Mag-log inถนนหนานโหลวกู่เซียง
หนานโหลวกู่เชียง เป็นถนนคนเดินซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงปักกิ่ง ตั้งอยู่ในเขตตงเฉินทางทิศเหนือของพระราชวังต้องห้าม ทั้งสองข้างทางกว่า 800 เมตรเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย มีทั้งร้านเสื้อผ้า เครื่องประดับ ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่าง ร้านกาแฟ ผับ บาร์ และร้านอาหาร อาคารบ้านเรือนของที่นี่มีอายุหลายร้อยปี นับเป็นตรอกซอกซอยที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงปักกิ่ง ซึ่งได้รับการอนุรักษ์จากรัฐบาลไว้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งส่วนใหญ่จะทำการดัดแปลงเป็นร้านค้าแต่ก็ยังคงความเก่าแก่ของแบบบ้านโบราณเอาไว้ทุกอย่างดั่งเช่นบ้านเรือนของผู้คนในยุคอดีต แก๊งนางร้ายที่สามสาวใช้เรียกเวลารวมตัวกัน แต่ละคนมีลักษณะโดดเด่นแตกต่างกันออกไป แต่ที่แน่นอนก็คือความสวยที่โดดเด่นและสรีระของร่างกายที่กินกันไม่ลง ร่างสูงงามระหงเกือบจะเท่ากันทุกคนตามยุคสมัยของผู้คนในยุคสมัยใหม่ในศตวรรษที่ 21 มีเพียงเฉินเสวี่ยม่านเท่านั้นที่สูง 168 เซนติเมตร ส่วนลี่มี่มี่และหวังจิวเซียนสูง 170 เซนติเมตรเท่ากัน หวังจิวเซียนถูกเพื่อนร่วมแก๊งตั้งฉายาให้แก่เธอว่านางร้ายแห่งเฉาหยางเพราะคุณพ่อของเธอเป็นบุคคลมีอิทธิพลในเขตพื้นที่ดังกล่าวทั้งหมด ในขณะที่เฉินเสวี่ยม่านมีฉายาว่านางร้ายคลุกฝุ่น เพราะวันๆ คุณเธอคลุกตัวอยู่กับการออกพื้นที่ฝึกภาคสนามไปกับกองงานโบราณคดีที่ร่วมมือกับทางมหาวิทยาลัยซึ่งกำลังศึกษาอยู่ และลี่มี่มี่ที่เพื่อนๆ ต่างตั้งฉายาให้เธอว่านางร้ายหน้าเงินเพราะทุกเวลามีค่าเป็นตัวเงินเสมอสำหรับความคิดของหญิงสาว นางจะกดเครื่องคิดเลขอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ล่วงรู้ว่าตัวเองจะได้เงินหรือเสียเงินเป็นจำนวนเท่าไรในแต่ละวัน แต่ถึงลี่มี่มี่จะหน้าเงินเพียงใดบทแม่คุณจะใจใหญ่ก็ไม่ยั้งเช่นกันเพราะเธอบริจาคเงินให้แก่องค์กรการกุศลทุกครั้งที่ได้เงินมาจากน้ำพักน้ำแรงไม่ได้ขาดอยู่เสมอ แม้ว่าในเวลานี้จะไม่เดือดร้อนในเรื่องเงินทองก็ตามแต่ก็ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะหารายได้ให้เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะคิดว่าทุกอย่างย่อมมีวันหมดไปเสมอ แก๊งนางร้ายพากันมาเดินเที่ยวถนนหลานโหลวกู่เซียง นับตั้งแต่พากันออกมาจากห้างสรรพสินค้าซึ่งแต่ละคนเต็มไปด้วยข้าวของพะรุงพะรังมากมายเต็มสองมือไปหมดทั้งสามสาว หวังจิวเซียนและเฉินเสวี่ยม่านส่วนใหญ่จะหมดไปกับเครื่องแต่งกายแบรนด์แนม ในขณะที่ลี่มี่มี่จะหมดไปกับเครื่องสำอางจากแบรนด์ดัง ที่เธอต้องใช้ในการประกอบทำคลิปสอนการแต่งหน้าและการแสดงงิ้ว นอกเหนือจากจะมีฝีมือทางการแต่งหน้าได้หลากหลายแล้ว ลี่มี่มี่ยังมีพรสวรรค์ในการวาดรูปได้อย่างน่าอัศจรรย์เธอสามารถวาดภาพทุกอย่างออกมาได้เหมือนจริงราวกับมีชีวิต โดยเฉพาะภาพเหมือนของคน เธอสามารถวาดออกมาราวกับว่าคนที่ตายไปแล้วมีชีวิตและตัวตนขึ้นมาอีกครั้งผ่านภาพวาดดังกล่าวจึงทำให้ลี่มี่มี่มีรายได้จากการวาดภาพที่เสมือนจริงเพิ่มขึ้นอีกด้วย เป็นสาววัยรุ่นที่หาเงินเก่งอย่างหาตัวจบยากและมีพรสวรรค์หลายอย่างในตัวเอง “เดินกันมาตั้งนานแล้วพักกินน้ำก่อนเถอะ ร้อนอบอ้าวเป็นบ้าเลยเสี่ยวเซียน เสี่ยวม่าน”ลี่มี่มี่บอกเพื่อนสนิทพลางหยุดเดินพร้อมกวาดสายตามองหาร้านขายน้ำตามสองข้างทาง “ก็ดีเหมือนกันไปหาที่นั่งดื่มน้ำหรือกาแฟ และนั่งรับลมเย็นๆ กินบรรยากาศแบบฟินๆ หรือดื่มชาแก้กระหายตามแบบฉบับของคนโบราณก็เข้าท่าดีเหมือนกันนะ ว่าแต่จะไปนั่งร้านไหนดีละที่มีบรรยากาศแบบนั้น”หวังจิวเซียนพูดพลางกวาดสายตามองไปโดยรอบพร้อมใช้ศอกสะกิดเพื่อนสาวทั้งสองของเธอ “เสี่ยวม่านเป็นกูรูยอดนักรู้ไม่ใช่เหรอ แถวนี้ถิ่นเธอน่าจะรู้ดีกว่าเพื่อนรู้จักทุกพื้นที่ไปหมด ไม่มีหรอกที่แม่นางคลุกฝุ่นผู้นี้จะไม่ล่วงรู้สิ่งใด”หวังจิวเซียนหยอกเย้าเพื่อนสาว “ว่าเข้าไปนั่นฉันก็ไม่ได้รู้จักหรือล่วงรู้ไปทุกเรื่องหรอกนะ”เฉินเสวี่ยม่านบ่นพึมพำพลางกลอกตาไปมามองหาอะไรบางอย่าง “มองหาอะไรอยู่เหรอเสี่ยวม่าน”ลี่มี่มี่ถามเพื่อนกลับไปด้วยความสงสัยพลางมองตามไปยังสองข้างทาง “กำลังมองหาที่นั่งกินกาแฟไงเล่า จำได้ว่าอาจารย์เคยบอกแถวนี้มีบ้านเก่าแก่ในยุคต้นของราชวงศ์หมิงมาขออนุญาตทำเป็นห้องสมุดสำหรับให้ประชาชนเข้ามานั่งพักผ่อนและอ่านหนังสือได้ด้วยนะ แล้วก็มีเครื่องดื่มหลากหลายให้บริการ แต่ฉันไม่เคยมาสักที เห็นอาจารย์บอกว่าแถบนี้เคยเป็นชุมชนที่รุ่งเรืองมากเลยนะในยุคโบราณ มีเส้นทางเชื่อมต่อกับจวนโบราณของพวกขุนนางคนสำคัญ ที่อยู่นอกเขตพระราชวังต้องห้ามยังมีหลงเหลือให้เห็นบางส่วนแต่จะให้คงสภาพเอาไว้เหมือนในอดีตค่อนข้างมีน้อยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลยทีเดียว” ลี่มี่มี่และหวังจิวเซียนต่างพากันพยักหน้าขึ้นลงพร้อมกันพลางช่วยกันมองหา ก่อนจะได้ยินเสียงของเฉินเสวี่ยม่านกรอกเสียงไปตามสายเมื่อเธอยกโทรศัพท์มือถือรับสายปลายทาง “ค่ะอาจารย์...ไม่มีปัญหาได้แน่นอนค่ะเดี๋ยวหนูจะพาเพื่อนไปพบอาจารย์จะให้ไปวันไหนดีคะ”พูดพลางหันกลับมามองหน้าเพื่อนรักทั้งสอง หูก็ฟังปากก็พูดไปพร้อมกันก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปเมื่อเห็นสายตาของหวังจิวเซียนบ่งบอกว่าไม่ค่อยจะพอใจ “หนูขอถามราคาก่อนนะคะอาจารย์ว่าคิดเท่าไร!”เสียงของเฉินเสวี่ยม่านตอบอีกฝ่ายกลับไปเช่นนั้น ท่ามกลางสายตาของเพื่อนสาวทั้งสอง “ท่าทางจะมีเคสด่วนแน่เลย อะไรกันนานทีจะว่างได้มาเที่ยวด้วยกันแบบนี้ยังจะมีงานเข้ามาอีก”หวังจิวเซียนบ่นออกมาทันทีเมื่อได้ยินการสนทนาของเพื่อนรัก “คงแค่สั่งงานไม่มีอะไรหรอกกระมังเสี่ยวเซียน หน้าหงิกไปได้”ลี่มี่มี่เอ่ยปลอบเพื่อน “มี่มี่!”เสียงของเฉินเสวี่ยม่านร้องเรียกเพื่อนรักเมื่อวางสายจากอาจารย์ ฮือ! หญิงสาวส่งเสียงอยู่ในลำคอแทนการขานรับพลางหันกลับมามอง “อาจารย์ของฉันมีงานพิเศษอยากให้มี่มี่ไปแต่งหน้าเจ้าสาวให้หน่อย พอดีลูกสาวของอาจารย์เป็นแฟนคลับของเธอชื่นชอบการแต่งหน้าแปลงโฉมจากคนไม่สวยกลายเป็นคนสวยได้ คนที่สวยอยู่แล้วยิ่งแต่งยิ่งสวยมากขึ้นไปอีก งานแต่งจะมีขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้าเธอคิดราคาเท่าไรมี่มี่”เฉินเสวี่ยม่านถามเพื่อนรักกลับไป “ชั่วโมงละ 1000 หยวน”ลี่มี่มี่ตอบสวนกลับไปทันทีโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย หา! เฉินเสวี่ยม่านอุทานออกมาทันทีก่อนจะใช้มือยกขึ้นลูบใบหน้าสวยเฉี่ยวของเพื่อนสาวไปมา “หน้าเลือดเป็นบ้าเลยมี่มี่คิดเป็นชั่วโมงเลยเหรอ ลดอีกหน่อยได้ไหม”เฉินเสวี่ยม่านพยายามเจรจาต่อรอง “ปกติฉันคิดชั่วโมง 1500 หยวนนะเสี่ยวม่าน คิดแค่หนึ่งพันหยวนนี่ก็ถูกมากแล้วเพราะเห็นว่าเป็นอาจารย์ของเธอ แต่จะให้ลดลงกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ทำอะไรก็ตามจะต้องได้ค่าเหนื่อย กำไรและค่าเสียเวลาทุกนาทีมีค่าเป็นเงินเป็นทอง อีกอย่างเครื่องสำอางที่นำมาใช้สำหรับแต่งหน้าล้วนอย่างดีนะยะ ฉันไม่ให้เสียชื่อบิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดังของฉันหรอก ละ...”ลี่มี่มี่กล่าวยังไม่ทันจบสองมือของเพื่อนรักรีบยกขึ้นห้ามพร้อมรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที “โอเคมี่มี่ยาวเลยแม่คุณ เดี๋ยวฉันจะช่วยอาจารย์สำรองจ่ายให้เองเกิดอาจารย์สู้ไม่ไหวกับราคาของเธอ เพราะถึงอย่างไรคาดว่าทางฝ่ายเจ้าบ่าวเองก็อยากให้เจ้าสาวของเขาสวยที่สุดในวันแต่งงานคงไม่เกี่ยงเรื่องราคาหรอกกระมัง”เฉินเสวี่ยม่านบอกเพื่อนของเธอ “ตามนั้นเสี่ยวม่าน...ว่าแต่หิวน้ำจริงๆ นะไปหาน้ำกินกันก่อนเถอะ คอแห้งไปหมดแล้วเนี่ย”ลี่มี่มี่บ่น “เออไปๆ พอดีเลยเมื่อครู่อาจารย์โทรมาฉันก็เลยถามมาแล้วว่า บ้านที่นำมาทำเป็นห้องสมุดตั้งอยู่ตรงไหน อาจารย์บอกชื่อมาด้วยก็เลยง่ายขึ้นมาเยอะเลย”หญิงสาวพูดพลางยกมือถือขึ้นกดหาจีพีเอสทันที “นี่ไงเจอแล้วห้องสมุดอวี้หลันที่นี่แหละ”เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางยกมือถือให้เพื่อนสนิททั้งสองของเธอได้เห็น “อวี้หลัน!”ลี่มี่มี่พูดออกมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ห้องสมุดอวี้หลันเหรอทำไมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย”หวังจิวเซียนถามกลับไปหลังจากยืนฟังอยู่นานก่อนจะหันกลับไปมองลี่มี่มี่ที่อุทานออกมาเมื่อได้ยินชื่อของหอสมุดดังกล่าว “มี่มี่เป็นอะไรหรือเปล่าเมื่อกี้ได้ยินเสียงเธอคล้ายตกใจเลยพอได้ยินชื่อของหอสมุดนี้”หวังจิวเซียนหันกลับไปถามเพื่อนรัก “จริงสิมีอะไรหรือเปล่ามี่มี่”เฉินเสวี่ยม่านถามขึ้นมาอีกเสียง ใบหน้างามสุดเฉี่ยวส่ายไปมาติดต่อกันพร้อมเอ่ยขึ้น “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่รู้สึกแปลกใจที่ห้องสมุดนั้นตั้งเป็นชื่อดอกไม้ก็เท่านั้นเอง จะไปที่นั่นไม่ใช่เหรอจะรั้งรอกันอยู่ทำไมไปสิ ฉันหิวน้ำจะตายอยู่แล้ว”ลี่มี่มี่บอกเพื่อนๆ ของเธอ หากแต่ลี่มี่มี่กลับไม่บอกจนหมด ด้วยเพราะเมื่อช่วงย่ำรุ่งหญิงสาวฝันเห็นป้ายชื่อขนาดใหญ่ติดไว้เหนือประตูพร้อมเขียนคำว่า ห้องสมุดอวี้หลัน ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือฝันนั้นแท้จริงแล้วคือลางบอกเหตุอะไรบางอย่างกันแน่ก็ไม่อาจรู้ได้ “โอเค...ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว พวกเราไปนั่งพักหลบลมร้อนกันก่อน สักประมาณหกโมงเย็นค่อยออกไปเดินซื้อของกินที่จะออกมาตั้งขายแล้วค่อยกลับบ้านกันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปตระเวนหาซื้อที่อื่นอีก”เฉินเสวี่ยม่านกล่าวพลางก้าวเดินนำหน้า “ว่าอย่างไงก็ว่าตามกัน”หวังจิวเซียนพูดพร้อมเดินตามหลังเพื่อนของเธอไปติดๆ ในขณะที่ลี่มี่มี่ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวได้แต่เดินตามเพื่อนสาวของเธอทั้งสองคนไปอย่างเงียบๆ หากแต่ภายในใจกลับเฝ้าครุ่นคิดไปตลอดทางที่ก้าวเห้าปีผ่านไป จวนตงฉ่าง จวนตงฉ่างในเวลานี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กเล็กๆกำลังส่งเสียงหัวเราะไม่เว้นแต่ละวัน จวนตงฉ่างหรือจวนสกุลหลินในอดีตเต็มไปด้วยเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลด บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบงันและความหดหู่ปกคลุมไปทั่วจวบจนกระทั่งจวนสกุลหลินได้กลายมาเป็นจวนตงฉ่าง ซึ่งเจ้าของจวนเป็นถึงผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร และจากเหตุการณ์ในอดีตซึ่งมีเรื่องราวสลับซับซ้อนได้ถูกเปิดเผย จนทำให้ล่วงรู้ว่าอดีตเสนาบดีเกาจิ้งหยวนเจ้ากรมคลังและอดีตเสนาบดีหลินเหยียนเจิ้งเจ้ากรมพลเรือน แท้จริงแล้วคือขุนนางผู้ภักดีแต่ความภักดีนั้นกลับทำให้เกิดเรื่องน่าสลดเพราะถูกให้ร้ายจากคนโฉด และมลทินทั้งหลายได้ถูกชะล้างไปหมดสิ้นเมื่อทุกอย่างถูกเปิดเผย ด้วยเหตุนี้สกุลหลินและสกุลเกาจึงได้รับความบริสุทธิ์กลับคืน ลี่มี่มี่คือทายาทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของสกุลหลินเพียงหนึ่งเดียวที่ได้ทำให้ตระกูลของเธอได้รับความเป็นธรรมกลับคืนมา
คุกตงฉ่าง สตรีร่างเล็กในชุดนักโทษกำลังนั่งตัวชาในท่านั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นห้องขัง ตู้หรูอี้แทบสิ้นสติเมื่อได้ยินเสียงประกาศราชโองการขององค์จักรพรรดิถูกนำมาคุกตงฉ่างหลังจากที่ได้นำไปประกาศที่จวนเซี่ยเสิ้งกั๋วกง โดยเจิ้งหลี่เม่าเป็นผู้ประกาศราชโองการดังกล่าว ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโวยวายของอดีตคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ไม่ยอมรับความจริงกับชะตากรรมของตระกูลที่เกิดขึ้นและจบลงในเวลาอันรวดเร็ว “ท่านพ่อของข้าถูกใส่ร้าย! ข้าไม่เชื่อ! พ่อข้าไม่ใช่กบฏ..พวกเจ้าให้ร้ายตระกูลของข้า เจ้าพวกโฉดชั่ว”ตู้หรูอี้ก่นด่ากราด “จะกล่าวโทษผู้ใดก็จงดูการกระทำของเจ้าด้วยนะ สิ่งที่ทำลงไปสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่นมากแค่ไหน สำนักรู้ได้หรือเปล่าก็ไม่ล่วงรู้ ตอนนี้เจ้าคือนักโทษประหารที่จะต้องถูกตัดหัวกลางแจ้งต่อหน้าประชาชน นี่คือสิ่งที่เจ้าและพ่อรวมไปถึงคนในตระกูลสร้างเอาไว้ตายทีเดียวสิบชั่วโคตร แต่ก่อนจะถูกประหารมีคนอยากพบเจ้าและคนผู้นี้เจ้าเองก็ลงมือสังหารนางมาแล้วถึงสองครั้งสองครา”หลี่เม่ากล่าวพร้อมก้าวเดินออกไปจากห้องคุมขังนักโทษที่ลึกอยู่ชั้นในสุดอย่างมิด
จวนเซี่ยเสิ่งกั๋วกงร่างสันทัดของตู้เหมิ่งห้าวกำลังไล่ตรวจบันทึกทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลตู้ ที่ปีนี้งอกเงยจากปีก่อนขึ้นมานับเท่าทวีคูณ ในขณะที่เรื่องราวของบุตรสาวคนโปรดยังไม่ล่วงรู้ถึงหู ด้วยเพราะนางบอกแต่เพียงว่าจะเดินทางไปปฏิบัติธรรมเพื่อบำบัดจิตใจให้คลายความทุกข์ลงไปได้บ้าง โดยไม่ล่วงรู้เลยว่าบัดนี้ตู้หรูอี้ได้นำหายนะครั้งยิ่งใหญ่มาสู่ตระกูลของตัวเอง ทันทีที่เปิดเผยเรื่องราวในอดีตว่าแท้จริงแล้วเป็นนางที่วางแผนฆ่าคุณหนูสิบหก หลินลี่ชาแห่งสกุลหลิน โดยการยืมมือซือกงกงเป็นผู้สังหารเพื่อกำจัดสตรีที่ถูกจับจองให้เป็นฮูหยินข้างกายชายที่นางหลงรัก อีกทั้งลูกสมุนที่ถูกส่งไปทำงานใหญ่โดยการลักพาตัวลี่มี่มี่มากักขังไว้ในสถานที่คุมขังที่จัดเตรียมเอาไว้ก็ยังไม่ส่งข่าวมาแจ้งว่าลงมือทำงานไปถึงไหน นั่นเป็นเพราะลูกสมุนทั้งหมดถูกกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรล้อมจับเอาไว้ได้ทั้งหมด รวมไปถึงตู้หรูอี้บุตรีคนโปรดของหัวหน้าสภาขุนนางคนปัจจุบันเป็นหนึ่งในผู้ถูกจับด้วยเช่นกัน ด้วยข้อหาฉกรรจ์เจตนาฆ่าเจ้าสาวของผู
จวนตงฉ่าง เรือนชิงเหลียน เรือนใหญ่ซึ่งถูกตกแต่งเอาไว้เป็นอย่างดี พรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องเรือนมากมายที่ลี่มี่มี่เลือกจัดวางมาลงที่เรือนดังกล่าวด้วยตัวเองทั้งสิ้น ทั่วทั้งบริเวณตลอดทั้งภายนอกและภายในประดับด้วยผ้าแดงมงคลเต็มไปหมด ตลอดจนทั่วทั้งจวนด้วยในวันพรุ่งนี้ก็จะถึงพิธีสมรสของตงฉ่างโหวและพิธีขึ้นจวนใหม่ไปพร้อมกัน เรือนชิงเหลียนในอดีตนั้นก็คือที่พำนักของหลินเหยียนเจิ้งและฮูหยินเซียว บิดาและมารดาของหลินลี่ชา คุณหนูสิบหกของตระกูลหลินผู้เป็นดวงใจของพ่อและแม่ ภายในห้องนอนปรากฏร่างของลี่มี่มี่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียงนอนขนาดใหญ่ซึ่งจะใช้เป็นห้องหอในวันพรุ่งนี้ หญิงสาวถูกว่าที่สามีของเธอช่วยชีวิตออกมาจากโลงศพที่ต้องการฝังนางทั้งเป็น และยากเกินกว่าที่ผู้ใดจะหยั่งรู้ได้จะเป็นเพราะสวรรค์ดลใจหรือสิ่งเร้นลับบางอย่างคอยช่วยเหลือเธอมาโดยตลอดนั้นเรื่องนี้ก็ยา
ในขณะเดียวกันป่าไผ่เขียว อาชาตัวมหึมาควบห้อตะบึงมุง่หน้ามายังบริเวณป่าที่เต็มไปด้วยต้นไผ่ลำมหึมายืนต้นสูงแผ่กิ่งก้านจนบดบังแสงอาทิตย์ไม่สามารถแทงลำแสงลงสู่เบื้องล่างได้ จนทำให้ทั่วบริเวณดังกล่าวนั้นมืดครึ้มไปหมด ในขณะที่ดวงตาสีสนิมเหล็กดุจพญาเหยี่ยวของตงฉ่างโหวจับจ้องอยู่ตรงหน้าอยู่ตลอดเวลาพร้อมสังเกตไปรอบกาย ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อม้าคู่ใจวิ่งมาถึงลานป่าไผ่ยืนต้นสูงเรียงรายล้อมรอบเป็นวงกลมคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวล้อมรอบไปด้วยต้นไผ่เขียวมากมายยืนต้นสูง “อะไรกันนี่!”ตงฉ่างโหวเอ่ยออกมาทันที เบื้องหน้าในขณะนี้ปรากฏดอกอวี้หลันสีม่วงปกคลุมพื้นดินจนมีรูปร่างคล้ายหลุมฝังศพ ครั้นหันไปสำรวจทั่วบริเวณกลับไม่ปรากฏต้นอวี้หลันอยู่ภายในบริเวณนั้นแม้แต่น้อย ครั้นแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบนก็ไม่ปรากฏแหล่งที่มาของดอกไม้ดังกล่าวนำพาความแปลกใจให้แก่ท่านโหวหนุ่มยิ่งนัก ดวงตาคมกล้าจับจ้องอยู่แต่ดอกอวี้หลันที่อยู่ตรงหน้าเช่นนั้นและจดจำขึ้นมาได้ทันทีเมื่อดอกไม้นี้ สตรีที่อยู่ในหัวใจชอบมากที่สุด “ดอกอวี้หลันสีม่วง ดอกไม้ของมี่มี่!!!
ป่าไผ่เขียว ทั่วทั้งบริเวณของต้นไผ่ที่สูงชะลูดแข่งขันกัน แผ่กิ่งก้านที่เต็มไปด้วยใบไผ่สีเขียวปกคลุมจนทำให้มืดครึ้ม แสงแดดจากท้องฟ้าเบื้องบนสาดแสงลงสู่เบื้องล่าวได้เพียงน้อยนิด สาเหตุเพราะถูกกิ่งที่เต็มไปด้วยใบไผ่มากมายปิดบังเอาไว้ ทำให้แสงแดดของเวลากลางวันทอแสงรำไรพุ่งตรงลงสู่พื้นดินเบื้องล่างมองเห็นได้เป็นย่อมๆ เพียงเท่านั้น พื้นดินตรงบริเวณที่เป็นหลุมฝังศพของลี่มี่มี่ซึ่งถูกฝังไปเมื่อครู่ที่ผ่านมา บัดนี้ใต้พื้นดินเบื้องล่างกำลังเกิดสงครามระหว่างลี่มี่มี่กับโลงศพ เมื่อเธอถูกฝังทั้งเป็นทั้งที่ยังไม่ตาย ร่างที่กำลังห่อหุ้มอยู่ในผ้าขาวนั้นจึงพยายามดิ้นรนหาทางเอาตัวเองออกไปจากโลงแคบๆ นี้ให้ได้ถึงแม้ว่าอากาศรอดจะมีเพียงแค่ศูนย์เปอร์เซ็นต์ก็ตามแต่ลี่มี่มี่ก็ไม่ยอมแพ้ “ตู้หรูอี้! อย่าให้คนอย่างลี่มี่มี่รอดไปได้นะ ฉันจะกลับไปทวงชีวิตของแก! ต่อให้ตายเป็นผีก็จะไปหักคอแกให้ถึงที่เลยนางคุณหนูหน้าขาว!”ลี่มี่มี่ก่นด่าตู้หรูอี้พร้อมพยายามใช้มือของเธอที่ถูกมัดแน่นอยู่ในขณะนั้นล้วงเข้าไปในอกเสื้อที่ซุกซ่อนบางอย่างเอาไว้อยู่ต







