หลังจากชื่นชมเหล่าบัณฑิตท่องบทกวีกันจนจบ จ้าวฟางหรูจึงขอตัวกลับจวนก่อน เพราะวันนี้นางรู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อย ครั้นแยกจากสหายสนิทของนางแล้ว เปี๋ยเอ๋อ สาวรับใช้คนสนิทก็เข้ามากระซิบบอกนางเบาๆ
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณชายใหญ่สกุลเถียนผู้นั้น หาได้มีคู่หมายอย่างเช่นคุณหนูรองเหลียงกล่าวมาหรอกเจ้าค่ะ” จ้าวฟางหรูชะงักเท้าก่อนที่จะหันกลับไปถามสาวรับใช้คนสนิทของนางทันที “เจ้ารู้ได้เช่นไร” “เมื่อสามสี่วันก่อน บ่าวได้ยินพวกในจวนพูดคุยกัน ถึงเรื่องผู้ที่ได้เป็นทั่นฮวาของปีนี้น่ะเจ้าค่ะ” เปี๋ยเอ๋อกระซิบบอกคุณหนูใหญ่ของตน “เจ้าจะบอกว่า…เยว่เล่อนางโป้ปดข้าเช่นนั้นรึ เพราะเหตุใดนางถึงต้องทำเช่นนั้นกันเล่า” “คุณหนูใหญ่อาจจะตำหนิว่าบ่าวปากมาก แต่บ่าวอยากจะขออนุญาตเตือนคุณหนูใหญ่สักหน่อย ว่าคุณหนูรองสกุลเหลียงผู้นั้น หาได้เป็นคนที่น่าคบหาไม่ นางไม่จริงใจต่อท่านเจ้าค่ะ" เปี๋ยเอ๋อกล่าวออกมา พลางสังเกตสีหน้าคุณหนูของนาง “ไม่จริงใจเยี่ยงไรรึ” จ้าวฟางหรูเลิกคิ้ว แล้วเอ่ยถามสาวรับใช้ข้างกาย "สองสามวันก่อนบ่าวได้ยินพวกบ่าวในจวนพูดคุยว่า ก่อนที่คุณหนูรองเหลียงจะหมั้นหมายกับคุณชายรองสกุลจ้ง นางเคยมอบไมตรีให้แก่คุณชายใหญ่สกุลเถียนมาก่อน แต่ทว่าคุณชายใหญ่สกุลเถียนผู้นั้นหาได้สนใจที่จะตอบรับไมตรีจากนางไม่ ยามที่คุณหนูใหญ่ถามถึงคุณชายท่านนั้น เหตุใดคุณหนูรองเหลียงจึงได้บอกว่าเขามีคู่หมายแล้วเยี่ยงไรเล่าเจ้าคะ” เปี๋ยเอ๋อแสดงความเห็นที่เก็บกดเอาไว้ในใจมานานหลายปีออกมา นางรู้ดีว่าหากนางเป็นฝ่ายเอ่ยปากห้ามคุณหนูใหญ่มาตั้งแต่ต้น มีหรือที่คุณหนูใหญ่จะเชื่อ ว่าสหายที่คบหากันมานั้น มีจิตใจอิจฉาริษยามากเพียงใด นางจึงจำต้องปล่อยให้คุณหนูใหญ่ได้ลองคบหากับคุณหนูรองสกุลเหลียวดูสักครา บัดนี้อีกฝ่ายเริ่มเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาแล้ว นางจึงกล้าเล่าเรื่องราวที่ได้ยินมาให้คุณหนูใหญ่ได้ฟัง “ฉลาดนัก… เจ้าไม่ต้องห่วงเปี๋ยเอ๋อ คุณหนูใหญ่ของเจ้าหาใช่เป็นสตรีที่โง่เขลาไม่ เพราะที่ผ่านมาข้าเองก็ไม่ได้คิดว่าจะผูกมิตรกับนางอย่างจริงจังเสียหน่อย ข้าเพียงแค่เห็นว่านางมีความชอบที่เหมือนกัน ยามได้พบปะพูดคุยกันทำให้ข้าได้สนุกสนานบ้างก็เท่านั้น” จ้าวฟางหรูไม่เคยเก็บเอานิสัยของสหายผู้นี้มาใส่ใจ มีหรือที่นางจะมองเหลียงเยว่เล่อไม่ออก แต่ที่ผ่านมานางเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้กระทำการใดที่เป็นการทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย นางจึงยอมคบหามานานถึงสามปี ดูเหมือนสิ่งที่นางจะมองไม่ออก ก็คือสหายผู้นี้ไม่คิดอยากจะให้นางได้คบหาบุรุษที่ดีกว่าตนสินะ ร่างระหงในชุดฮั่นฝูสีชมพูอ่อนเดินนำหน้าสาวรับใช้คนสนิทไป ท่ามกลางสายตาของเหล่าบุรุษ ที่มองมายังนางอย่างสนอกสนใจ ผู้ใดในตลาดแห่งนี้จะไม่รู้จักหญิงงามประจำเมืองหนานจางบ้าง คุณหนูใหญ่สกุลจ้าว ตระกูลคหบดีอันดับหนึ่งของเมือง ยามนี้ถึงวัยสิบแปดปี อีกทั้งนางยังเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงาม และอยู่ในวัยบานสะพรั่งเหมาะแก่การออกเรือนแล้ว แต่ทว่าแม่นางคนงาม ก็ยังไม่ยินยอมที่จะออกเรือนไปกับผู้ใดเสียที จนถึงกับมีชาวบ้านหลายคน ที่อยากจะเห็นว่าบุรุษใดจะมีความสามารถคว้าใจสตรีเช่นคุณหนูใหญ่จ้าวฟางหรูไปได้ ภายในร้านจ้าวจาง จ้าวฟางเซียนกำลังนั่งดีดลูกคิด เพื่อคำนวณบัญชีรายรับรายจ่ายประจำเดือนของร้านจ้าวจางอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ทว่าภายในใจนางกลับคิดว่า ยามนี้พี่หญิงใหญ่ของนางคงจะได้พบเจอกับว่าที่พี่เขยแล้ว คุณชายใหญ่สกุลเถียนผู้นั้น คือคู่บุพเพของพี่สาวของนางอย่างแท้จริง เพราะหลังจากที่นางออกเรือนไป ทั้งสองก็ยังคงใช้ชีวิตคู่กันอยู่อย่างมีความสุข แต่ทว่าบุพเพของทั้งสอง ก็ทำให้นางต้องออกเรือนไป เพื่อตอบแทนบุญคุณของบิดามารดาแทนพี่สาวของนางเช่นกัน “เซียนเอ๋อร์…พี่รองของเจ้าไปที่ใดเสียเล่า” เสียงหวานที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากทางด้านหน้าห้องรับรองของร้านจ้าวจาง จ้าวฟางเซียนละมือจากตัวเลขในบัญชีตรงหน้า แล้วเงยหน้าขึ้นตอบคำถามของผู้มาเยือน “ออกไปซื้อขนมเซาปิงที่ร้านฮวาเจา เพื่อนำกลับไปฝากท่านแม่น่ะเจ้าค่ะ แล้วนี่พี่หญิงใหญ่เพิ่งจะกลับมาจากโรงน้ำชาอู๋เหลียงหรือเจ้าคะ” “อือ…แล้วนี่เจ้าตรวจสอบบัญชีเสร็จหรือยัง มีสิ่งใดอยากให้พี่ช่วยเหลือเจ้าหรือไม่” จ้าวฟางหรูตอบก่อนที่จะถามน้องหญิงรองออกมาอย่างใจดี แม้นางจะหัวไม่ดีเรื่องการคิดคำนวณเช่นน้องสาว แต่ก็ไม่ได้แย่จนเสียชื่อของบุตรีตระกูลคหบดีอันดับหนึ่ง “ยังเลยเจ้าค่ะ คงจะอีกหลายชั่วยาม พี่หญิงใหญ่จะกลับเรือนก่อนก็ได้นะเจ้าคะ” จ้าวฟางเซียนตอบพี่สาวออกมาตามตรง จ้าวฟางหรูพยักหน้าให้น้องสาว ก่อนที่นางจะเดินออกจากห้องรับรองไป เพราะถึงอยู่นางก็ช่วยอะไรน้องสาวไม่ได้อยู่ดี นางเดินเลือกชมผ้าไหมที่อยู่ภายในร้านอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจกลับจวน โดยไม่รู้เลยว่าที่เรือนฟางเฟยนั้นกำลังมีเรื่องรอที่จะปรึกษากับนางอยู่ จ้าวฟางเซียนลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกมาจากภายในห้องรับรอง นางเดินออกไปยืดเส้นยืดสายนอกร้านจ้าวจางโดยมีซู่เอ๋อคอยติดตามดูแลนางอยู่ห่างๆ ร้านจ้าวจางนี้เป็นหนึ่งในยี่สิบร้านค้าของตระกูลจ้าว ร้านนี้ขายผ้าไหม ผ้าแพรและผ้าต่วนขนาดใหญ่ ถือเป็นร้านขายผ้าอันดับต้นๆ ของเมืองหนานจาง ที่จ้าวฟางเซียนได้รับความไว้วางใจให้ดูแลบัญชีของร้าน เป็นเพราะนางเป็นเด็กที่มีความสามารถ เรียกได้ว่าเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาเลยก็ว่าได้ ทว่ายามที่นางได้ออกเรือนไปกับตระกูลเซี่ย นางกลับแทบที่จะไม่ได้ใช้วิชาความรู้เรื่องนี้ในการดูแลกิจการร้านค้าของตระกูลสามีเลย นั่นก็เป็นเพราะว่านางไม่ได้รับความไว้วางใจจากเซี่ยเฟยหลงนั่นเอง แต่ชีวิตนี้มีหรือที่นางจะทำตัวเฉยเมย และไร้ประโยชน์เฉกเช่นในชีวิตก่อน ชีวิตนี้นางจะต้องทำให้เซี่ยเฟยหลง มองเห็นในความดีและความจริงใจของนางให้ได้ อีกทั้งนางต้องสืบให้รู้ความ ว่าสตรีที่เคยทำให้น้องชายของเขาต้องจากไปคือผู้ใด หากบอกว่าเป็นพี่สาวของนางก็ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะพี่สาวของนางไม่เคยกล่าวถึงเรื่องที่ตนแอบไปมอบไมตรีให้กับบุรุษใดมาก่อนเลย จะมีก็แต่เพียงทั่นฮวาหนุ่ม ที่พี่สาวเลือกออกเรือนไปด้วยเพียงผู้เดียว “เซียนเอ๋อร์…เจ้ากำลังจะไปที่ใด เจ้าตรวจสอบบัญชีประจำเดือนของร้านเราเสร็จแล้วรึ” จ้าวฟางฉีร้องถามน้องสาวออกมา หลังจากที่เห็นว่าน้องสาวของตนกำลังเดินไปทางโรงเตี๊ยมอวี้โหรวอย่างเหม่อลอย ราวกับว่านางเป็นคนที่ไร้สติอยู่กับตัวอย่างไรอย่างนั้น “พี่รอง…ข้าเพียงแค่อยากออกมาเดินเล่นคลายเครียดน่ะเจ้าค่ะ ท่านก็รู้…ว่าถึงแม้ข้าจะชื่นชอบในการคิดคำนวณ แต่ข้าก็ต้องการเวลาพักสายตาและสมองเช่นกัน” จ้าวฟางฉีมองน้องสาวด้วยแววตาประหลาดใจ ก่อนที่เขาจะชูกล่องขนมเซาปิงที่เพิ่งไปซื้อมาจากร้านฮวาเจาให้นางดู “ถ้าเจ้ายังไม่กลับ พี่ขอนำขนมนี้กลับไปฝากท่านแม่ก่อน แล้วอีกสองชั่วยามพี่จะกลับมารับ” จ้าวฟางเซียนพยักหน้าพลางส่งยิ้มให้แก่พี่ชาย จ้าวฟางฉีจึงจากไปพร้อมกับบ่าวรับใช้ข้างกาย จ้าวฟางเซียนมองตามพี่ชายไปชั่วครู่ก่อนที่จะหันไปบอกสาวรับใช้คนสนิท “ถ้าเช่นนั้น….ซู่เอ๋อ พวกเราเองก็กลับไปที่ร้านกันเถิด” กล่าวจบจ้าวฟางเซียนก็เดินนำหน้าสาวรับใช้ กลับไปยังเส้นทางเดิมที่พวกนางเดินมาทันที กลับเรือนไปค่ำนี้ คงจะมีเรื่องที่น่ายินดีให้นางได้ฟังที่นั่น หากเป็นชีวิตก่อน จ้าวฟางเซียนก็คงจะรู้สึกหวาดหวั่น เพราะเกรงว่าตนเองจะได้ออกเรือนไปกับตระกูลแม่ทัพแทนผู้เป็นพี่สาว แต่ทว่าครานี้หากพี่หญิงใหญ่ของนางไม่ยินดี ก็คงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับนาง ก็โอกาสที่นางจะได้แก้ไขเรื่องราวในชีวิตก่อน ใกล้มาถึงแล้วเช่นไรหลังจากพูดคุยกันอยู่นานเกือบสองเค่อ เสียงของทารกน้อยที่นอนอยู่ห้องข้างๆ ก็ดังขึ้นมา จ้าวฟางเซียนรีบบอกกล่าวมารดา แล้วรีบเดินออกไปหาบุตรชาย หลังฟื้นมาจากฝันร่้ายในวันนั้น จ้าวฟางเซียนก็รู้สึกเสียใจเป็นอันมาก ที่สองวันแรก นางไม่อาจให้นมบุตรชายเองได้ ดีที่แม่สามีมองการณ์ไกล เตรียมแม่นมเอาไว้ให้ เผื่อเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและสองวันแรกที่นางคลอดลู่หมิงออกมา ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ หลังจากที่นางตื่นขึ้นมา ก็พยายามดูแลร่างกายตนเอง และกินอาหารบำรุงน้ำนม ไม่ถึงเจ็ดวัน นางก็ขออนุญาตแม่สามี ให้นางป้อนนมลูกด้วยตัวเอง จางซื่อก็ไม่ได้ห้ามปรามอันใด เพราะน้ำนมจากมารดาย่อมดีกว่านมจากผู้อื่นอยู่แล้ว นับตั้งแต่นั้นมา จ้าวฟางเซียนก็ให้นมเซี่ยลู่หมิงเองเรื่อยมา ทว่ามีแม่นมฉินอยู่คอยช่วยดูแลบุตรชาย ในเวลาที่นางไม่ต้องให้นมหวงซื่อเดินตามบุตรสาวเข้ามาในห้องของหลานชาย นางมองไปยังบุตรสาว ที่ออกเรือนมาได้ไม่ถึงสามปี ทว่ายามนี้ได้มาเห็น ว่านางนั้นมีครอบครัวที่สมบูรณ์พูนสุขเพียงใด ก็พลอยให้รู้สึกโล่งใจ จากที่เคยคิดเป็นกังวล ว่านางจะได้พบเจอกับความยากลำบาก ในการใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลขุนนางใหญ่ ก็ทำให้นางวางใจล
วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากฤดูที่หนาวเย็นยะเยือก แปรเปลี่ยนมาเป็นฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลลี่ชุนก็ได้เวียนมาถึงอีกหน อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ สรรพสิ่งเริ่มงอกงาม หลายครอบครัวที่ทำการเกษตร เริ่มต้นการเพาะปลูก สรรพสัตว์เริ่มออกจากการจำศีล เพื่อออกหากิน เหล่านายพรานกลับมาทำอาชีพของตนบ้านเมืองสงบสุขร่มเย็น ชาวเมืองยิ้มแย้มแจ่มใส เด็กน้อยที่กำลังวิ่งเล่น ส่งเสียงหัวเราะออกมา จนทำให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ได้ยิน ต่างก็พากันยิ้มได้ จวนตระกูลเซี่ยยามนี้ ก็ไม่ต่างไปจากสถานที่อื่น หรือจวนอื่นนัก ทว่าวันนี้ที่จวนสกุลเซี่ย ได้จัดงานครบเดือนให้แก่คุณชายน้อย ที่มีอายุครบหนึ่งเดือนพอดี บรรยากาศภายในจวน จึงเต็มไปด้วยความชื่นมื่นมีความสุขตระกูลจ้าวถือโอกาสที่เหลนน้อยอายุครบเดือน พากันเดินทางมาจากเมืองหนานจาง เพื่อมาเยี่ยมเยือนจ้าวฟางเซียน และบุตรชายของนางที่จวนสกุลเซี่ย เมืองหนานจง จ้าวฟางเซียนมองไปยังผู้คนจากตระกูลเดิมของตน ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ นางไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่า ชีวิตของนางจะมีโอกาส ได้มาเห็นภาพแห่งความสุขเช่นในวันนี้ท่านปู่ท่านย่าที่อายุมากแล้ว ก็ยังอุตส่าเดินทางมาถึงที่นี่ เพื่อมาอวยพรให้เ
“หลงเอ๋อร์…จ้าวซื่อกับเจ้า ได้ตั้งชื่อเตรียมเอาไว้ให้เขาแล้วใช่หรือไม่”จางซื่อถามบุตรชายออกมาขณะที่ส่งทารกในห่อผ้าไปให้เขา เซี่ยเฟยหลงหัดอุ้มเด็กกับภรรยามาบ้างแล้ว แม้จะมีท่าทีเงอะงะงุ่มง่าม ทว่ากลับดูไม่ขัดตาเท่าใดนัก เซี่ยเฟยหลงก้มมองดวงหน้าเล็กเท่าฝ่ามือของบุตรชาย ก่อนที่จะเอ่ยนามของเขาออกมา“เซี่ย…ลี่หมิง”เพราะเขาคือแสงสว่างอันงดงาม ส่องลงมายังบนโลกมนุษย์ให้ความอบอุ่นแก่ผู้คน จ้าวฟางเซียนเป็นผู้ที่ตั้งชื่อบุตรชาย ส่วนตัวเขาเป็นผู้ที่ตั้งชื่อบุตรสาวเอาไว้ ทว่ากลับไม่ได้ใช้ ช่างเป็นวาสนาของเจ้าตัวน้อยเสียจริง ที่ได้ชื่อที่มารดาเป็นผู้ที่ตั้งให้“นามไพเราะ ความหมายดี…หมิงเอ๋อร์หลานย่า” จางซื่อยื่นมือไปรับหลานชายกลับมา เซี่ยเฟยหลงไม่ดื้อดึง ส่งทารกในห่อผ้ากลับคืนให้แก่มารดาทันที“จ้าวซื่อเป็นคนตั้งชื่อให้เขาใช่หรือไม่” นายท่านผู้เฒ่าเซี่ยเอ่ยถามหลานชายออกมา ก่อนที่จะกวักมือเรียกลูกสะใภ้ให้พาเหลนตัวน้อยมาให้เขาได้เชยชมบ้าง“ขอรับท่านปู่…นางตั้งชื่อบุตรชาย ส่วนข้าตั้งชื่อบ
หลังจากที่ตรวจพบว่า จ้าวฟางเซียนตั้งครรภ์ จางซื่อก็ได้ส่งแม่นมฉิน ให้มาทำหน้าที่คอยดูแลฮูหยินน้อยอย่างใกล้ชิด แม้เซี่ยเฟยหลงจะรับปากกับมารดาว่า เขาจะไม่ล่วงเกินภรรยา ขอเพียงแค่ให้เขาได้นอนกอดนางก็พอคราแรกจางซื่อก็ไม่ยินยอม ทว่าจ้าวฟางเซียนกลับช่วยพูดให้แม่สามีเข้าใจ จางซื่อจึงยอมอ่อนข้อให้แก่บุตรชาย ทว่ากลับให้แม่นมฉิน มานอนเฝ้าอยู่ที่หน้าฉากกั้นแทน เช่นนั้นแล้วหากเซี่ยเฟยหลงมีความคิดเหลวไหล ย่อมถูกแม่นมฉินจับได้“โหวเหย…ท่านต้องเห็นใจบ่าวด้วยสิเจ้าคะ บ่าวก็ไม่ได้อยากทำเช่นนี้ แต่ในเมื่อนายหญิงท่านสั่งมา บ่าวจะกล้าขัดได้อย่างไรกัน”เซี่ยเฟยหลงจ้องหน้าแม่นมตาเขม็ง แม่นมฉินฉีกยิ้มกว้างออกมา ก่อนที่จะสั่งให้คนนำตั่งตัวยาวมาวางไว้ ด้านหน้าฉากกั้น จ้าวฟางเซียนนึกขัน ให้กับใบหน้าของสามีที่กำลังบูดบึ้ง พลางมองไปยังแม่นมฉินด้วยแววตาอบอุ่นแม่นมฉินแคล้วคลาดจากความตายในความทรงจำของนาง หรืออาจจะเป็นเพราะนางมีครรภ์ ถึงได้ทำให้เหตุการณ์บางอย่างเปลี่ยนไป นางเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน เพราะถ้าหากเหตุการณ์ดำเนินไปตามที่นางเคยพบเจอแม่นมฉินจะต้องจากไปตั้งแต่ต้น
แสงทิวากำลังจะลาลับ พร้อมกับท้องฟ้าสีน้ำหมึกกำลังเปลี่ยนเข้ามาแทนที่ สองอาชาสองชายหนุ่ม ยังคงเร่งรีบฝ่าความมืดกลับเมืองหนานจงด้วยความคะนึงหา เซี่ยเฟยหลงไม่แม้แต่คิดที่จะหยุดพัก ในเมื่อเจ้านายไม่ยินยอมที่จะพัก ทั้งคนทั้งม้าจึงได้พากันอดทนจนถึงประตูเมืองหนานจงในเวลาดึกดื่นหากเป็นชาวบ้านธรรมดา มีหรือจะสามารถผ่านทหารเวรยาม ที่ทำหน้าที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่หน้าประตูเมืองเข้าไปได้ง่ายๆ ทว่าเซี่ยเฟยหลงคือผู้ใด ทหารเหล่านี้ย่อมรู้ดี ครั้นได้เห็นว่าท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ยกลับมา ต่างก็พากันกล่าวต้อนรับการกลับมา ของผู้เป็นผู้บังคับบัญชาท่านแม่ทัพหนุ่มยามนี้ปลดชุดเกราะที่น่าเกรงขามออก เหลือเพียงอาภรณ์เยี่ยงคุณชายทั่วไปสวมใส่เท่านั้น เขาไม่พูดจากับทหารเหล่านี้ให้มากความ รีบกลับเข้าเมืองอย่างเร็วรี่ มุ่งหน้าไปยังจวนแม่ทัพของตน“พวกเจ้าอย่าคิดรั้งท่านแม่ทัพไว้นาน เขาเร่งรีบกลับมาย่อมคิดถึงภรรยา” นายทหารที่เป็นหัวหน้ากล่าวกับลูกน้องที่กำลังมองตามท่านแม่ทัพผู้องอาจ ควบอาชาหายไปในความมืดมิดครั้นมาถึงหน้าประตูจวน เซี่ยเฟยหลงสั่งห้ามมิให้ผู้ใด ไปรายงานให้คนด้านในทราบ เพราะเข
ณ ตำหนักไท่เหอ ราชสำนัก แคว้นจิ้นองค์รัชทายาทวัยสามสิบต้นๆ กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทน เพราะกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ยังคงนอนป่วยรักษาตัวอยู่ ทำให้หน้าที่ดูแลบ้านเมือง ตกอยู่ในมือของเขาชั่วคราว อย่างชอบธรรม สีหน้าของเขายามนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก เป็นเพราะความต้องการของเขา ถูกเหล่าขุนนางเก่าแก่เหล่านี้ พากันกล่าวคัดค้านเขาย่อมรู้ดีว่ายามนี้ บ้านเมืองยังขาดความมั่นคง ยิ่งกับตัวเขาหากไม่สร้างผลงาน ไหนเลยจะขึ้นมานั่งบัลลังก์มังกรนี้อย่างภาคภูมิ เขาจึงอยากใช้การยึดเมืองหนานตงของแคว้นเจิ้ง มาเป็นผลงานเพื่อขึ้นครองราชย์ของตน ถึงอย่างไรบิดา ผู้เป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว“จะทำเช่นนั้นมิได้พ่ะย่ะค่ะ ผู้สำเร็จราชการน่าจะรู้ดี ว่ายามนี้สถานการณ์ภายในของแคว้นจิ้นเรา ยังไม่เหมาะแก่การทำศึก อีกทั้งพวกเราเพิ่งจะสูญเสียแม่ทัพใหญ่อย่างท่านอู่ผา และกำลังทหารจำนวนหลายพันคนไป บ้านเมืองเรายังคงบอบช้ำอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงโปรดคิดทบทวน และพิจารณาเรื่องนี้ให้ดีด้วยเถิด”“ขอพระองค์ทรงโปรดคิดทบทวน และพิจารณาเรื่องนี้ใ