วทั้งบริเวณตลอดทั้งภายนอกและภายในประดับด้วยผ้าแดงมงคลเต็มไปหมด ตลอดจนทั่วทั้งจวนด้วยในวันพรุ่งนี้ก็จะถึงพิธีสมรสของตงฉ่างโหวและพิธีขึ้นจวนใหม่ไปพร้อมกัน เรือนชิงเหลียนในอดีตนั้นก็คือที่พำนักของหลินเหยียนเจิ้งและฮูหยินเซียว บิดาและมารดาของหลินลี่ชา คุณหนูสิบหกของตระกูลหลินผู้เป็นดวงใจของพ่อและแม่ ภายในห้องนอนปรากฏร่างของลี่มี่มี่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียงนอนขนาดใหญ่ซึ่งจะใช้เป็นห้องหอในวันพรุ่งนี้ หญิงสาวถูกว่าที่สามีของเธอช่วยชีวิตออกมาจากโลงศพที่ต้องการฝังนางทั้งเป็น และยากเกินกว่าที่ผู้ใดจะหยั่งรู้ได้จะเป็นเพราะสวรรค์ดลใจหรือสิ่งเร้นลับบางอย่างคอยช่วยเหลือเธอมาโดยตลอดนั้นเรื่องนี้ก็ยา
ในขณะเดียวกันป่าไผ่เขียว อาชาตัวมหึมาควบห้อตะบึงมุง่หน้ามายังบริเวณป่าที่เต็มไปด้วยต้นไผ่ลำมหึมายืนต้นสูงแผ่กิ่งก้านจนบดบังแสงอาทิตย์ไม่สามารถแทงลำแสงลงสู่เบื้องล่างได้ จนทำให้ทั่วบริเวณดังกล่าวนั้นมืดครึ้มไปหมด ในขณะที่ดวงตาสีสนิมเหล็กดุจพญาเหยี่ยวของตงฉ่างโหวจับจ้องอยู่ตรงหน้าอยู่ตลอดเวลาพร้อมสังเกตไปรอบกาย ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อม้าคู่ใจวิ่งมาถึงลานป่าไผ่ยืนต้นสูงเรียงรายล้อมรอบเป็นวงกลมคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวล้อมรอบไปด้วยต้นไผ่เขียวมากมายยืนต้นสูง “อะไรกันนี่!”ตงฉ่างโหวเอ่ยออกมาทันที เบื้องหน้าในขณะนี้ปรากฏดอกอวี้หลันสีม่วงปกคลุมพื้นดินจนมีรูปร่างคล้ายหลุมฝังศพ ครั้นหันไปสำรวจทั่วบริเวณกลับไม่ปรากฏต้นอวี้หลันอยู่ภายในบริเวณนั้นแม้แต่น้อย ครั้นแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบนก็ไม่ปรากฏแหล่งที่มาของดอกไม้ดังกล่าวนำพาความแปลกใจให้แก่ท่านโหวหนุ่มยิ่งนัก ดวงตาคมกล้าจับจ้องอยู่แต่ดอกอวี้หลันที่อยู่ตรงหน้าเช่นนั้นและจดจำขึ้นมาได้ทันทีเมื่อดอกไม้นี้ สตรีที่อยู่ในหัวใจชอบมากที่สุด “ดอกอวี้หลันสีม่วง ดอกไม้ของมี่มี่!!!
ป่าไผ่เขียว ทั่วทั้งบริเวณของต้นไผ่ที่สูงชะลูดแข่งขันกัน แผ่กิ่งก้านที่เต็มไปด้วยใบไผ่สีเขียวปกคลุมจนทำให้มืดครึ้ม แสงแดดจากท้องฟ้าเบื้องบนสาดแสงลงสู่เบื้องล่าวได้เพียงน้อยนิด สาเหตุเพราะถูกกิ่งที่เต็มไปด้วยใบไผ่มากมายปิดบังเอาไว้ ทำให้แสงแดดของเวลากลางวันทอแสงรำไรพุ่งตรงลงสู่พื้นดินเบื้องล่างมองเห็นได้เป็นย่อมๆ เพียงเท่านั้น พื้นดินตรงบริเวณที่เป็นหลุมฝังศพของลี่มี่มี่ซึ่งถูกฝังไปเมื่อครู่ที่ผ่านมา บัดนี้ใต้พื้นดินเบื้องล่างกำลังเกิดสงครามระหว่างลี่มี่มี่กับโลงศพ เมื่อเธอถูกฝังทั้งเป็นทั้งที่ยังไม่ตาย ร่างที่กำลังห่อหุ้มอยู่ในผ้าขาวนั้นจึงพยายามดิ้นรนหาทางเอาตัวเองออกไปจากโลงแคบๆ นี้ให้ได้ถึงแม้ว่าอากาศรอดจะมีเพียงแค่ศูนย์เปอร์เซ็นต์ก็ตามแต่ลี่มี่มี่ก็ไม่ยอมแพ้ “ตู้หรูอี้! อย่าให้คนอย่างลี่มี่มี่รอดไปได้นะ ฉันจะกลับไปทวงชีวิตของแก! ต่อให้ตายเป็นผีก็จะไปหักคอแกให้ถึงที่เลยนางคุณหนูหน้าขาว!”ลี่มี่มี่ก่นด่าตู้หรูอี้พร้อมพยายามใช้มือของเธอที่ถูกมัดแน่นอยู่ในขณะนั้นล้วงเข้าไปในอกเสื้อที่ซุกซ่อนบางอย่างเอาไว้อยู่ต







