Masuk“ทำการค้า? เจ้าสนใจจริงๆรึ”
พี่ใหญ่ทำตาโต แค่สอนน้องสาวดีดลูกคิดนางยังไม่เอา ท่านพ่อท่านแม่ส่งไปเรียนสำนักศึกษาหญิง นางก็ร้องไห้จะเป็นจะตาย สุดท้ายต้องเชิญอาจารย์มาสอนที่บ้าน ยังดีที่เจ้าสามรักการเรียนเลยช่วยสอนน้องเล็กอ่านออกเขียนได้ ไม่เช่นนั้นแม้แต่ชื่อตนเองยังเขียนไม่ได้ ทำอย่างไรได้เล่า คนในบ้านมีใครทนเห็นน้ำตาของชิงหว่านได้ที่ไหน บิดารักใคร่มารดาเพียงหนึ่งเดียว ไม่รับหญิงอื่นมาเป็นทั้งภรรยารองหรืออนุ ท่านพ่อท่านแม่อยากได้บุตรสาวสักคน แต่หลังจากเขาเกิดก็คลอดลูกชายมาสองคน หลังจากนั้นก็แท้งบุตรไปหนึ่งครั้ง ไม่คิดว่าจะมีบุตรได้อีก กระทั่งมารดาตั้งครรภ์อีกครั้งก็คลอดบุตรสาวสมใจ พวกเขาเป็นพี่ชายเอ็นดูรักใคร่น้องเล็กสุดหัวใจ เห็นตั้งแต่นางอยู่ในครรภ์มารดาจนกระทั่งนางเกิดและเติบโต นางเป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงามทำให้พวกเขาไม่มีใครทนเห็นนางต้องเสียใจหรือทุกข์ใจได้เลยสักครั้ง ซึ่งนั้นทำให้นางติดนิสัยเอาแต่ใจไปสักเล็กน้อย
“จริงสิ” หญิงสาวพยักหน้ายืนยันแล้วทำปากยื่นใส่ “พี่ใหญ่ไม่เชื่อข้าหรือ?”
“เชื่อๆ พี่ย่อมเชื่อเจ้าอยู่แล้ว”
พี่รองกับพี่สามลอบสบตากัน แค่ข้ามคืนน้องเล็กก็เปลี่ยนไป แต่คืนที่นางข้ามผ่านนั้นผ่านความเป็นความตายมา นางอาจคิดได้แล้วจริงๆ พวกเขาจึงไม่คิดสงสัยเป็นอื่นอีก
มีเพียงชิงหว่านที่ครุ่นคิดทบทวนสิ่งที่ตนเองทำลงไปในชาติก่อน กี่ครอบครัวที่ล่มสลาย กี่ชีวิตต้องดับสูญเพียงสร้างบันไดให้คนผู้นั้นก้าวเดินขึ้นไปสู่ตำแหน่งรัชทายาท แม้แต่ชื่อนางยังไม่อยากพูดถึง หญิงสาวลอบถอนหายใจเบาๆ กับความโง่เขลาของตนเอง ชีวิตที่เพียบพร้อมในชาตินี้นางจะทะนุถนอมไว้อย่างดี ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอำนาจทางการเมืองเหล่านั้นอีกแล้ว
เรื่องเพียงคนผู้หนึ่งที่นางต้องเข้าใกล้ ซ่งอวี้หาน ผู้บัญชาการสำนักประจิมหน่วย ผู้รับคำสั่งโดยตรงจากฮ่องเต้ สำนักประจิมตั้งขึ้นเพิ่มเติมเพื่อคอยตรวจสอบและสอดส่ององครักษ์เสื้อแพรและสำนักบูรพาอีกทอดหนึ่ง มีอำนาจในการสังหารผู้ที่เป็นภัยได้ทันที ผู้อื่นว่าเขาเหี้ยมโหดตัดสินเฉียบขาด แต่วาระสุดท้ายของชีวิต นางเห็นแววตาอ่อนโยนของเขา
สำนักประจิมอาชาสีนิลวิ่งฝ่าสายฝนในความมืดจวบจนมาหยุดที่จวนสกุลซ่ง บุรุษในชุดสีน้ำเงินเข้มเหลือบดำลงจากหลังม้าแล้วก้าวเข้าไปในจวน สายฝนที่กระหน่ำลงมาไม่ได้ทำให้เขาใส่ใจนัก พ่อบ้านป๋ออันออกมาต้อนรับแล้วก็ขมวดคิ้วยุ่งเหยิง
“ฝนตกหนักเช่นนี้ เหตุใดนายท่านมิรอให้ฝนเบาบางก่อนค่อยกลับขอรับ”
“อาการเคอชุนเป็นอย่างไร” ซ่งอวี้หานถามขณะปลดเสื้อคลุมออกจากร่างส่งให้พ่อบ้านรับไว้
“เชิญท่านหมอมาตรวจและทำแผลให้ แต่เพราะพิษไข้จึงยังไม่ได้สติขอรับ บ่าวให้พักที่เรือนเล็กขอรับ” พ่อบ้านรายงานแล้วพูดขึ้น “บ่าวให้คนเตรียมน้ำอุ่น ใต้เท้าโปรดรอสักครู่”
“ข้าจะไปดูเขาก่อน”
เสื้อผ้าเปียกแค่นี้ไม่ได้ส่งผลอันใดกับเขานัก ร่างสูงก้าวเท้ายาวๆ ไปยังเรือนรับรองหลังเล็ก
ด้านในมีบ่าวรับใช้คอยดูแลอยู่ แต่เพราะคนป่วยหลับ คนเฝ้าก็นั่งสัปหงกไปด้วย เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป บ่าวรับใช้ก็สะดุดตื่น
“ตะ..ใต้...ใต้เท้าซ่ง”
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
น้ำเสียงดุดันและใบหน้าเย็นเยียบแม้แต่บ่าวรับใช้ยังหวาดกลัว กว่าจะเอ่ยตอบได้ก็ผ่านไปอึดใจใหญ่
“ไข้...ไข้ลดลงแล้วขอรับ ท่านหมอมาทำแผลให้แล้ว”
“ดูแลให้ดี ขาดเหลืออะไรให้แจ้งพ่อบ้านได้ ถ้าเขาฟื้นแล้วให้คนรายงานข้า”
“ขอรับ ใต้เท้า”
ชายหนุ่มเดินเข้าไปดูสภาพคนสนิที่ยังหมดสติอยู่ หัวคิ้วยังขมวดกันแน่น บนศีรษะมีผ้าพันไว้และมีเลือดซึมออกมา สถานการณ์ครั้งนี้คงหนักหนาไม่น้อย ไม่เช่นเคอชุนคงไม่บาดเจ็บหนักขนาดนี้ เขาทำได้แต่ถอนหายใจเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินออกไป บ่าวรับใช้ผ่อนลมหายใจโล่งออกแล้วมองรอยหยดน้ำที่ยังเปียกบนพื้น คนผู้นี้คงเป็นคนสำคัญมากจริงๆ ไม่เช่นใต้เท้าคงไม่รีบร้อนมาดูด้วยตนเองเช่นนี้
ซ่งอวี้หานเดินกลับมาที่เรือนของตน เขาไม่ได้ใส่ใจสภาพนัก เขาเพียงแค่ต้องการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ความจริงเขาไม่ได้กลับจวนมาหลายวันแล้ว เมื่อเสร็จสิ้นคดีจึงอยากกลับมาพักผ่อนแต่พ่อบ้านป๋ออันส่งคนไปรายงานว่าเคอชุนกลับมาพร้อมกับบาดแผลเจ็บหนักไม่น้อย เมื่อส่งมอบงานให้รองผู้บัญชาการแล้วจึงรีบเร่งกลับมาที่จวน
พ่อบ้านทำงานรับใช้มานานกว่าสามสิบปี ตั้งแต่จวนสกุลซ่งยังเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลาย จนบัดนี้เหลือเพียงซ่งอวี้หานอยู่ในจวนเพียงลำพัง ยังร้างไร้ฮูหยินดูแลจวน เขาได้แต่วาดวังให้ตนเองมีชีวิตยืนยันได้อยู่รับใช้คุณหนูหรือคุณชายตัวน้อยๆ ทายาทสกุลซ่ง แต่ล่วงเลยมานานยังไม่เห็นวี่แววของใต้เท้าของเขาจะแต่งงานมีฮูหยินเสียที อย่าว่าแต่ภรรยาเอกเลย แม้แต่อนุก็ยังไม่มี ผู้อื่นต่างคิดว่าผู้บัญชาการซ่งที่ปีนี้อายุยี่สิบสี่แล้ว ด้วยความเป็นพ่อบ้านมานานและจวนสกุลซ่งมิขาดแคลนเงินทอง การเตรียมน้ำอุ่นตลอดเวลาจึงไม่ใช่เรื่องใช้เวลามากอันใด
ซ่งอวี้หานที่คิดจะแค่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มจึงได้แช่น้ำอุ่นขับไล่ไอเย็นในร่างกาย ร่างกายที่แบกรับความเคร่งเครียดมาหลายวันพลันผ่อนคลายลง บนร่างมีรอยแผลเป็นหลายแห่ง กว่าจะมาถึงจุดที่สูงสุดนี้ต้องผ่านอะไรมามาก เสียงสรรเสริญยกย่องแลกมากับเสียงสาปแช่ง เขายกมือขึ้นนวดขมับเบาๆ ระยะนี้ปวดศีรษะมากกว่าปกติ หรือเขานอนน้อยเกินไปจึงรู้สึกอ่อนเพลียเช่นนี้
หากไม่นับเรื่องอาการบาดเจ็บแล้วล่ะก็ เขาจำไม่ได้เลยว่าตนเองเคยล้มป่วยครั้งล่าสุดเมื่อใดกัน นานจนลืมไปแล้ว
มีพี่ชายเป็นหมอ อาการของเด็กสาวดีวันดีคืน ผ่านมาเจ็ดวันร่างกายก็ฟื้นตัวเต็มที่ เจียงชิงหว่านที่ใช้ชีวิตแค่ในห้องนอนรู้สึกเบื่อหน่ายประดาแล้ว เมื่อพี่รองมอบถ้วยยาชุดสุดท้ายให้ นางก็ดีใจแทบหลั่งน้ำตา เจียงเจิ้งฮ่าวยิ้มเอ็นดูยื่นมือไปลูบผมน้องสาวเบาๆ “อย่างไรก็อย่าออกไปถูกแดดถูกลมมากนัก” “ใครว่าล่ะ ควรถูกแดดถูกลมบ้างต่างหาก” ชิงหว่านยื่นปากใส่ “อยู่แต่ในห้อง ข้าจะกลายเป็นผักเหี่ยวๆอยู่แล้ว” “พูดจาไม่น่าฟังเลย” เขาส่ายหน้าแต่มุมปากมีรอยยิ้ม “เจ้าแข็งแรงดีก็ไปกินข้าวกับท่านพ่อท่านแม่บ้าง” ชิงหว่านเลิกคิ้วประหลาดใจ ตั้งแต่ฟื้นมาในร่างนี้นางยังไม่ได้ก้าวเท้าออกไปจากห้องนี้เลย แต่ท่านพ่อกับท่านแม่ก็มาเยี่ยมทุกวัน “ที่ผ่านมาข้าไม่ได้กินข้าวกับท่านพ่อท่านแม่หรือเจ้าคะ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วประหลาดใจ แต่หลายวันมานี้เห็นได้ชัดว่ามีบางเรื่องราวที่นางสับสนหรือจำไม่ได้ จากที่เคยอ่านบันทึกตำราแพทย์มาเป็นไปได้ว่าเกิดจากการจมน้ำหรือเพราะพบเรื่องสะเทือนใจมากเกินรับได้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาก็ยอมรับที่นางถามแปลกๆ เช่นนี้ได
“ทำการค้า? เจ้าสนใจจริงๆรึ” พี่ใหญ่ทำตาโต แค่สอนน้องสาวดีดลูกคิดนางยังไม่เอา ท่านพ่อท่านแม่ส่งไปเรียนสำนักศึกษาหญิง นางก็ร้องไห้จะเป็นจะตาย สุดท้ายต้องเชิญอาจารย์มาสอนที่บ้าน ยังดีที่เจ้าสามรักการเรียนเลยช่วยสอนน้องเล็กอ่านออกเขียนได้ ไม่เช่นนั้นแม้แต่ชื่อตนเองยังเขียนไม่ได้ ทำอย่างไรได้เล่า คนในบ้านมีใครทนเห็นน้ำตาของชิงหว่านได้ที่ไหน บิดารักใคร่มารดาเพียงหนึ่งเดียว ไม่รับหญิงอื่นมาเป็นทั้งภรรยารองหรืออนุ ท่านพ่อท่านแม่อยากได้บุตรสาวสักคน แต่หลังจากเขาเกิดก็คลอดลูกชายมาสองคน หลังจากนั้นก็แท้งบุตรไปหนึ่งครั้ง ไม่คิดว่าจะมีบุตรได้อีก กระทั่งมารดาตั้งครรภ์อีกครั้งก็คลอดบุตรสาวสมใจ พวกเขาเป็นพี่ชายเอ็นดูรักใคร่น้องเล็กสุดหัวใจ เห็นตั้งแต่นางอยู่ในครรภ์มารดาจนกระทั่งนางเกิดและเติบโต นางเป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงามทำให้พวกเขาไม่มีใครทนเห็นนางต้องเสียใจหรือทุกข์ใจได้เลยสักครั้ง ซึ่งนั้นทำให้นางติดนิสัยเอาแต่ใจไปสักเล็กน้อย “จริงสิ” หญิงสาวพยักหน้ายืนยันแล้วทำปากยื่นใส่ “พี่ใหญ่ไม่เชื่อข้าหรือ?” “เชื่อๆ พี่ย่อมเชื่อเจ้าอยู่แล้ว” พี่รองกับพี่สามลอบสบตากั
“คุณหนู คุณชายรองมาเยี่ยมเจ้าค่ะ” “รีบเชิญ” ชายหนุ่มอายุประมาณสิบแปดปี เขาสวมชุดสีเขียวใบไผ่ดูเรียบง่ายและสงบนิ่ง เขาก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มทำให้ใบหน้ายิ่งอ่อนโยนลง เขานั่งที่เก้าอี้กลมข้างเตียงนอนของน้องสาว แล้วยกมือขึ้นอังหน้าผากของนาง ทั้งสี่หน้าและแววตาเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย ชาติก่อนนางไม่เคยมีครอบครัว เอ่อ จะเรียกอย่างนั้นก็ไม่ถูกนัก ครอบครัวของนางคือหญิงคณิกาที่หอระบำจันทร์ ซึ่งเป็นหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ภายนอกเหมือนรักใคร่กันอย่างพี่สาวน้องสาว ภายในแก่งแย่งกันขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง นางอายุมากที่สุดแต่ยังครองตำแหน่งได้นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว ทั้งเสน่ห์เล่ห์มารยาทล้วนต้องฝึกฝนเรียนรู้ ควบคู่กับศิลปะทุกแขนง เพลงพิณ วาดภาพ เดินหมากล้อม ชงชารวมทั้งเตรียมกำยาน คำว่าเชี่ยวชาญนั้นไม่เกินเลยสักนิด “ดีจริง ไข้ลดแล้ว” เจียงเจิ้งฮ่าวค่อยโล่งใจขึ้น “ข้าก็บอกพี่รองแล้ว ว่าข้าดีขึ้นแล้วจริงๆ” นางยิ้มน้อยๆ ชีวิตในชาติก่อนก่อกรรมไว้มากไม่คิดว่าจะมีคุณงามความดีหลงเหลือได้มาอยู่ในครอบครัวที่ดีพร้อมเช่นนี้ได้ สงสารก็แต่แม่นา
สาวใช้หยิบหมอนหนุนหลังให้หญิงสาวเอนหลังพิงหัวเตียง ชิงหว่านซึบซับการถูกเอาใจใส่พลางคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ก่อนเป็นคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงที่ผู้คนรู้จักในนามไป๋ลู่ ชื่อเดิมของนางคือชิงหว่าน เจ้าของร่างนี้ก็ชื่อเดียวกัน นางพบชิ่งหว่านที่แดนปรโลก หลังจากดวงวิญญาณของนางหลุดออกจากร่างของคณิกาไป๋ลู่ไปแล้ว หลุดพ้นจากความทรมานเพียงพริบตาก็มาสู่แดนปรโลก ดอกปี่อั้นสีแดงเลือดแบ่งบานต้อนรับวิญญาณทั้งหลาย นางเพียงถอนหายใจเบาๆ สำนึกผิดในสิ่งที่ตนเองทำไว้ เพียงเพื่อช่วยให้บุรุษผู้หนึ่งสมปรารถนา นางจึงยอมทำทุกสิ่งแม้ต้องใช้ร่างกายก็ตาม แม้นางคือหญิงคณิกาแต่หัวใจเพรียกหารักแท้ แต่สุดท้ายเขากลับส่งนางไปบำเรอกามขุนนางโฉดทรมานนางจนสิ้นใจ ซ้ำยังเอาศพไปทิ้งในป่าราวกับเป็นสัตว์ชั้นต่ำตัวหนึ่ง นางทำผิดต่อผู้คนมากมาย แม้กระทั่งบุรุษที่ชื่อซ่งอวี้หาน แต่เขากลับเป็นคนที่ยอมสละเสื้อคลุมกันฝนคลุมร่างให้นาง ในชีวิตนางได้พบคนที่ดีก็เมื่อลมหายใจสุดท้ายมาเยือน เพียงพริบตานางมาสู่แดนปรโลก ระหว่างที่จะไปนสะพานไน่เหอ ว่ากันว่าใต้สะพานจะเป็นแม่น้ำสีเลือดที่เต็มไปด้ว
แนะนำตัวละครชิงหว่าน : คณิกาไป๋ลู่ มีชื่อเดิมว่าชิงหว่าน เป็นหญิงนางโลมที่หอระบำจันทร์ อายุ24ปี เมื่อตายด้วยน้ำมือ วิญญาณมาอยู่ในร่างของ ‘เจียงชิงหว่าน’ บุตรสาวตระกูลพ่อค้าอายุเพียง15ปีซ่งอวี้หาน : ผู้บัญชาการซ่ง ผู้บัญชาการสำนักประจิม สำนักประจิม เป็นหน่วยที่ตั้งขึ้นเพิ่มเติมเพื่อคอยตรวจสอบและสอดส่ององครักษ์เสื้อแพรและสำนักบูรพาอีกทอดหนึ่ง มีอำนาจในการสังหารผู้ที่เป็นภัยได้ทันที อายุ24ปีเฟิงเยี่ยนหลง : รัชทายาท ผู้ต้องการนั่งบัลลังก์มังกรโดยสนใจวิธีการแม้แลกมาด้วยชีวิตผู้บริสุทธิ์ เจียงเจิ้งเหวิน,เจียงเจิ้งฮ่าว และ เจียงเจิ้งหย่วน : พี่ชายของเจียงชิงหว่านรักน้องสาวยิ่งชีวิตบทนำ พายุฝนโหมกระหน่ำชะล้างคราบเลือดไหลนองบนพื้นและช่วยทำให้ร่างของหญิงงาม เสื้อผ้าถูกฉีกขาดเปิดเผยผิวกายที่บัดนี้เต็มไปด้วยบาดแผล รอยฟอกช้ำ ที่ข้อมือและข้อเท้ายังมีเชือกมัดไว้ ดวงตาไร้แววคู่นั้นยังเบิกโพลงเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานเจ็บปวดและเคียดแค้น จุดจบของคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ช่างอนาถยิ่งนัก แสงแปลบปลาบทำให้ราตรีมืดมิดมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น บุรุษผู้หนึ่งอยู่บนหลังอา







