로그인บทที่ 3.2 ยัยปลาปักเป้า
“เรียนต่อเมืองนอก!”
คุณนายจิตตาแผดเสียงลั่นเมื่อลูกชายที่ใกล้จะเรียนจบ ม.3 ในอีกไม่ถึงเดือน เดินเข้ามาพูดคุยถึงแผนการเรียนต่อที่ตนเองวางเอาไว้โดยไม่ได้ปรึกษามารดาก่อน
“ใช่ครับ ผมคุยกับคุณป้าแล้ว คุณป้าบอกว่าจะจัดเตรียมทุกอย่างที่นู่นไว้ให้ ผมต้องการเรียนต่อไฮสกูลกับมหาวิทยาลัยที่นั่นเลย ทีแรกก็ลังเลเพราะเป็นห่วงคุณแม่ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว เพราะมีคนคอยประจบสอพลอเอาใจคุณแม่อยู่ตลอดเวลา”
พูดพลางหันสายตาไปทางเด็กหญิงที่เดินเอาน้ำผลไม้กับขนมเข้ามาเสิร์ฟตามคำสั่งของมารดาที่กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว จิตตาหันไปมองทางณัฐนิชาด้วยความตกใจ ไม่อยากให้เด็กตัวน้อย ๆ ไม่รู้ประสีประสาต้องมาได้ยินคำพูดแบบนี้
“อย่าพูดอย่างนี้นะคิมหันต์ น้องยังเด็ก อีกอย่างแม่บอกแกกี่ครั้งแล้วว่าสองแม่ลูกไม่เหมือนคนอื่น แม่ต้องช่วยเหลือป้าพรกับลูกเพราะแม่เองก็ติดหนี้บุญคุณเขา”
“ผมรู้ครับ ไอ้หนี้บุญคุณที่ว่าคุณแม่เคยไปฝากท้องกับครอบครัวป้าพรสมัยเรียนบ่อย ๆ นั่น ผมฟังทุกวันจนจำขึ้นใจแล้วครับ แต่นั่นมันคือหนี้ของแม่ ไม่ใช่ของผม แล้วทำไมผมต้องร่วมชดใช้ไปกับคุณแม่ด้วย”
คิมหันต์โต้เถียงไม่ยอมแพ้ ด้วยอายุของเด็กหนุ่มในตอนนี้ยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ อยากจะเอาชนะ เขาจึงไม่ได้คิดไตร่ตรองเลยว่ามันเป็นคำพูดที่สมควรนำมาใช้กับมารดาหรือเปล่า
“นั่นสินะ มันคือหนี้ของแม่ไม่ใช่แก แกไม่จำเป็นต้องมารู้สึกติดค้างอะไร ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเลย อยากจะไปเรียนต่อที่ไหน ทำอะไร ก็จัดการเอาเอง แม่จะไม่ห้าม”
“แปลว่าคุณแม่ยอมให้ผมไปใช่ไหม”
เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงดีใจ ในที่สุดเขาก็จะได้หลุดพ้นจากณัฐนิชาเสียที ทุกวันนี้เพื่อน ๆ เข้าใจว่าเขามีน้องสาวจริง ๆ ไปหมดแล้ว
“ตามใจแกเลย ไม่ต้องมาเห็นหัวหงอกหัวดำอย่างแม่หรอก”
“คุณแม่...”
จิตตาไม่ตอบอะไรลูกชาย เดินเข้าไปจับมือเด็กหญิงที่นั่งตากลมมองสองแม่ลูกคุยกันแต่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเดียว แล้วพาออกไปด้วยกัน
“ไปกับป้าดีกว่านะ ไปดูว่าคุณแม่ทำอะไรกินเย็นนี้ดีไหมจ๊ะ”
“ดีค่ะคุณป้า”
ณัฐนิชายิ้มกว้างแล้วเดินออกไปพร้อมกับจิตตา ไม่วายหันกลับมามองทางคิมหันต์อีกรอบ ท่าทางของเด็กหนุ่มดูเศร้าเสียใจขณะมองตามหลังมารดาของตนเอง
การตัดสินใจไปเมืองนอกในครั้งนี้ นอกจากจะไปเพื่ออนาคตที่ต้องการแล้วยังเพื่อหนีไปจากณัฐนิชาที่มารดาพยายามยัดเยียดเข้ามาในชีวิตของเขาเหลือเกิน ตั้งแต่นี้ไปเด็กหญิงจะไม่ได้อยู่ในทุกช่วงชีวิตของเขาอีก
กว่าครึ่งปีที่ต้องคอยดูแลเธอตามคำสั่งจะได้จบลงเสียที..
ตึก...ตึก...ตึก...
ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาไปได้ไม่กี่วินาที เด็กหญิงที่เขาอยากจะสลัดให้หลุดจากชีวิตก็เดินกลับเข้ามาในห้องรับแขก เธอมาพร้อมกับอมยิ้มหนึ่งอันยื่นให้เขา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน หรี่ตามองการกระทำของยัยเด็กน้อยด้วยความสงสัย
ขออยู่คนเดียวสักห้านาทีมันจะตายหรืออย่างไร
“อะไร”
“หนูให้ค่ะ”
ยื่นให้พร้อมยิ้มเอียงคอไปมาโดยในปากของเธอคาบอยู่แล้วอันหนึ่ง ดวงตาคมจับจ้องไปยังแก้มพอง ๆ ของเด็กหญิง ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มเข้าไปอย่างลืมตัว
“ยัยปลาปักเป้า”
“หนูเป็นปลาปักเป้าให้พี่คิมได้นะคะ”
เธอวางลูกอมที่จะให้เขาลงกับโต๊ะก่อนจะหยิบอีกอันออกมาจากในกระเป๋ากางเกงแล้วแกะเปลือกออก อมเข้าไปในปากอีกข้างทำให้ตอนนี้แก้มทั้งสองตุ่ยเท่า ๆ กัน การกระทำของเด็กหญิงทำคิมหันต์หลุดยิ้มออกมา
ณัฐนิชาเห็นเขาเศร้า เลยต้องการมาปลอบตามประสาเด็ก ๆ
“ยัยปลาปักเป้าน่ารำคาญ”
แม้ปากจะพูดจาไม่ดีใส่ แต่มือก็เอื้อมไปหยิบลูกอมที่เด็กหญิงเอามาให้แล้วแกะเข้าปาก รสชาติความหวานของมันทำเอาความรู้สึกแย่ก่อนหน้านี้ค่อย ๆ เบาบางลง
หลังจากไปเมืองนอกแล้ว ชีวิตของเขาจะหลุดพ้นจากเด็กคนนี้ได้จริง ๆ ใช่ไหม...
ไม่รู้ทำไมในความคิดของคิมหันต์ถึงตั้งคำถามนี้ขึ้นมา?
บทที่ 17 ข้อแลกเปลี่ยนเหตุการณ์เมื่อคืนทำเอาอ่อนแรงจนไม่สามารถตื่นเช้าได้อย่างปกติ ณัฐนิชาลืมตาขึ้นมาในตอนสายของอีกวัน แสงจากพระอาทิตย์สาดส่องเข้ามาภายในห้อง สิ่งแรกที่หล่อนมองหาคือคิมหันต์ ทว่ากลับว่างเปล่าไร้ซึ่งเงาของอีกฝ่าย มีแค่เธอที่นอนหลับคนเดียวบนเตียงนี้หลงนึกว่าจะได้ตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเขาเสียอีก...คนตัวเล็กลุกจากที่นอนเพื่อกลับห้องของตนเอง สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับคิมหันต์คงเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบของอีกฝ่ายบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์เท่านั้น ความเศร้าเสียใจกับเรื่องของมารดาทำให้ชายหนุ่มขาดความยับยั้งชั่งใจ เพราะหากเป็นตัวเขาในแบบปกติ หล่อนเชื่อว่าเขาคงรังเกียจที่จะสัมผัสตัวของเธอณัฐนิชายืนมองเงาะสะท้อนของเธอในกระจก ยังคงหลงเหลือร่องรอยที่คิมหันต์ทิ้งเอาไว้ตามจุดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตรงไหน หล่อนล้วนจำทุกสัมผัสได้ดี มันถูกตอกลงในหัวใจและความรู้สึกจนยากจะลืมสำหรับเขาอาจเป็นความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวด้วยความเมา ทว่าสำหรับหญิงสาวแล้ว...มันคือการเต็มใจให้กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย
บทที่ 16 ปลอบ NCคิมหันต์ผละอ้อมกอดของคนตัวเล็กออก อาจเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือความอ่อนแอในหัวใจ ชายหนุ่มรู้สึกว่าคนตรงหน้าคือที่พึ่งสุดท้ายในตอนนี้ ดวงตาคมที่มักมองหล่อนอย่างดุดันเสมออ่อนลงกว่าเดิมเยอะ คนถูกมองใจเต้นระส่ำแม้จะรู้ว่าเวลานี้ไม่ควร ทว่าท่าทีที่แปลกไปของเขากลับสร้างความหวามหวั่นในใจไม่น้อย“พี่คิม...ทะ...ทำไมจ้องหนูแบบนั้นล่ะคะ”“เธอ...โตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”ถามเสียงเบา เอาแต่จ้องหญิงสาวไม่ละสายตาไปไหน เขาเอาแต่คิดถึงภาพของณัฐนิชาในชุดแต่งงาน ถึงจะพยายามปฏิเสธมาตลอดแต่ดูเหมือนตอนนี้คงได้เวลาต้องยอมรับความจริงเสียทีว่าหล่อนเติบโตมากพอแล้ว...หมับ...“พี่คะ...อื้อ...”มือแกร่งประคองใบหน้าเล็กเข้ามาจูบ คนถูกจู่โจมหลับตาปี๋แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนปล่อยให้ชายหนุ่มทำตามใจ ปากหยักค่อย ๆ แทะโลมทีละนิด ลิ้นชื้นชอนไชเปิดโพรงปากนุ่ม ไม่อาจห้ามความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นมาในตอนนี้ได้เลย เขารู้แต่เพียงว่าต้องการจะสัมผัสจนอดใจไม่ไหว“อื้อ…”
บทที่ 15 อ้อมกอดร่างของคุณนายจิตตาถูกนำใส่โลงสวยงาม เต็มไปด้วยดอกไม้มาวางไว้ที่สวนของบ้าน เพื่อให้ญาติพี่น้องและผู้คนที่ตั้งใจมาร่วมงานได้จุดธูปเคารพศพ ณัฐนิชาและคิมหันต์อยู่ในชุดสีดำคอยยืนไหว้แขกที่มา ใบหน้าหมองคล้ำเต็มไปด้วยความเศร้าโดยเฉพาะหญิงสาวที่ยังมีน้ำตาไหลนองหน้าตลอดเวลาร่มโพธิ์ร่มไทรของเธอจากไปแล้ว...ตอนรู้ข่าวจากทางโรงพยาบาลก็เหมือนวิญญาณถูกกระชากออกไป ไม่นานมานี้หล่อนยังยิ้มแย้มหัวเราะกับคุณนายจิตตาอยู่เลย ยังได้กินของอร่อยด้วยกัน ไปข้างนอกด้วยกัน อ่านหนังสือด้วยกัน ได้ทำหลาย ๆ อย่างด้วยกันจนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว การสูญเสียครั้งนี้หนักหนาพอๆ กับครั้งที่ณัฐนิชาสูญเสียมารดาไป“เสียใจด้วยนะคิมหันต์”ญาติพี่น้องพากันมองเขาด้วยสายตาเวทนา นอกจากจะเสียพ่อตั้งแต่ยังเด็ก ก็ต้องมาเสียแม่ต่อทั้งที่ชีวิตเพิ่งเริ่มต้น ชายหนุ่มไม่พูดคุยกับใครอีกเลยตั้งแต่มารดาจากไปเมื่อวานซืนเขายังปากดีต่อล้อต่อเ
บทที่ 14 แม่รักคิมนะลูก“หนูขอตัวก่อนนะคะ”เมื่อมาถึงบ้าน หญิงสาวก็แยกตัวกลับไปที่ห้องเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนทันที คิมหันต์เองก็เช่นกัน เขากลับขึ้นไปบนห้องของตนเอง ถอดสูทตัวนอกออกแล้วนั่งลงบนเตียงด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ในหัวคิดถึงคำพูดของณัฐนิชาตอนอยู่บนรถ‘คนเราแค่เป็นหวัดยังรู้สึกเหนื่อยและไม่สบายตัวเลยไม่ใช่หรือคะ นับประสาอะไรกับโรคมะเร็ง...’เป็นคำตอบที่ไม่ได้อธิบายชัดเจนแต่กลับทำให้เขาเข้าใจได้ว่าที่ผ่านมามารดาต้องเจ็บปวดแค่ไหน ภาพตอนเด็ก ๆ เวลาชายหนุ่มไม่สบาย เป็นไข้ที่ถึงแม้จะเพียงน้อยนิด แต่ผู้เป็นแม่ก็คอยดูแลเช็ดตัวเป็นอย่างดีไม่เคยห่าง ทุกครั้งที่ลูกชายไม่สบาย คุณนายจิตตาจะแทบไม่ได้นอนนอกจากต้องคอยวัดไข้ป้อนยาแล้ว ยังต้องเช็ดตัวตลอดเพื่อให้ไข้ลด มันคือสิ่งที่มารดาของเขาทำเป็นประจำตั้งแต่คิมหันต์ยังเด็ก ทว่าเมื่อถึงเวลาที่ชายหนุ่มควรได้ดูแลเวลาแม่ป่วยไข้บ้างกลับไม่ได้ทำสิ่งนั้น ความคิดที่ว่าท่านคือบ้าน คือคนที่หันมาเมื่อไหร่ก็เจอเป็นความคิดที่ผิดแบบสุด ๆคิมห
บทที่ 13 แม่ของผมณัฐนิชาคอยดูแลปรนนิบัติคุณนายจิตตาเป็นอย่างดีหลังมาถึงโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษา คนป่วยปลอดภัยแล้วจึงถูกย้ายมาห้องพักพิเศษ ก่อนหน้านี้ทนายไตรรัตน์โทรมาบอกหล่อนว่าคิมหันต์กำลังนั่งเครื่องบินกลับมาตามไฟลท์ที่เขาจองให้ อีกสักพักก็คงจะถึงโรงพยาบาลแล้ว หญิงสาวยังอยู่ในชุดแต่งงานอยู่เลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเสียจนไม่มีเวลาแม้แต่จะเปลี่ยนชุดด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องผมเผ้าไม่ต้องพูดถึง...เละเทะเหมือนคนไม่ได้แตะหวีมาสามชาติ“คุณแม่อยากดื่มอะไรหน่อยไหมคะ”“ไม่เป็นไรจ้ะ”เจ้าของใบหน้าซีดไร้เลือดฝาดตอบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าเพราะยังเจ็บปวดใจกับเรื่องของคิมหันต์ไม่หาย วิกผมที่ใส่มาตลอดถูกนำออกไปแล้ว ตอนนี้บนศีรษะของคุณนายจิตตาจึงไม่มีผมอยู่เลยสักเส้น“พี่คิมกำลังจะกลับมาหาคุณแม่ ทำใจให้สบาย อย่าคิดมากและรอพี่คิมมาหานะคะ”“แม่ต้องขอบคุณหนูนิชามาก ๆ เลยน
บทที่ 12 ดื้อดึง“แม่ขอโทษหนูนะลูก ที่ทำให้หนูต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ แม่สัญญา แม่จะทำให้พี่เขากลับมาแต่งงานกับหนูให้ได้”คุณนายจิตตาได้แต่มองดูณัฐนิชาด้วยความสงสาร คิดไม่ถึงเลยว่าคิมหันต์จะกล้าถึงขนาดเทงานแต่ง“อย่าเลยค่ะคุณแม่ หนูไม่อยากให้พี่คิมเกลียดหนูไปมากกว่านี้แล้ว”“เกลียดอะไรกัน แม่เป็นแม่ของตาคิม ไม่ว่าอย่างไรตาคิมก็จะต้องตกหลุมรักหนูอย่างแน่นอน เชื่อแม่สิ”คนฟังได้แต่ทำหน้าเศร้า ทั้งลังเลและไม่คาดหวังด้วย ผู้หญิงจืดชืดไร้เสน่ห์อย่างหล่อนไม่มีวันมัดใจผู้ชายไม้เลื้อยอย่างเขาได้อยู่แล้ว“คุณนายครับ ผมตรวจสอบดูเรียบร้อยแล้วนะครับ ตอนนี้คุณคิมหันต์ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย”“อะไรนะ!”คุณนายจิตตาลมแทบจับ ก่อนนี้คิดว่าอย่างมากคงหนีไปนอนกกผู้หญิงอยู่ไหนสักแห่งในประเทศ ไม่คิดเลยว่าจะถึงขั้นหนีออกนอกประเทศอย่างนี้ สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นลูกของเธอ วางแผนการไว้รอบคอบเพราะรู้ดีว่าถ้าหนีไปไม่ไกลพอคงถูกลากตัวกลับได้ง่าย ๆ“ต่อสายหาคิมหันต์เดี๋ยวนี้ บอกไปเลยว่า







