Masukบริเวณท้ายจวน
ร่างของหญิงสาวสวมอาภรณ์ซึ่งเป็นที่นิยมในศตวรรษที่ 21 กางเกงยีนรัดรูปสีน้ำเงินเข้มสวมทับเสื้อเบี่ยงไหล่แขนข้างเดียวสีดำสนิทเปลือยเรียวแขนขาวโพลนดั่งลำเทียนข้างซ้าย ในขณะที่แขนข้างขวาความยาวของแขนเสื้อแนบยาวคลุมถึงข้อมือ เสื้อนั้นรัดรูปเน้นทรวงอกอวบตามวัยสาว 19 ปีของเธออย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังมีความยาวเพียงแค่เหนือสะดือ มิหนำซ้ำกางเกงยีนที่สวมอยู่ยังเอวต่ำเปิดเปลือยหน้าท้องขาวนวลเนียนโชว์สะดือสวยรับกับสะโพกกลมกลึงและช่วงขาเรียวยาว สวมรองเท้าบูธสีดำยาวจนเลยเหนือเข่าไปอีกหนึ่งคืบ ปลายส้นร้องเท้าบูธสูงถึงสี่นิ้วยิ่งทำให้เธอสูงระหงมากยิ่งขึ้นไปอีก ลี่มี่มี่นั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่ตรงหน้าบ่อน้ำมาตลอดทั้งคืน หญิงสาวไม่ยอมลุกเดินไปไหนด้วยเพราะเธอกำลังสับสนและตกใจอย่างสุดขีดกับเหตุการณ์ประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเธออยู่ในเวลานี้ ด้วยยังหวังอยู่ภายในใจลึกๆ ว่าหากยังนั่งอยู่ตรงนี้หญิงสาวจะได้กลับไปในยุคที่เธอจากมาก็อาจเป็นได้ หากแต่กลับไม่เป็นไปอย่างที่คิดเพราะลี่มี่มี่นั่งกอดเข่าอยู่หน้าบ่อน้ำดังกล่าวมาตลอดทั้งคืน จวบจนกระทั่งรุ่งอรุณของเช้าวันใหม่ได้เข้ามาเยือน แสงสีทองเริ่มปรากฏขึ้นอยู่บนขอบฟ้าเข้ามาแทนที่ เวลาแห่งรัตติกาลเลือนหาย ความสว่างค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาทีละน้อย ทีละน้อยจนกระทั่งสว่างไปทั่วบริเวณจนสะท้อนเงาดำทะมึนของหญิงสาวตรงบ่อน้ำ “เช้าแล้วหรือนี่!”ลี่มี่มี่ส่งเสียงพึมพำดวงตาเริ่มกลอกไปมา หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากท่านั่งกอดเข่ามาตลอดทั้งคืนพร้อมสร้อยคอที่เป็นล็อคเก็ตข้างในมีรูปถ่ายของหญิงสาวปรากฏเฉพาะใบหน้าสวยคมเฉี่ยว ท่ามกลางเส้นผมสีดำสนิทแสกกลาง ดวงตาคมลึกภายใต้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองจิกคนที่กำลังมองภาพเธออยู่ตลอดเวลาอยู่ทางด้านบน ในขณะที่ด้านล่างคือนาฬิกาบอกเวลาซึ่งลี่มี่มี่พกติดกายอยู่เสมอ “นาฬิกาตาย!”หญิงสาวกล่าวออกมาทันทีครั้นเห็นเช่นนั้น “ตายตอนห้าโมงห้านาที แล้วตอนนี้เวลาอะไรแล้วก็ไม่รู้”หญิงสาวบ่นพึมพำ ทันใดนั้นเอง เสียงผู้คนเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าด้านนอกกำแพงจวนเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือนผู้คนก็ต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำงานหาเลี้ยงชีพและครอบครัวกันต่อไป ครั้นเวลากลางคืนมาเยือนบริเวณจวนสกุลหลินที่มีอาณาเขตกินพื้นที่ยาวนับหนึ่งกิโลจะไร้สิ้นผู้คนเดินสัญจรไปมาอย่างสิ้นเชิง ด้วยความหวาดกลัวกันอย่างถ้วนหน้า สาเหตุเพราะจวนขุนนางที่ถูกสั่งประหารล้างตระกูลนั้นจะเต็มไปด้วยวิญญาณมากมายที่มีแต่แรงแค้นและอาฆาตจองเวรอย่างยิ่งยวด นอกจากจวนสกุลหลินแล้ว ที่อยู่ไม่ไกลกันเสียเท่าใดนักก็เป็นจวนสกุลฟางและจวนสกุลจั่วซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกัน ล้วนตกอยู่ในสภาพเดียวกันทั้งสิ้น หลายจวนถูกปิดตายห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ ประตูถูกคล้องกุญแจอย่างหนาแน่นทุกทางเข้าออก ซึ่งจวนสกุลหลินมีประตูทางเข้าออกทั้งหมดห้าประตูด้วยกัน ล้วนถูกปิดตายและมีหมายจากทางการปิดเอาไว้ทุกทิศ “ผักสวยๆ เพิ่งตัดใหม่วันนี้เลย” “ปลาไหมจ๊ะปลา จับมาเมื่อเช้าตรู่เอาไหม” “ซาลาเปาร้อนๆ เนื้อแน่นฟูรสชาติล้ำเลิศที่สุดในเป่ยจิง!” เสียงพ่อค้าพ่อแม่ค้าต่างส่งเสียงเรียกลูกค้าจนเอ็ดอึงไปหมดการค้าเริ่มคึกคักอย่างเห็นได้ชัด และเสียงร้องเรียกดังกล่าวมีหรือที่ลี่มี่มี่จะไม่ได้ยิน จ๊อกกกกก!!! เสียงน้ำย่อยในกระเพาะร้องออกมาอย่างดังจนต้องใช้มือกดท้องของตัวเองเอาไว้ ร่างงามระหงยันกายลุกขึ้นยืนจากพื้นมาอย่างทุลักทุเลเพราะนั่งอยู่ในท่าเดียวเช่นนั้นตลอดทั้งคืน โดยใช้มือทั้งสองข้างคว้าขอบบ่อพร้อมลุกขึ้นยืนมาได้ในที่สุดก่อนจะกวาดสายตาไปมาจนทั่วบริเวณ “นี่มันเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอที่เราหวนคืนกลับมาที่จวนสกุลหลินในอดีต”ลี่มี่มี่พูดพึมพำพลางกวาดสายตามองต้นอวี้หลัน ฉับพลันเธอเห็นภาพในอดีตว่าแถวกำแพงด้านหลังของจวนจะมีบันไดที่บรรดาบ่าวใช้พาดกับลำต้นเพื่อขึ้นไปตัดแต่งกิ่งอวี้หลันให้สวยงาม “แถวนี้จะต้องมีบันไดที่พวกบ่าวเอาไว้ขึ้นไปตัดแต่งกิ่งต้นไม้ แต่ว่าตอนนี้มันผ่านไปนานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ จะให้แน่ใจต้องปีนกำแพงขึ้นไปดูคนข้างนอกว่ามันเป็นอย่างไง อย่างน้อยถ้าเห็นตึกสูงในปักกิ่งที่ตั้งห่างออกไปทางทิศตะวันออกของพระราชวังต้องห้ามนั่นก็หมายความว่าเราไม่ได้ถูกย้อนเวลากลับมา แค่เห็นภาพหลอนลวงตาเท่านั้น”ลี่มี่มี่ยังคงพยายามคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ร่ำไป หญิงสาวค่อยๆ ก้าวเดินฝ่ากองใบไม้ที่ร่วงหล่นจนสูงท่วมเต็มพื้นไปหมดก่อนจะเหลือบสายตาไปเห็นไม้สีน้ำตาลโผล่ออกมาจากกองใบไม้ดังกล่าว ลี่มี่มี่ไม่รอช้ารีบเดินตรงไปอย่างรวดเร็วจากจุดที่บ่อน้ำตั้งอยู่ถัดออกไปไม่ถึงห้าสิบเมตร ทันทีที่ไปถึงสองมือรีบปัดใบไม้ออกจนเห็นบันไดอย่างชัดเจน “มีอยู่จริงๆ ด้วย”ลี่มี่มี่พูดออกมาด้วยความแปลกใจ ร่างระหงยืนมองอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตัดสินใจรีบยกบันไดดังกล่าวพาดไปตามกำแพงจวนพร้อมขยับและจัดวางองศาให้มั่นคงเพื่อที่เธอจะได้ปีนขึ้นไปได้ “เอาละที่นี้จะได้ปีนขึ้นไปดูเสียที จะได้รู้กันไปเลยว่ามันเป็นอย่างไง”ลี่มี่มี่พูดพร้อมรีบปีนขึ้นบันไดพลางไต่ขึ้นไปอย่างรวดเร็วจวบจนกระทั่งลำตัวโผล่พ้นจากขอบกำแพงจวนขึ้นมาถึงครึ่งตัว หา! เสียงอุทานดังขึ้นออกมาด้วยความตกใจสุดขีดอีกครั้งเมื่อหญิงสาวเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในขณะนี้ นอกกำแพงจวนสกุลหลินคือถนนที่ทอดยาวหลายร้อยเมตรเลยทีเดียว ซึ่งในยุคปัจจุบันคือถนนหนานโหลวกู่เซียง และเป็นถนนคนเดินใหญ่ที่สุดในมหานครปักกิ่ง และยังเป็นสถานที่ทางรัฐบาลประกาศเป็นเขตอนุรักษ์ทางวัฒนธรรมเพราะมีบ้านเรือนในต้นยุคราชวงศ์เมืองหมิงยังคงหลงเหลือให้เห็นมาจนถึงศตวรรษที่ 21 ถัดออกไปคือพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเชื่อมติดต่อกันเป็นบริเวณคือพื้นที่ของพระราชวังต้องห้าม ซึ่งในเวลานี้มีเพียงผืนป่ากว้างใหญ่ไม่ปรากฏพระราชวังชื่อก้องที่โลกในอนาคตต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีไปทั่วทวีปแต่อย่างใด ด้วยในช่วงเวลาดังกล่าวพระราชวังแห่งนี้ยังไม่ถูกสร้างขึ้นนั้นเอง และที่สำคัญไม่ปรากฏตึกสูงระฟ้าของมหานครปักกิ่งที่อยู่นอกเขตพระราชวังต้องห้ามแต่อย่างใด มีเพียงบ้านเรือนในสมัยโบราณและจวนขุนนางน้อยใหญ่ปรากฏเข้ามาแทนที่ ตึงสูงระฟ้าเลือนหายมีแต่ผู้คนกำลังเดินขวักไขว่ไปมาสวมอาภรณ์โบราณที่พบเห็นในละครพีเรียดหรือภาพยนตร์จีนในยุคปัจจุบันกันทุกคน อุบ! ลี่มี่มี่ยกมือขึ้นปิดปากของตัวเองเอาไว้ทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะพยายามกลอกตาไปมาหรือจะสำรวจไปทั่วบริเวณกี่ครั้งภาพตรงหน้าก็ยังคงเหมือนเดิม และไม่ว่าจะพยายามหลับตาและเปิดขึ้นมาใหม่อีกสักกี่ครั้งทุกอย่างก็ไม่แปรเปลี่ยนไปแต่อย่างใด “ฉันถูกพากลับมาจริงๆ หรือนี่”ลี่มี่มี่แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาแต่ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่เกิดขึ้นนี้ได้ ลี่มี่มี่ค่อยๆ ไต่บันไดลงมาอย่างอ่อนแรง หัวสมองมึนตึ้บไปหมดไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจัดการกับชีวิตของเธออย่างไรต่อไปดี ศีรษะพิงไปกับกำแพงจวนพยายามครุ่นคิดอย่างหนักถึงสาเหตุที่ถูกนำกลับมาในอดีตเช่นนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้มีแต่ความสับสนและอาการตกใจเสียมากกว่า “โลกคู่ขนานมีอยู่จริง! เราถูกทำนำกลับมาที่นี่มันจะต้องมีสาเหตุอย่างแน่นอนแต่จะหาคำตอบได้อย่างไงกันเล่า จะได้กลับไปเมื่อไรก็ไม่รู้ ป่านนี้เสี่ยวเซียนกับเสี่ยวม่านคงตามหาจนวุ่นวายไปหมดแน่ๆ”ลี่มี่มี่ยืนพูดพึมพำพลางมองตรงไปในเขตพื้นที่อันเป็นที่ตั้งของเรือนน้อยใหญ่ เพียงครู่ลี่มี่มี่พลันนึกขึ้นมาได้ว่าสมบัติของสกุลหลินซุกซ่อนเอาไว้ที่ไหน เพราะหลินลี่ชาเป็นบุตรีคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกและหลินเหยียนเจิ้ง ดังนั้นผู้ปกครองจวนคนต่อไปก็คือนางหากยังไม่ได้แต่งงานออกเรือนไป ด้วยเหตุนี้หลินลี่ชาจึงช่วยฮูหยินเซียวเก็บสมบัติอันมีค่าของตระกูลเอาไว้ในสถานที่ลึกลับซึ่งภายในจวนจะมีห้องใต้ดินซุกซ่อนอยู่เหนือความคาดหมายของผู้คน และทางเข้าห้องใต้ดินอยู่ภายในห้องนอนของหลินเหยียนเจิ้งและฮูหยินเซียวนั่นเอง “ถ้าเราคือหลินลี่ชาจริงๆ แล้วละก็สิ่งเดียวที่จะพิสูจน์ได้นั่นก็คือห้องใต้ดินที่ใช้เป็นสถานที่เก็บสมบัติของสกุลหลิน ใช่แล้วต้องไปที่นั่นและเดี๋ยวนี้เลยด้วย”ลี่มี่มี่พูดพร้อมหันกลับไปมองเรือนที่ตั้งห่างออกไปจากบริเวณสวนหลังบ้าน สองขาก้าวเดินนำเธอไปราวกับคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักรีบหันหลังกลับเดินตรงมาที่บ่อน้ำคว้าถุงหูหิ้วของเธอมากมายซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องสำอางคแบรนดแนมยี่ห้อดังที่เพิ่งซื้อจากห้างสรรพสินค้า เพื่อจะนำไปทำคลิปสอนแต่งหน้าและใช้สำหรับในการแสดงงิ้วของเธอ “เกือบลืมไปเลยทิ้งเอาไว้แบบนี้ไม่ได้ ของทำมาหากินทั้งนั้นหมดเงินซื้อไปตั้งหลายหมื่นหยวนเลย”ลี่มี่มี่บ่นพึมพำ คนงามหิ้วถุงพะรุงพะรังเต็มสองแขนรีบเดินไปตามทางเดินเพื่อตรงเข้าไปที่เรือนนอนมากมาย แยกออกมาเป็นสัดส่วนตามปกติของครอบครัวซึ่งมีสมาชิกมากมายกว่าสองร้อยชีวิตเลยทีเดียว ร่างงามระหงเดินไปตามเส้นทางที่ทอดยาวผ่านเรือนนอนมากมาย ราวกับว่าคุ้นเคยและชำนาญเส้นทางเป็นอย่างดีว่าแต่ละเรือนนั้นมีไว้เพื่อทำอะไร บางเรือนแยกออกไปและมีอาณาเขตส่วนตัวอีกต่างหาก นั่นหมายถึงเป็นครอบครัวอาศัยอยู่พร้อมมีบ่าวรับใช้และคนคอยดูแล ซึ่งจวนสกุลหลินมีบุตรชายถึง 15 คน จึงทำให้มีสะใภ้มากมายถึง 11 คนที่ยังเยาว์วัยอายุไล่เลี่ยกันยังไม่ถึง 15 ปีมีทั้งหมด 4 คน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีรุ่นหลานอีกเป็นจำนวนมากนั่นเองห้าปีผ่านไป จวนตงฉ่าง จวนตงฉ่างในเวลานี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กเล็กๆกำลังส่งเสียงหัวเราะไม่เว้นแต่ละวัน จวนตงฉ่างหรือจวนสกุลหลินในอดีตเต็มไปด้วยเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลด บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบงันและความหดหู่ปกคลุมไปทั่วจวบจนกระทั่งจวนสกุลหลินได้กลายมาเป็นจวนตงฉ่าง ซึ่งเจ้าของจวนเป็นถึงผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร และจากเหตุการณ์ในอดีตซึ่งมีเรื่องราวสลับซับซ้อนได้ถูกเปิดเผย จนทำให้ล่วงรู้ว่าอดีตเสนาบดีเกาจิ้งหยวนเจ้ากรมคลังและอดีตเสนาบดีหลินเหยียนเจิ้งเจ้ากรมพลเรือน แท้จริงแล้วคือขุนนางผู้ภักดีแต่ความภักดีนั้นกลับทำให้เกิดเรื่องน่าสลดเพราะถูกให้ร้ายจากคนโฉด และมลทินทั้งหลายได้ถูกชะล้างไปหมดสิ้นเมื่อทุกอย่างถูกเปิดเผย ด้วยเหตุนี้สกุลหลินและสกุลเกาจึงได้รับความบริสุทธิ์กลับคืน ลี่มี่มี่คือทายาทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของสกุลหลินเพียงหนึ่งเดียวที่ได้ทำให้ตระกูลของเธอได้รับความเป็นธรรมกลับคืนมา
คุกตงฉ่าง สตรีร่างเล็กในชุดนักโทษกำลังนั่งตัวชาในท่านั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นห้องขัง ตู้หรูอี้แทบสิ้นสติเมื่อได้ยินเสียงประกาศราชโองการขององค์จักรพรรดิถูกนำมาคุกตงฉ่างหลังจากที่ได้นำไปประกาศที่จวนเซี่ยเสิ้งกั๋วกง โดยเจิ้งหลี่เม่าเป็นผู้ประกาศราชโองการดังกล่าว ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโวยวายของอดีตคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ไม่ยอมรับความจริงกับชะตากรรมของตระกูลที่เกิดขึ้นและจบลงในเวลาอันรวดเร็ว “ท่านพ่อของข้าถูกใส่ร้าย! ข้าไม่เชื่อ! พ่อข้าไม่ใช่กบฏ..พวกเจ้าให้ร้ายตระกูลของข้า เจ้าพวกโฉดชั่ว”ตู้หรูอี้ก่นด่ากราด “จะกล่าวโทษผู้ใดก็จงดูการกระทำของเจ้าด้วยนะ สิ่งที่ทำลงไปสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่นมากแค่ไหน สำนักรู้ได้หรือเปล่าก็ไม่ล่วงรู้ ตอนนี้เจ้าคือนักโทษประหารที่จะต้องถูกตัดหัวกลางแจ้งต่อหน้าประชาชน นี่คือสิ่งที่เจ้าและพ่อรวมไปถึงคนในตระกูลสร้างเอาไว้ตายทีเดียวสิบชั่วโคตร แต่ก่อนจะถูกประหารมีคนอยากพบเจ้าและคนผู้นี้เจ้าเองก็ลงมือสังหารนางมาแล้วถึงสองครั้งสองครา”หลี่เม่ากล่าวพร้อมก้าวเดินออกไปจากห้องคุมขังนักโทษที่ลึกอยู่ชั้นในสุดอย่างมิด
จวนเซี่ยเสิ่งกั๋วกงร่างสันทัดของตู้เหมิ่งห้าวกำลังไล่ตรวจบันทึกทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลตู้ ที่ปีนี้งอกเงยจากปีก่อนขึ้นมานับเท่าทวีคูณ ในขณะที่เรื่องราวของบุตรสาวคนโปรดยังไม่ล่วงรู้ถึงหู ด้วยเพราะนางบอกแต่เพียงว่าจะเดินทางไปปฏิบัติธรรมเพื่อบำบัดจิตใจให้คลายความทุกข์ลงไปได้บ้าง โดยไม่ล่วงรู้เลยว่าบัดนี้ตู้หรูอี้ได้นำหายนะครั้งยิ่งใหญ่มาสู่ตระกูลของตัวเอง ทันทีที่เปิดเผยเรื่องราวในอดีตว่าแท้จริงแล้วเป็นนางที่วางแผนฆ่าคุณหนูสิบหก หลินลี่ชาแห่งสกุลหลิน โดยการยืมมือซือกงกงเป็นผู้สังหารเพื่อกำจัดสตรีที่ถูกจับจองให้เป็นฮูหยินข้างกายชายที่นางหลงรัก อีกทั้งลูกสมุนที่ถูกส่งไปทำงานใหญ่โดยการลักพาตัวลี่มี่มี่มากักขังไว้ในสถานที่คุมขังที่จัดเตรียมเอาไว้ก็ยังไม่ส่งข่าวมาแจ้งว่าลงมือทำงานไปถึงไหน นั่นเป็นเพราะลูกสมุนทั้งหมดถูกกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรล้อมจับเอาไว้ได้ทั้งหมด รวมไปถึงตู้หรูอี้บุตรีคนโปรดของหัวหน้าสภาขุนนางคนปัจจุบันเป็นหนึ่งในผู้ถูกจับด้วยเช่นกัน ด้วยข้อหาฉกรรจ์เจตนาฆ่าเจ้าสาวของผู
จวนตงฉ่าง เรือนชิงเหลียน เรือนใหญ่ซึ่งถูกตกแต่งเอาไว้เป็นอย่างดี พรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องเรือนมากมายที่ลี่มี่มี่เลือกจัดวางมาลงที่เรือนดังกล่าวด้วยตัวเองทั้งสิ้น ทั่วทั้งบริเวณตลอดทั้งภายนอกและภายในประดับด้วยผ้าแดงมงคลเต็มไปหมด ตลอดจนทั่วทั้งจวนด้วยในวันพรุ่งนี้ก็จะถึงพิธีสมรสของตงฉ่างโหวและพิธีขึ้นจวนใหม่ไปพร้อมกัน เรือนชิงเหลียนในอดีตนั้นก็คือที่พำนักของหลินเหยียนเจิ้งและฮูหยินเซียว บิดาและมารดาของหลินลี่ชา คุณหนูสิบหกของตระกูลหลินผู้เป็นดวงใจของพ่อและแม่ ภายในห้องนอนปรากฏร่างของลี่มี่มี่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียงนอนขนาดใหญ่ซึ่งจะใช้เป็นห้องหอในวันพรุ่งนี้ หญิงสาวถูกว่าที่สามีของเธอช่วยชีวิตออกมาจากโลงศพที่ต้องการฝังนางทั้งเป็น และยากเกินกว่าที่ผู้ใดจะหยั่งรู้ได้จะเป็นเพราะสวรรค์ดลใจหรือสิ่งเร้นลับบางอย่างคอยช่วยเหลือเธอมาโดยตลอดนั้นเรื่องนี้ก็ยา
ในขณะเดียวกันป่าไผ่เขียว อาชาตัวมหึมาควบห้อตะบึงมุง่หน้ามายังบริเวณป่าที่เต็มไปด้วยต้นไผ่ลำมหึมายืนต้นสูงแผ่กิ่งก้านจนบดบังแสงอาทิตย์ไม่สามารถแทงลำแสงลงสู่เบื้องล่างได้ จนทำให้ทั่วบริเวณดังกล่าวนั้นมืดครึ้มไปหมด ในขณะที่ดวงตาสีสนิมเหล็กดุจพญาเหยี่ยวของตงฉ่างโหวจับจ้องอยู่ตรงหน้าอยู่ตลอดเวลาพร้อมสังเกตไปรอบกาย ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อม้าคู่ใจวิ่งมาถึงลานป่าไผ่ยืนต้นสูงเรียงรายล้อมรอบเป็นวงกลมคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวล้อมรอบไปด้วยต้นไผ่เขียวมากมายยืนต้นสูง “อะไรกันนี่!”ตงฉ่างโหวเอ่ยออกมาทันที เบื้องหน้าในขณะนี้ปรากฏดอกอวี้หลันสีม่วงปกคลุมพื้นดินจนมีรูปร่างคล้ายหลุมฝังศพ ครั้นหันไปสำรวจทั่วบริเวณกลับไม่ปรากฏต้นอวี้หลันอยู่ภายในบริเวณนั้นแม้แต่น้อย ครั้นแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบนก็ไม่ปรากฏแหล่งที่มาของดอกไม้ดังกล่าวนำพาความแปลกใจให้แก่ท่านโหวหนุ่มยิ่งนัก ดวงตาคมกล้าจับจ้องอยู่แต่ดอกอวี้หลันที่อยู่ตรงหน้าเช่นนั้นและจดจำขึ้นมาได้ทันทีเมื่อดอกไม้นี้ สตรีที่อยู่ในหัวใจชอบมากที่สุด “ดอกอวี้หลันสีม่วง ดอกไม้ของมี่มี่!!!
ป่าไผ่เขียว ทั่วทั้งบริเวณของต้นไผ่ที่สูงชะลูดแข่งขันกัน แผ่กิ่งก้านที่เต็มไปด้วยใบไผ่สีเขียวปกคลุมจนทำให้มืดครึ้ม แสงแดดจากท้องฟ้าเบื้องบนสาดแสงลงสู่เบื้องล่าวได้เพียงน้อยนิด สาเหตุเพราะถูกกิ่งที่เต็มไปด้วยใบไผ่มากมายปิดบังเอาไว้ ทำให้แสงแดดของเวลากลางวันทอแสงรำไรพุ่งตรงลงสู่พื้นดินเบื้องล่างมองเห็นได้เป็นย่อมๆ เพียงเท่านั้น พื้นดินตรงบริเวณที่เป็นหลุมฝังศพของลี่มี่มี่ซึ่งถูกฝังไปเมื่อครู่ที่ผ่านมา บัดนี้ใต้พื้นดินเบื้องล่างกำลังเกิดสงครามระหว่างลี่มี่มี่กับโลงศพ เมื่อเธอถูกฝังทั้งเป็นทั้งที่ยังไม่ตาย ร่างที่กำลังห่อหุ้มอยู่ในผ้าขาวนั้นจึงพยายามดิ้นรนหาทางเอาตัวเองออกไปจากโลงแคบๆ นี้ให้ได้ถึงแม้ว่าอากาศรอดจะมีเพียงแค่ศูนย์เปอร์เซ็นต์ก็ตามแต่ลี่มี่มี่ก็ไม่ยอมแพ้ “ตู้หรูอี้! อย่าให้คนอย่างลี่มี่มี่รอดไปได้นะ ฉันจะกลับไปทวงชีวิตของแก! ต่อให้ตายเป็นผีก็จะไปหักคอแกให้ถึงที่เลยนางคุณหนูหน้าขาว!”ลี่มี่มี่ก่นด่าตู้หรูอี้พร้อมพยายามใช้มือของเธอที่ถูกมัดแน่นอยู่ในขณะนั้นล้วงเข้าไปในอกเสื้อที่ซุกซ่อนบางอย่างเอาไว้อยู่ต







